WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASP copyบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์การลงทุน
  หลังปรับฐานคาด SET เดินหน้าทดสอบ 1,400 จุด โดยการหนุนของหุ้นใหญ่ในกลุ่มพลังงาน/ปิโตรเคมี กลยุทธ์สะสมหุ้น Global (PTT, PTTEP, IRPC, PTTGC, SCC) และ หุ้นปันผล/กำไรโดดเด่น 1Q59 (INTUCH, EASTW, ERW, BDMS) Top picks วันนี้คือ PTT(FV@B330) และ ERW([email protected])

ECB และ BOJ มีแนวโน้มเพิ่มมาตรการกระตุ้นต่อ หนุน Money Supply
  ความจำเป็นในการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายยังคงมีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก ล่าสุดธนาคารกลางนิวซีแลนด์ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% อยู่ที่ระดับ 2.25% (โดยได้ผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 3 ครั้ง นับตั้งแต่กลางปี 2558) เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.1%
  ขณะที่ญี่ปุ่นหลังจากช่วงต้นปีที่ผ่านมาธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) ได้ลดดอกเบี้ยเงินฝากกระแสรายวันที่ ธ.พ.มาฝากกับ BOJ ลงเป็นติดลบ 0.1% (เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์) และ ล่าสุด ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ม.ค.ลดลง 6%mom มาอยู่ที่ระดับ 40.1 จุด(ลดลงติดต่อกัน 3 เดือน) สอดคล้องกับภาคการผลิตที่ยังชะลอตัว (สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต หดตัวติดต่อกัน 4 ) ทำให้ตลาดคาดหมายว่าการประชุม BOJ วันที่ 15-16 มี.ค. ตลาดคาดว่า BOJจะยังคงดอกเบี้ยติดลบต่อไป สะท้อนจากผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 14 คนของ Reuters ล่าสุดพบว่า 65% คาดว่าจะลดดอกเบี้ยลงเดือน ก.ค.2559 ส่วนที่เหลือคาดลดในช่วงปลายปี 2559
และยุโรป วันนี้จะได้ทราบผลการประชุมธนาคารกลาง(ECB) ซึ่งตลาดคาดว่า ECB น่าจะตัดลดดอกเบี้ยเงินฝากลงอีก 10 bps สู่ -0.4% และเพิ่มวงเงินเข้าซื้อพันธบัตรอีก 1 หมื่นล้านยูโรเป็น 7 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน หลังเงินเฟ้อกลับมาติดลบ 0.2%yoy (จากที่เป็นบวกต่อเนื่อง 5 เดือนก่อนหน้า) ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดจะทำให้ Money Supply ในระบบเพิ่มมากขึ้นและเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นโลก และทำให้ Dollar Index และค่าเงินยูโร มีลักษณะอ่อนค่าและแกว่งตัวในกรอบสั้นๆ

สต๊อกน้ำมันดิบเป็นไปตามคาด EIA ลดคาดการณ์ผลิตน้ำมันสหรัฐ บวกราคาน้ำมัน
  วานนี้มีรายงานสต็อกน้ำมันของสำนักสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) สิ้นสุดสัปดาห์ รายงานสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นใกล้เคียงตลาดคาดการณ์(เพิ่มขึ้น 3.9 ล้านบาร์เรล) สวนทางกับน้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับตัวลดลง อาทิ น้ำมันเบนซินลดลง 3.9 ล้านบาร์เรล ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3 และเป็นการปรับลดลงสูงสุดในรอบ 2 ปี และเช่นเดียวกับ น้ำมันดีเซล ลดลง 1.12 ล้านบาร์เรล หลักๆ มาจากการใช้น้ำมันภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา หนุนภาพรวม Demand น้ำมันโลกเพิ่มขึ้น
  ทั้งนี้แม้ปัญหา Over supply ยังมีอยู่ แต่ผ่อนคลายลง หลังเริ่มเห็นความชัดเจน การควบคุมกำลังการผลิตของผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกทั้ง OPEC และ Non-OPEC (ติดตามผลการประชุมที่กรุงมอสโค วันที่ 20 มี.ค. นี้) ขณะที่กำลังการผลิตของผู้ผลิตน้ำมันใช้เทคโนโลยี (Shale Oil and Gas) ในสหรัฐ เห็นการปรับตัวลงอย่างชัดเจน (เฉลี่ย 9.08 ล้านบาร์เรลต่อวัน) สะท้อนจากจำนวนหลุมขุดเจาะน้ำมันที่ลดลงกว่า 75.6% (จากจำนวณสูงสุด) เหลือ 392 หลุม และ ล่าสุด EIA ปรับลดคดาการณ์ผลิตน้ำมันของสหรัฐในปี 2559 และ 2560 ลงจากเดิมราววันละ 0.2 ล้านบาร์เรล และ 0.27 ล้านบาร์เรล ตามลำดับ
  แรงกดดันที่ลดลงดังกล่าว หนุนราคาน้ำมันให้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องล่าสุด Brent สามารถปรับขึ้นทะลุแนวต้าน ปิดตัวเหนือ 40 เหรียญฯต่อบาร์เรล (ล่าสุด 41.07 เหรียญฯต่อบาร์เรล) เช่นเดียวกับ WTI ที่ยังคงแกว่งตัวระดับ 38 เหรียญฯต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดูไบ Spot ล่าสุดที่ 35.57 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งระยะสั้นน่าจะปรับตัวขึ้นต่อทดสอบ 40-42 เหรียญฯต่อบาร์เรล หนุนหุ้นปิโตรเลี่ยม ทั้ง PTTและ PTTEP มากกว่าหุ้นโรงกลั่น (TOP, BCP, SPRC) รวมถึงหุ้นที่เน้นไปทางธุรกิจปิโตรเคมี อย่าง IRPC([email protected]) และวันนี้นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานได้ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นปิโตรเลี่ยม จากเดิมเท่าตลาดเป็น มากกว่าตลาด ติดตามอ่าน Equity Talk กลุ่มปิโตรเลี่ยมวันนี้

ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 6
  วานนี้แม้ตลาดหุ้นอินโดนีเซียจะหยุดทำการเนื่องจากเป็นวันหยุด แต่ตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 มีมูลค่ารวมกว่า 71 ล้านเหรียญ แต่เป็นการสลับมาขายสุทธิอยู่ 2 ประเทศ คือ เกาหลีใต้ถูกขายสุทธิราว 12 ล้านหรียญ ตามด้วยฟิลิปปินส์ที่ขายสุทธิราว 7 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆที่เหลือต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ คือ ตลาดหุ้นไต้หวันถูกซื้อสุทธิราว 72 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 9) และไทยต่างชาติยังคงซื้อสุทธิราว 14 ล้านเหรียญ หรือ 494 ล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 โดยมียอดซื้อสะสมรวมสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 4.2 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 4.6 พันล้านบาท กดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ 35.30 บาท/ดอลลาร์

ให้น้ำหนักไปที่กำไรงวด 1Q59 เด่น : IRPC, PTTGC, BDMS, ERW (ต่อจากวานนี้)
  กลยุทธ์การลงทุน นอกจากให้ สะสมหุ้นปิโตรเลี่ยมซึ่งได้ sentiment เชิงบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวดังกล่าวข้างต้น แล้ว ควรให้น้ำหนักกับหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการ ปี 2559 ที่มีแนวโน้มสดใส โดยเฉพาะในงวด 1Q59 ซึ่งคาดว่าน่าจะมีหลายกลุ่มดังที่ได้นำเสนอในหลายกลุ่มวานนี้ เริ่มจาก โรงกลั่นและปิโตรเคมี แต่ให้น้ำหนักไปที่หุ้นที่กำไรกระจุกตัวไปทางด้านปิโตรเคมี IRPC และ PTTGC มากกว่าหุ้นที่เน้นไปทางด้านโรงกลั่นเช่น BCP และ TOP ตามมาด้วยกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม ให้น้ำหนักไปที่ ERW, CENTEL) และ กลุ่ม ร.พ. BDMS น่าจะโดดเด่นสุดเนื่องจากมีโรงพยาบาลกระจายตัวมากสุด
  ตรงกันข้ามกับกลุ่มขนส่งทางอากาศ ราคาน้ำมันที่ขยับขึ้นแม้จะกระทบผลการดำเนินงานในปี 2559 ไม่มากแต่จะมีน้ำหนักมากขึ้นในปีถัดๆ ไป จึงได้ลดน้ำหนักลงทุนเป็นเท่ากับตลาดจากเดิมมากกว่าตลาด โดยหุ้นที่เลือกเป็น BA เท่านั้น ที่เหลือราคาตลาดเกิน Fair value เช่น AOT, THAI เป็นต้น และ ค้าปลีก คาดว่างวด 1Q59 จะเติบโตเกิน 10% แม้ชะลอตัวจากงวด 4Q58 โดยหุ้นที่น่าสนใจคือ COM7, HMRPO, TNP ส่วนวันนี้นำเสนอแนวโน้มกำไรของกลุ่มอุตสาหกรรม ฯ เพิ่มเติมมีดังนี้

กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง CK เด่นสุด
  ภาพรวมผลประกอบการในช่วง 1Q59 ของบริษัทรับเหมา 12 แห่ง ภายใต้ Coverage ของฝ่ายวิจัย คาดว่ากำไรน่าจะทำได้ใกล้เคียงกับงวด 4Q58 ที่ระดับประมาณ 2.2 พันล้านบาท แต่ในระดับบริษัทคาดว่าจะเติบโต ได้ทั้ง QoQ และ YoY คือ TTCL, UNIQ, SEAFCO และ PYLON ซึ่งเป็นไปตามกำหนดการรับรู้รายได้ของงานใน Backlog ที่เพิ่มขึ้น โดย TTCL มีประเด็นเสริมจากรายได้โรงไฟฟ้า Ahlone ในพม่า กำลังการผลิต 120MW ที่จะสร้างรายได้เข้ามาเต็มที่ ขณะที่บริษัทที่มีฐานกำไรต่ำกว่าปกติหรือขาดทุนในงวด 4Q58 อย่าง ITD,CK และ NWR เชื่อว่าจะกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งในงวด 1Q59 เนื่องจากหลายบริษัทมีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษ (การตั้งสำรองหนี้สูญ และเงินโบนัสพนักงานพิเศษ) ในงวด 4Q58
  ทั้งนี้บริษัทที่คาดว่าจะมีกำไรปรับตัวลดลงทั้ง QoQ และ YoY น่าจะเป็น STEC จากการส่งมอบงานที่ไม่มีกำไร ทั้งอาคารรัฐสภาแห่งใหม่และสนามบินภูเก็ต กดดัน gross margin ระยะสั้นแนะนำ BJCHI ได้ จากข่าวงานประมูลโครงการ TUPI BV#3 มูลค่า 2.8 พันล้านบาท ที่ BJCHI มีโอกาสสูงที่จะได้รับเข้ามาปลายเดือน มี.ค หรือต้นเดือน เม.ย นี้
  สำหรับปี 2559 ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะเติบโต 11%YoY อยู่ที่ 1.06 หมื่นล้านบาท บริษัทที่จะมีกำไรเติบโตโดดเด่นคือ TTCL(+55%YoY), SEAFCO(+34%YoY), UNIQ(+21%YoY) และ PYLON(+21%YoY) ส่วนบริษัทที่ขาดทุนในปี 2558 อย่าง ITD และ NWR เชื่อว่าจะกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง ปัจจัยหนุนมาจากยอดรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง NWR ยังมีส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทลูกที่ลงทุนในโครงการ ISSI คอนโดมิเนียมเข้ามาอีกด้วย โดยปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ คือการเร่งผลักดันโครงการประมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ ภายใต้แผนลงทุนเร่งด่วน 20 โครงการ ของกระทรวงคมนาคม มูลค่า 1.8 ล้านล้านบาท ที่คาดว่าจะมีการเปิดประมูลในปีนี้ประมาณ 5 แสนล้านบาท ประกอบไปด้วย รถไฟทางคู่ 4 เส้นทาง รถไฟฟ้า 4 สาย ถนนมอเตอร์เวย์ และสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุน มากกว่าตลาด และเลือก CK ([email protected]) และ BJCHI ([email protected]) เป็น Top Picks

กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCC เด่นจากธุรกิจปิโตรเคมี
  ธุรกิจวัสดุก่อสร้างมีผลของฤดูกาล กล่าวคือไตรมาสที่ 1 ของปี ถือเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของหลายบริษัท โดยเฉพาะ DCC ที่คาดว่าจะมีกำไร New High ได้อีกครั้งใน 1Q59 จากการปรับ Product Mixed มาผลิตสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยมของตลาดอย่างกระเบื้องพิมพ์ลาย Digital Hybrid และกระเบื้องขัดขอบ เช่นเดียวกับ VNG ที่น่าจะมีกำไรโดดเด่นเช่นเดียวกัน จากผลบวกของต้นทุนวัตถุดิบทั้งเศษไม้ยางพาราและกาวที่ทรงตัวในระดับต่ำ ยกเว้น SCC น่าจะมีผลประกอบการทรงตัวจากปีก่อน เพราะแม้จะได้ผลบวกจากธุรกิจปิโตรเคมี แต่ก็ถูกถ่วงจากธุรกิจอื่นๆที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
  ตรงกันข้ามบริษัทที่น่าจะมีกำไรลดลงจากปีก่อน คือ TASCO และ SCCC เนื่องจากฐานกำไรที่ทำได้ค่อนข้างสูงในปีก่อน อีกทั้ง TASCO ยังได้รับผลกระทบจาก Spread ระหว่างยางมะตอยและน้ำมันดิบที่แคบลง แต่ก็ยังคาดหมายกำไรในระดับใกล้เคียง 1 พันล้านบาท
แนวโน้มปี 2559 คาด กำไรสุทธิกลุ่มวัสดุก่อสร้างจะเติบโต 10%YoY อยู่ที่ 6.44 หมื่นล้านบาท บริษัทที่มีกำไรเติบโตสูงสุดคือ TPIPL (+469%) จากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าขยะ 55MW เข้ามาเต็มที่ บวกกับรายได้จากธุรกิจวัสดุก่อสร้างที่จะเติบโตขึ้น หลังมีกำลังการผลิตใหม่ของโรงปูนซีเมนต์สายการผลิตที่ 4 เข้ามาใน 1Q59 รองลงมาคือ SCC คาดกำไรเติบโต 8% หลักๆมาจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ได้รับผลบวกจากช่วงขาขึ้นของวัฏจักรปิโตรเคมี ส่วนธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างถูกกดดันจากค่าเสื่อมราคาของโรงปูนซีเมนต์ใหม่ในกัมพูชา อินโดนีเซีย และพม่า ที่อาจยังไม่สามารถผลิตถึงจุดคุ้มทุน ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุน เท่ากับตลาด เลือก SCC(FV@B595) เป็น Top Pick

ธ.พ. ลดความกังวล กสทช ให้เปลี่ยนมือผู้ประกอบการทีวีดิจิตัล ดีต่อ BBL, KBANK
  คาดผลการดำเนินงานในงวด 1Q59 ยังเติบโตต่อเนื่องจากงวด 4Q58 เนื่องจากการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ และค่าใช้จ่ายดำเนินงานหลังพ้นช่วงฤดูกาล โดยเฉพาะ KTB ที่คาดสำรองหนี้ฯ จะกลับสู่ระดับปกติ และผลักดันให้กำไรสุทธิยังเติบโตโดดเด่นใน 1Q59 โดยคาด KBANK, BBL และ TMB จะกลับมาแสดงการเติบโตของกำไรสุทธิที่โดดเด่นขึ้น เนื่องจากภาระการตั้งสำรองหนี้ฯ และค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ลดลงหลังพ้นช่วงฤดูกาล
  และในปี 2559 คาดกำไรสุทธิของกลุ่มฯ จะเพิ่มขึ้น 9.2 yoy ภายใต้สมมติฐานการเติบโตของสินเชื่อสุทธิ ราว 5.23% yoy โดยเป็น การเติบโต จากสินเชื่อขนาดใหญ่ ทั้งในกลุ่ม ICT ที่ต้องจัดหาเงินทุนสำหรับการจ่ายค่าใบอนุญาตคลื่น 1800 และ 900 MHz และกลุ่มค้าปลีก การซื้อกิจการ BIGC
  นอกจากนี้ยังมีข่าวเชิงบวก หลังจากที่ประชุม กสทช. วานนี้ได้มีมติเห็นชอบเสนอแก้ไขกฎหมายให้ใบอนุญาตสามารถเปลี่ยนมือได้เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ดำเนินกิจการต่อไปไม่ไหว โดยหลังจากนี้จะรายงานต่อ คสช. เพื่อเข้าสู่กระบวนการแก้ไขกฎหมาย เท่ากับเปิดโอกาสให้มีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ช่วยลดความกังวลต่อธนาคารพาณิชย์ทีออก Bank Guarantee โดยเฉพาะ BBL(FV@B185) ซึ่งเป็นผู้ที่ออกหนังสื่อค้ำประกัน 1 ใน 3 ของวงเงินค้ำประกันทีวีดิจิทัล ทั้งระบบ (กว่า 3 หมื่นล้านบาท) นักวิเคราะห์กลุ่ม ธนาคารจึงปรับเพิ่ม Fair Value ของ BBL กลับมาที่ 185 บาท จากปัจจุบัน 148 บาท (ปรับเพิ่ม ROE มาที่เดิมก่อนที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลจะประสบปัญหา) จึงปรับเพิ่มคำแนะนำเป็นซื้อ ส่วน KBANK (FV@B240) เป็นผู้ออก Bank Guarantee ใหญ่เป็นอันดับ 2 ราคาตลาดยังมี upside 32% ยังเลือกเป็น Top pick ตามมาด้วย TCAP ([email protected]) คาดว่า EPS Growth ปีนี้ 20% ราคาตลาดมี upside 23%

ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!