WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

NOMURA copyบล.โนมูระ พัฒนสิน : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

SET พักฐานรอผลประชุม ECB 10 พรุ่งนี้ ให้สลับมาเน้น Mid-Small Caps : น้ำตาลฟื้น(+BRR), เก็งรถไฟฟ้า ชมพู-เหลือง(+CK, PYLON)
Nomura : Key Factors
(+) Ex Factor: ความคาดหวังต่อนโยบายผ่อนคลายจากธนาคารกลาง หนุนสินทรัพย์เสี่ยง
(+) Sugar: ราคาน้ำตาลโลก +1.36% สู่ 14.86 เซนต์ต่อปอนด์ รับภาวะอุปทานขาดแคลน
(+) TFEX: สถานะสะสมของต่างชาติใน TFEX ตั้งแต่ต้นปี-ปัจจุบันสูงถึง 123,010 สัญญา
(+) Valuation: SET ปัจจุบันเทรด PER16F ที่ 14.46 เท่า ต่ำกว่าLT Avg PER 14.7 เท่า
(*) Fund Flow: ต่างชาติซื้อ 640 ลบ, Short Future 4476, ซื้อ Bond 9104 ลบ
(-) OIL: ราคาน้ำมันดิบ WTI -3.69% สู่ $36.5/bbl / Brent -2.91% สู่ $39.65/bbl
(-) OIL: สต๊อกน้ำมันดิบ US จาก API ขึ้น 4.4ล้านบาร์เรลมากกว่าคาดที่ 3 ล้านบาร์เรล
(-) China Econ : ดัชนีส่งออกจีน กพ. -23.4%y-y จาก -11.2% และแย่กว่าคาดที่ -14.5%
SET PER 16F: CNS 13.6x (EPS 101) vs Cons.14.46x (LT-Avg 14.7x)
2016 SET Target: CNS Base 1515 pts (EPS 101, PER15x)
Nomura Daily Top Picks: CK, PYLON, BRR

       Daily Outlook : คาดดัชนีวันนี้ พักฐาน ในกรอบแนวรับ 1366/1359จุด และแนวต้าน 1385/1392จุด จากการรายงานสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯวานนี้ของ API พบว่าตัวเลขปรับตัวขึ้นอีกราว 4.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 521.5 ล้านบาร์เรล สูงกว่า consensus ที่คาดว่าจะเพิ่มเพียง 3 ล้านบาร์เรล ถือเป็นการทำจุดสูงสุดต่อเนื่อง 4 สัปดาห์ติดต่อกัน สะท้อนอุปทานน้ำมันดิบสหรัฐฯยังสูง กดดันนำมันดิบโลกปรับฐานระยะสั้น โดยราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ -3.69% ลงสู่ 36.5 เหรียญต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ -2.91% ลงสู่ 39.65 เหรียญต่อบาร์เรล แต่อย่างไรก็ตามเรามองราคาน้ำมันรอบนี้จะปรับฐานสั้นๆ 1-3 วัน หลังจากราคาน้ำมันดิบโลกแรงกว่า 45% จากจุดต่ำสุด ในระยะเวลาเพียง 1 เดือนเศษ และยังให้น้ำหนักการเจรจาขยายขอบเขตความร่วมมือของ OPEC-Non OPEC หลัง 20 มีค 2016 จะเป็นตัวพยุงน้ำมันพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว

     ขณะที่ ECB Meeting ในวันพรุ่งนี้ (10 มีค.) Nomura คาด ECB มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง -0.1%, เพิ่มวงเงิน QE รวมถึงขยายระยะเวลาการทำ QE ไปอีก 3 เดือน หลังจากภาพรวมเศรษฐกิจยูโรโซนยังฟื้นตัวต่ำกว่าคาด จะเป็นปัจจัยพยุงสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ในช่วงของการพักก่อนฟื้นตัว ส่วนปัจจัยในประเทศ 1) วันนี้ติดตาม รฟท. หารือเกี่ยวกับรายละเอียดโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง ก่อนเพื่อนำเข้าพิจารณา ครม. ในวันที่ 15 มีค. นี้ และจิตวิทยาบวกของโอกาสในการนำ ม. 44 มาใช้ในการเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นภาพบวกต่อกลุ่มรับเหมาฯ 2) นายกฯต้องการให้ทุกหน่วยงานเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2559 ให้เป็นไปตามเป้าหมายหนุนแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงถัดไป

     Asset allocation : หุ้น 70% ทองคำ 2.5% ตลาดบอนด์ 5% และเงินสด 22.5%

     Short-Term Strategy : ตลาดพักฐาน แนะขายเล่นรอบกลุ่มน้ำมัน PTTEP, PTT, PTTGC, IRPC, TOP คาดพักฐานตามน้ำมัน 1-3วัน ย่อลึกค่อยซื้อกลับ และขายหุ้นใน Stock Monitor เล่นรอ( HMPRO, TISCO, PS, BCH, STPI, BJCHI) และสลับมาเน้น Mid Small Caps ที่มีปัจจัยหนุนโดดเด่น นำโดย 1) รฟท เตรียมสรุปรายละเอียดรถไฟฟ้าสีชมพุ-เหลือง วันนี้ เพื่อนำเข้า ครม. พิจารณา 15 มีค. บวกต่อรับเหมา (PYLON, CK, SCC) 2) หุ้นพลังงานทางเลือก กำไรปี 16 เด่น (BRR, BWG, GUNKUL, TPCH) 3) กลุ่มปันผลสูง QTC (5.9%), SC (5.6%), PYLON (5.3%), AP (5.2%), CI(5.0%) ผสาน Portfolio Top picks MAR 16 : DTAC, BRR, TPCH, CI, ERW, PYLON สำหรับวันนี้แนะนำ Daily Top Picks: CK, PYLON, BRR

        Mid-Long Term Strategy : คาด มีค 2016 หุ้น Big Cap ยังได้รับแรงหนุนจาก Fund Flow ที่ไหลเข้าเอเซียต่อเนื่อง หลังเศรษฐกิจ DM ชะลอตัวกว่า EM-ASIA ผสานสภาพคล่องโลกเพิ่มขึ้นจากนโยบายการเงินผ่อนคลาย หนุน SET สู่แนวต้าน 1378/1411จุด โดยคาดว่ากลุ่มนำตลาด คือ Big Cap Domestic & High Yield เช่น BBL, SCB, KTB, SCC ผสานหุ้นน้ำมันที่มีลักษณะเก็งกำไรระหว่างเดือนได้ PTT, PTTEP, PTTGC และให้เริ่มจับตา Mid-Small Cap ที่คาดว่าจะเริ่ม Outperform ต่อเนื่อง นำโดย 1) กลุ่ม Module oil and gas (STPI, BJCHI) ลุ้นโครงการ LNG กลับมาเดินหน้าหลังน้ำมันฟื้น 2) Earning Momentum ปี 2016 เด่น (TPCH, ERW, CI) 3) กลุ่มที่กำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว CK, BRR 4) High Yield BJCHI, QTC, SC, AP, CI, PS, QH ส่วนหุ้น Dark Horse แนะนำ DTAC ในฐานะ Laggard Downside จำกัด และมีจิตวิทยาบวกหากธุรกิจ ICT พลิกมีผู้แข่งขันในกลุ่มเท่าเดิม สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะ Underperform ในเดือนนี้ เช่น TASCO, EPG หากน้ำมันฟื้นตัวอาจถูกขายทำกำไร และ MEDIA(BEC) ที่กำไรมีแนวโน้มชะลอตัว สำหรับ Portfolio Top picks MAR 16: DTAC, BRR, TPCH, CI, ERW, PYLON

Investment Theme:
2016 AEC Connectivity : WISE
Wellness & discover Thainess: ERW, KAMART, BCH, BDMS
Infrastructure: BBL, CK, AMATA. DCC
Spending Recovery: ROBINS, CI, LH, TCAP
Eco Friendly: SCC, KSL, BRR, NYT
1Q16 Top Picks : ERW, BBL, ROBINS, BRR, LH, CPF

Fundamental & Tactical Daily Top Picks :
CK (TP30.6*): Support 22.6/22 Resistance 25.0/26.5
Theme: Infrastructure spending
Earning Outlook : คาดกำไรปกติ 2016F เติบโต 104% y-y สู่ระดับ 1,190 ลบ. จากรายได้งานก่อนสร้างที่เร่งตัวขึ้น ขณะที่ SG&A ปรับลด
Valuation : น่าสนใจจากระดับ PBV16F ปัจจุบัน 1.94x ต่ำกว่า Mean เฉลี่ย 2.17x Upside 30.2%
Catalyst : คาดโครงการรถไฟฟ้าสีชมพู-เหลืองจะมีข้อสรุปเพื่อเตรียมพิจารณาเข้า ครม. วันที่ 15 มี.ค.2016 นี้ เป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ

PYLON (TP13*): Support 9.8/9.5 Resistance 10.5/11.1
Theme: WISE - Infrastructure
Earning outlook: คาดกำไรสุทธิปี 16F แตะระดับ 254.3 ลบ. หรือเติบโต 26.1% y-y จากการปลดล็อคโครงสร้างพื้นฐานในปี 2016 โดยคาดว่ารถไฟฟ้าสายสีส้มจะเป็นโครงการแรกที่เริ่มก่อสร้างได้ในช่วง พ.ย.59
Valuation : มูลค่าเหมาะสมปี 2016F ที่ 13.00 บาท อิง P/E 16F ที่ 18.5x เท่า i) ธุรกิจหลักของ มูลค่า 10.51 บาทต่อหุ้น ii) ให้น้ำหนักว่ารถไฟฟ้าสายสีส้มจะเริ่มก่อสร้างในเดือน พ.ย.16 Conservative เพียง 50% หรือ 2.44 บาทต่อหุ้น
Catalyst : คาดโครงการรถไฟฟ้าสีชมพู-เหลืองจะมีข้อสรุปเพื่อเตรียมพิจารณาเข้า ครม. วันที่ 15 มี.ค.2016 นี้ เป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ อีกทั้ง PYLON ยังประกาศจ่ายปันผล 0.53 บาท/หุ้น Dividend Yield สูง 5.3% ขึ้น XD 15 มี.ค.2016

BRR (TP15.6*): Support 12.7/12.4 Resistance 13.3/14.0
Theme: Complete Utilization of Sugar
Earning outlook: ก้าวสู่การบันทึกกำไรที่จุดสูงสุดใหม่ใน 1Q16F คาดที่ระดับ 156.7 ลบ. +11.5% y-y และเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องจนถึง 2Q16F เนื่องจาก เป็นช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมน้ำตาลไทย
Valuation: มูลค่าเหมาะสมปี 2016F ที่ 15.60 บาท Upside 21.8% โดยคาด EPS growth ในปี 16F เติบโตกว่า 78% y-y และเติบโตต่อเนื่องสามปีข้างหน้าเฉลี่ย (16F-18F) กว่า 52.9%
Catalyst: ราคาน้ำตาลตลาดโลกฟื้นตัว +1.36% สู่ระดับ 14.86 เซนต์/ปอนด์ และมีแนวโน้มขึ้นต่อ จากภาวะเอลนีโญ ส่งผลให้อินเดียและไทยมีผลผลิตน้ำตาลต่ำกว่าคาด ประกอบกับบราซิลผลิตเอทานอลมากขึ้น

Research and IRIS Reports
COMPANY QUICK COMMENT:
CK (BUY, TP30.6) ผู้บริหารคาดแนวโน้มธุรกิจ 2016F จะสดใสกว่าปี 2015
- เรามีมุมมอง Slightly negative จากข้อมูลที่ได้ในการประชุม analyst ในประเด็นความไม่แน่นอนของโครงการน้ำบาก ซึ่งหากสุดท้ายบริษัทไม่ได้งานดังกล่าวอาจทำให้ตลาดผิดหวัง แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประมาณการของเราอย่างมีนัยสำคัญ (คิดเป็น 3% ของรายได้ก่อสร้าง FY16F) จากคาดได้มูลค่างานเพิ่มโครงการไซยะบุรีมาชดเชย ทั้งนี้เราคงคำแนะนำ BUY ต่อ CK ที่ราคาเป้าหมาย 16F ที่ 30.60 บาท/หุ้น โดยคงมุมมองที่แนวโน้มกำไรปกติ FY16F ของบริษัทจะเติบโต 104% y-y ตามการเติบโตของรายได้ก่อสร้าง รวมถึงค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลง (คาดไม่มีโบนัสพิเศษ) และมองว่าแนวโน้มธุรกิจก่อสร้างสดใสต่อเนื่องในระยะยาวตามการเปิดประมูลงานรัฐต่อเนื่องใน 2016-17F ซึ่งคาดบริษัทเป็นผู้มีแนวโน้มได้รับงานมากสุด จากที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลาย โดยเฉพาะงานรถไฟฟ้าใต้ดิน รวมถึงมี capacity และสภาพคล่องที่พร้อม นอกจากนี้ยังได้แรงเสริมจากเงินลงทุนที่มีแนวโน้มเติบโต

SECTOR QUICK COMMENT:
MOBILE (BEARISH) Slightly negative sentiment ต่อข่าวกสทช.ไม่ต่ออายุเยียวยา 2G ของ ADVANC
- เรามีมุมมอง slightly negative sentiment หลังมีข่าวบอร์ดกทค.ไม่อนุมัติให้ ADVANC ต่ออายุมาตรการเยียวยาลูกค้า 900MHz ที่ยังเหลือ 8 ล้านรายและคำสั่งทางปกครองสั่งให้ DTAC หรือ/และ ADVANC ดำเนินการย้ายโอนลูกค้าที่ค้างอยู่จำนวน 600,000 ราย ไปยังTRUEภายใน3 วัน
- เชิงปัจจัยพื้นฐาน เราประเมินผลกระทบจำกัดจากการที่ ADVANC ไม่ได้รับต่ออายุมาตรการเยียวยา เนื่องจากได้ทำสัญญา roaming และใช้โครงข่าย 2G 1800 MHz กับ DTAC อยู่แล้ว สามารถเปิดให้บริการต่อกับลูกค้าได้ทันที โดยจะมีเพียงลูกค้าที่ใช้ซิม 2G-900 MHz ซึ่งปัจจุบันเหลือไม่ถึง 0.5 ล้านราย (ไม่ถึง 0.8%ของรายได้ให้บริการ)เท่านั้นที่จะไม่สามารถใช้งานต่อได้ ซึ่งเราและตลาดรวมรายจ่ายค่า Roaming และการสูญเสียลูกค้า 2G บางส่วนในประมาณการแล้ว โดยปัจจุบันเราคงประมาณการกำไรปี 16F ที่ 32,495 ล้านบาท (-17%y-yในปี 16F ) ภายใต้สมมติฐานสูญเสียลูกค้า 2G 50% หรือคิดเป็น 7%ของรายได้บริการปี 15 และคาดรายจ่ายในการ Roaming กับ DTAC ราว 2,000 ล้านบาท
- เราคาดผลกระทบไม่ถึง -1%ของรายได้ให้บริการต่อ ADVANC และ DTAC จากคำสั่งทางปกครองสั่งให้ DTAC หรือ/และ ADVANC ดำเนินการย้ายโอนลูกค้าที่ค้างอยู่จำนวน 600,000 ราย ไปยัง TRUE ภายใน 3 วัน ในขณะที่เรายังคงประเมินการแข่งขันในการทำการตลาดจะรุนแรงต่อเนื่อง เพื่อรักษาฐานลูกค้าของแต่ละรายไว้


- คงน้ำหนักลงทุน BEARISH ต่อกลุ่มสื่อสาร เลือก ADVANC เป็นหุ้นเด่น เนื่องจากเราให้น้ำหนัก JAS จะจ่ายเงินค่าใบอนุญาตคลื่น 900 MHz สำหรับหุ้นเด่นกลุ่ม Mobile เรายังเลือก ADVANC เนื่องจากมองว่ามีฐานะการเงินรองรับการลงทุนได้ดีกว่าคู่แข่ง ประกอบกับราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนปัจจัยเสี่ยงจากการสูญเสียรายได้กลุ่มใช้เครื่อง 2G ไปแล้ว รวมถึงอยู่ระหว่างจ่ายเงินปันผลงวด 2H15 ที่ 6.49 บาท/หุ้น (yield~4%) ขึ้น XD 31 มี.ค.16 และจ่าย 22 เม.ย.16 รองลงมา คือ INTUCH (BUY,TP67) ด้วยประเด็น Laggard play ในขณะที่ DTAC (TP28) แนะนำ "REDUCE" เพราะราคาหุ้นปัจจุบันถูกเก็งกำไรจากประเด็น JAS ไม่จ่ายเงินและการร่วมลงทุนกับ CAT บริหารคลื่น 1800 MHz จำนวน 20 MHzมากเกินไป ส่วน TRUE (TP ใหม่ในช่วง 5.4-6.1 บาท) อยู่ระหว่างประมาณการลง สะท้อนการเพิ่มทุน 60,000 ล้านบาท

Weekly Outlook :
ECB's Easing Policy continuously boosts fund inflows
Top Picks: BBL, BWG, BRR
- Weekly outlook : Sideway Up ในกรอบต้าน 1400/1420จุด รับ 1365/1352จุด
- ความคาดหวังเชิงบวกต่อการใช้นโยบายผ่อนคลายของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนแรงกลับเข้าเก็งกำไรสินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดย สัปดาห์นี้แนะติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB Meeting) ในวันที่ 10 มีค.นี้ มุมมอง Nomura คาด ECB 1) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงอีก -0.1% ลงสู่ระดับ -0.4% เพื่อเพิ่มสภาพคล่องเพิ่มเติมให้กับระบบเศรษฐกิจ 2) คาดปรับเพิ่มวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์อีก 1 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน สู่ 7 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน และ 3) ขยายระยะเวลา QE ยูโรโซน เพิ่มอีก 3 เดือน ไปจนถึงสิ้นเดือนมิย.2017 ผลักดันการฟื้นตัวของสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด Asia Emerging Market ที่ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวได้โดดเด่นกว่าตลาด Developed Market โดยทิศทาง Fund Flow ที่ไหลเข้าไทยพบว่า เริ่มมีสัญญาณซื้อหุ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วง 15 กพ. 2016 ถึงปัจจุบัน รวมกว่า 20,382 ล้านบาท โดยประเมินต้นทุนเฉลี่ยบริเวณ SET 1340 จุด สอดคล้องกับตลาด TFEX ที่ต่างชาติยังทยอยสะสม Net Long ต่อเนื่องซึ่งหากพิจารณาตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันพบว่า ยอดถือครองของต่างชาติในตลาด TFEX มีสถานะ Net Long ที่สูงถึง 122,078 สัญญา ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ บ่งชี้ถึงมุมมองเชิงบวกของต่างชาติต่อตลาดหุ้นไทย เพิ่มโอกาสต่อการแกว่งขึ้นของ SET ได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับสัญญาณทางเทคนิคในสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ SET สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 200 วัน ได้เป็นครั้งแรก ในรอบ 8 เดือน ถือเป็น sentiment เชิงบวกเพิ่มเติม คาดหนุนให้ SET สัปดาห์นี้มีโอกาสแกว่งขึ้นทดสอบแนวต้านสัปดาห์ที่ 1400/1420 จุด ได้


- กลยุทธ์การลงทุน: Fund Flow ไหลเข้าหนุน SET ทดสอบ 1400 จุด คาดกลุ่ม BANK (BBL, SCB) ยังเป็น sector เด่นนำตลาดขึ้น ผสาน ENERG (PTT, PTTEP) ที่ได้อานิสงค์บวกจากราคาน้ำมันดิบที่มีสถี่ยรภาพมากขึ้น ส่วนกลุ่ม Laggard ที่น่าสนใจแนะ SCC, PTTGC, DTAC นอกจากนี้ Mid&Small Caps สตอรี่เด่นที่น่าทยอยสะสม แนะนำ 1) กำไรผ่านจุดต่ำสุดแล้ว (BRR, CK) 2) ปันผล+Upsideสูง (RP, BJCHI, QTC, SC, AP, CI, PS, QH) 3) กลุ่ม Module oil and gas (STPI, BJCHI) PER ยังต่ำ 8เท่าเศษ + ลุ้นโครงการ LNG กลับมาเดินหน้าอีกครั้งหลังน้ำมันฟื้น รวมถึงหุ้น Portfolio Top picks MAR 16 : DTAC, BRR, TPCH, CI, ERW, PYLON เป็นกลุ่มที่น่าทยอยสะสม
หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : BBL, BWG, BRR
1) BBL(TP186*) สินเชื่อฟื้นตัว ราคาปัจจุบันเทรดเพียง PBV 0.86x (ระดับ -1SD)
2) BWG(TP2.56*) ผู้นำกำจัดขยะอุตสาหกรรม+แนวโน้มโรงไฟฟ้าขยะที่จะทยอยเสร็จหนุน
3) BRR(TP15.6*) คาดกำไร 1Q15 New High รับรู้โรงไฟฟ้าโรงที่2+นำตาลเข้าสูวงจรขาขึ้น

Monthly Outlook :
Stay with The Flow
Top Picks: DTAC, BRR, TPCH, CI, ERW, PYLON
- Monthly Outlook : Up ต้าน1378/1411จุด(Best 1431) รับ1310/1297จุด(Worst 1280)
- แนวโน้มการลงทุนเดือน มีค. 2016 คาดว่าตลาดจะแกว่งตัวขึ้นอย่างน้อยถึง กลาง เดือน มีค 2016 แรงหนุนหลักยังเป็นแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายของธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลก นำโดย 1) ECB 10 มีค 2016 Nomura คาด ECB จะลดอัตราดอกเบี้ยเงินนโยบายอย่างน้อย 10bps สู่ -0.05% และจะเพิ่มวงเงินซื้อ QE จาก 60Bn EUR ต่อเดือนสู่ 70Bn EUR 2) BOJ 14-15 มีค 2016 Nomura คาดจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก จาก -0.1% to -0.3% (-20bps.) และขยายวงเงินซื้อ ETFs จาก 3 trn. Yen สู่ 6 trn. Yen ต่อปี และเลื่อนการขึ้นภาษีการบริโภคไปเป็น เมย 2017 เป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นเอเชีย จาก Yen Carry Trade 3) FED 15-16 มีค. คาดจะคงดอกเบี้ยทีระดับเดิมต่อไป โดย Nomura ให้น้ำหนักการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเดือน มิย 2016(Forward FED Fund Rate Curved ซึ่งสะท้อนมุมมองของตลาดให้น้ำหนักปลายปี 2016) และ 4) Nomura คาด BOT จะลดดอกเบี้ยลง ในการประชุม 23 มีค 2016 อีก 0.25% ลงสู่ 1.25% แนวโน้มนโยบายการเงินโลกที่ผ่อนคลายดังกล่าว รวมไปถึงค่าเงินที่เริ่มมีเสถียรภาพ ประกอบกับทิศทางราคาน้ำมันดิบโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง กล่าวคือ CNS คาดราคาน้ำมันดิบ BRENT พ้นจุดต่ำสุดไปแล้วและจะแกว่งขึ้นสูงกรอบ 40/45เหรียญฯต่อบาร์เรลในเดือนนี้ จากแรงหนุนการขยายขอบเขตการเจรจาเพื่อคุมกำลังการผลิตของ OPEC & Non OPEC จะเริ่มกดให้ Supply ตึงตัวระยะสั้น ผสานภาพของแท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐฯที่ลดลงต่อเนื่องจากราคาน้ำมันต่ำทำให้ไม่คุ้มค่าการผลิตเป็นรายแท่นหนุน จะหนุนตลาดหุ้นในเดือน มีค 2016 แกว่งตัวขึ้นสู่ แนวต้านที่ 1378/1411จุด(Best Case 1431จุด) และแนวรับ 1310/1297จุด(Worst Case 1280จุด)


- กลยุทธ์ลงทุน: แนวโน้มตลาดเดือน มีค 2016 หุ้น Big Cap ยังได้รับแรงหนุนจาก Fund Flow ที่ไหลเข้าเอเซียต่อเนื่อง หลังเศรษฐกิจ DM ชะลอตัวกว่า EM-ASIA ผสานสภาพคล่องโลกเพิ่มขึ้นจากนโยบายการเงินผ่อนคลาย หนุน SET สู่แนวต้าน 1378/1411จุด โดยคาดว่ากลุ่มนำตลาด คือ Big Cap Domestic & High Yield จะนำตลาดตลาด คือ BBL, SCB, KTB, SCC ผสานหุ้นน้ำมันที่มีลักษณะเก็งกำไรระหว่างเดือนได้ PTT, PTTEP, PTTGC และให้เริ่มจับตา Mid-Small Cap ที่คาดว่าจะเริ่ม Outperform ต่อเนื่อง นำโดย 1) กลุ่ม Module oil and gas (STPI, BJCHI) ที่ PER ยังต่ำ 8เท่าเศษ และลุ้นโครงการ LNG กลับมาเดินหน้าหลังน้ำมันฟื้น 2) Earning Momentum ปี 2016 เด่น (TPCH, ERW, CI) 3) กลุ่มที่กำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว CK, BRR 4) High Yield BJCHI (7.1%), QTC (5.9%), SC (5.7%), AP (5.1%), CI(5%) PS (4.8%), QH(3.94%) ส่วนหุ้น Dark Horse แนะนำ DTAC ในฐานะ Laggard Downside จำกัด และมีจิตวิทยาบวกหากธุรกิจ ICT พลิกมีผู้แข่งขันในกลุ่มเท่าเดิม สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะ Underperform ในเดือนนี้ เช่น TASCO, EPG หากน้ำมันฟื้นตัวอาจถูกขายทำกำไร และ MEDIA(BEC) ที่กำไรมีแนวโน้มชะลอตัว สำหรับ Portfolio Top picks MAR 16: DTAC, BRR, TPCH, CI, ERW, PYLON

Eagle Eye
SSO PLAY:
แนวโน้มการใช้ดอกเบี้ยนโยบายต่ำ หนุน Fund Flow เข้า ASIA
เลือก SCC, BBL, SCB, BDMS, PS, ROBINS, BJC เป็นหุ้นเด่น
- ผลกระทบจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ล่าช้า โดยมีปัจจัยกดดันต่างๆ อาทิ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาน้ำมันดิบที่ลดต่ำลง ผสานวามกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่อาจจะเกิด Hard Landing กดดันให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าไวในช่วงต้นปี 2016 และกดดันค่าเงินเอเซียผันผวนสูง นำมาซึ่งความพยายามของธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลกทั้ง ECB, BOJ, PBOC จำเป็นต้องกลับมาเร่งใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติมอีกครั้ง ขณะที่ FED การขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 7 ปี ในเดือน ธค 2015 กลับทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจหลังจากนั้นชะลอตัวลง ก็เริ่มส่งสัญญาณชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งภาพของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง กำลังกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่สินทรัพย์เสี่ยงโลกเริ่มมี Equity Risk Premium ที่สูงจูงใจ โดยเฉพาะเอเซีย จึงเป็นจุดที่นักลงทุนสถาบัน และต่างชาติ เริ่มจัดสรรเงินทุนเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ล่าสุดวันที่ 17 กพ 2016 กองทุนประกันสังคม ได้ให้ประเด็นต่อสำนักข่าว Bloomberg ถึงโอกาสในการจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นเพิ่มมากขึ้น และลดน้ำหนักการลงทุนพันธบัตร ทีมกลยุทธ์ของจึง สำรวจหุ้นที่สำนักงานประกันสังคมถือ 50 อันดับ เพื่อประเมินหุ้นที่ SSO มีโอกาสเพิ่มน้ำหนักมากที่สุด ใน "Theme SSO Play" โดยเลือก SCC, BBL, SCB, BDMS, PS, ROBINS, BJC เป็นหุ้นเด่น
- กลยุทธ์การลงทุน : CNS ได้สำรวจหุ้นที่สำนักงานประกันสังคมถือ 50อันดับ เพื่อประเมินหุ้นที่ SSO มีโอกาสเพิ่มน้ำหนักมากที่สุด โดยประเมินจาก Criteria 3 ประการ ดังนี้ 1) มี Upside จากราคาพื้นฐานของ Consensus 10% 2) dividend Yield 2016F-2017F สูงกว่า 1.5% และ 3) คาดกำไรเติบโตต่อเนื่องทั้งปี 2016-2017F ได้หุ้นเด่น 7บริษัท ดังนี้ SCC, BBL, SCB, BDMS, PS, ROBINS, BJC

Dividend Play:
หุ้นปันผลสูง 2H15F : KTB, INTUCH, ADVANC, SIRI, BJCHI, SC, QTC, TISCO
- ใกล้เทศกาลจ่ายปันผล 2H15 ราวเดือน มีค-พค 2016 ทีมกลยุทธ์ได้รวบรวมหุ้นที่คาดว่าจะจ่ายปันผลในช่วง 2H15F เฉพาะหุ้นที่อยู่ในการศึกษาของฝ่ายวิจัย CNS เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลเด่นสำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1-2เดือน ใน "Theme Dividend Play 2H15F"
- กลยุทธ์หุ้นปันผล Big Cap ซื้อก่อน XD สั้นๆ 2 สัปดาห์ และขายหลัง XD 1-2สัปดาห์ก็ให้ผลตอบแทนน่าพอใจ 2.8-3.9% : ผลการศึกษาด้านราคาของหุ้นปันผลย้อนหลัง 8 ปี พบว่า กลยุทธ์สำหรับหุ้นขนาดใหญ่(Big Cap) ควรซื้อก่อนขึ้น XD ระยะสั้น เพียง 2 สัปดาห์ และขายหลัง XD 1-2 สัปดาห์ จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่น่าพอใจราว 2.5-3.9% เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นหุ้นนำดัชนี ซึ่งราคาหุ้นมักจะผันผวนตามภาวะตลาด การลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนจากปันผลจึงควรลงทุนในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
- กลยุทธ์หุ้นปันผล Mid-Small Cap ควรสะสมก่อน XD 2 เดือน และขายหลัง XD 1-2สัปดาห์จะให้ผลตอบแทนสูง 9.2-9.6% : กลยุทธ์หุ้นปันผลขนาดกลาง-เล็ก ควรซื้อในช่วงที่ยาวกว่ากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ คือ สะสมก่อนวันขึ้น XD ราว 2 เดือน และขายหลัง XD ราว 1-2 สัปดาห์ จะให้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจที่สุดเฉลี่ยราว 9.2-9.6% (รายละเอียดเพิ่มเติมในเล่ม)
- กลยุทธ์หุ้นปันผล 2H15 แนะนำ High Upside & High Yield : เราได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น 2H15 จาก 1) หุ้นที่คาดว่าจะจ่ายเงินปันผล 2H15 สูงกว่า 4.5% และ 2) เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ราคาหุ้นยังคง Undervalue มูลค่าพื้นฐานปี 2016 ของ CNS (upside > 15%) โดยมี Top Picks 8 บริษัท ดังนี้ Big Cap แนะนำ KTB, INTUCH, ADVANC ส่วน Mid-Small Cap แนะนำ SIRI, BJCHI, SC, QTC, TISCO

Strategy Update:
2016F Thailand Equity Outlook: "2016 AEC Connectivity - WISE"
2016Top Picks : KAMART, ERW, BDMS, BCH, BBL, CK, AMATA, DCC, ROBINS, CI, LH, TCAP, SCC, KSL, BRR, NYT
- 2016F Key Factor: AEC Connectivity - WISE
- Global Growth: ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัว นำโดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) ขณะที่ ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ยังคงมี downside risks จากปัจจัยด้านโครงสร้าง
- Equity Risk Premium (ERP): ค่า Premium หรือส่วนต่าง (ERP) ของผลตอบแทนตลาดหุ้นเอเชีย (Risky asset) สูงกว่าผลตอบแทนพัธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (Risk free asset) อยู่ 615 bps หรือราว +0.9SD เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 460bps. สะท้อนสินทรัพย์เสี่ยงมี Valuation เชิงพื้นฐานที่ถูก และน่าจะเริ่มฟื้นตัว
- Global Monetary Remains Easing: แนวโน้มการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง นำโดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจาก ECB ซึ่งขยายระยะเวลาการทำ QE ออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมที่จะหมดอายุในเดือน กย 2016 ขยายเป็น มีค 2017 นอกจากนี้ ในปี 2016 Nomura คาด BOJ จะเพิ่มวงเงินในโครงการซื้อกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ขึ้น 2 เท่า จาก 3 ล้านล้านเยน เป็น 6 ล้านล้านเยน ในเดือน เม.ย. และ คาด PBoC (ธนาคารกลางจีน) จะมีการลด RRR ทั้งหมด 4ครั้ง โดยลด 50bps ต่อไตรมาส อีกทั้ง จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในปี ครั้งละ 25 bps จะช่วยชดเชยสภาพคล่องที่ลดลง จากการปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ระดับปกติของ Fed
- Fed Rate Hike: ความผันผวนของตลาดสินทรัพย์เสี่ยงในการเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ ถือเป็นโอกาสเข้าซื้อลงทุนในระยะกลาง-ยาว ซึ่งในระยะ 9 เดือน หลัง Fed ขึ้นดอกเบี้ย MSCI World ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราวๆ +10% ทั้งนี้ Nomura คาด Fed ปรับดอกเบี้ยในปี 2016 และ 2017 ประมาณ 50 และ 75 bps ตามลำดับ ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยเป้าหมายอยู่ราว 2%

- High Bond Yield - Equity Positive: ความสัมพันธ์ระหว่าง US Bond Yield และ Equity prices แปรผันตามกัน ดังนั้น ในวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ จะหนุน Multiple PE สูงขึ้น โดยคาดว่า US Bond Yield อายุ 10 ปี ที่เพิ่มขึ้นราว +50bps จะหนุน MSCI World Index ซื้อขายที่ PE >1.5X และผลัก Fund flow ไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง
- Commodity Price: Nomura มีการปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ Brent ในปีนี้ลงจาก 60 เหรียญฯต่อบาร์เรล เหลือ 53 เหรียญฯต่อบาร์เรล และในปี 2016F ปรับลดจาก 70 เหรียญฯต่อบาร์เรล เหลือ 55 เหรียญฯต่อบาร์เรล ปี 2017F จาก 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล เหลือ 60 เหรียญฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ เป็นภาพบวกต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงถัดไปในฐานะประเทศที่นำเข้าน้ำมันสุทธิ
- US Election 2016: คาดสินทรัพย์เสี่ยงโลก จะตอบรับเชิงบวกต่อการเลือกตั้งในสหรัฐฯ เนื่องจาก ความขัดแย้งทางการเมืองสหรัฐฯ จะลดลง เพื่อเข้าสู่กระบวนการหาเสียงก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.
- 2016 AEC Connectivity: การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ การลงทุน และแรงงานฝีมืออย่างเสรี หนุนเศรษฐกิจภูมิภาคให้แข็งแกร่งขึ้น
- Economic: Nomura คาด GDP ไทยในปี 2016-2017 เติบโตเพียง 2.5-2.7% แต่ประมาณการณ์ดังกล่าวอาจมี Upside Risk หากรัฐฯ เร่งการลงทุนต่อเนื่องและฟื้นความเชื่อมั่นภายในได้ดีกว่าคาด
- Foreign Holdings of equity: ยอดการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติยังคงต่ำกว่าในช่วงวิกฤติการเงินโลก (GFC 2008)
- Risk: 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน 2) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ต่ำกว่าคาด 3) สงครามโลก 3 (World War III)และ 4) ความเสี่ยงทางการเมืองในไทย
- 2016 Market Outlook: CNS คาด SET 1H16 จะแกว่งบวกในกรอบ 1250-1500จุด ด้วยดัชนีเป้าหมายปี 2016 ที่ระดับ 1515จุด (PER FWD 15x) มี Upside จากปัจจุบันราว 18% โดย CNS เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันถูกในเชิงพื้นฐานหลังค่า Equity Risk Premium สูงถึง 5.32% มากกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 5.16% และเป็นครั้งแรกในรอบ 5ปี ที่ค่า Valuation เชิงพื้นฐานถูกที่ระดับนี้ โดยประเมินกิจกรรมทางเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดใน 4Q15 เป็นต้นไป ขณะที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐซึ่งเป็น LT-Growth กำลังดึงความเชื่อมั่นให้ฟื้นตัว ซึ่งคงต้องประเมินความต่อเนื่องจนถึง 1Q16 นี้ หากมีโมเมนตัมบวกต่อเนื่องจะหนุนภาพตลาดหุ้นไทยเป็นไปตามเป้าหมายได้ ในทางกลับกันหากสัญญาณความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและเศรษฐกิจในช่วงดังกล่าวไม่ฟื้น ภาพตลาดจะพลิกมามี Downside Risk จากความเสี่ยงเศรษฐกิจตกต่ำ เร่งความเสี่ยงการเมืองได้
- 2016 Strategy: CNS ยังแนะนำกลุ่มที่อิงการเติบโตจากเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือการเติบโตตามภูมิภาคอาเซียนหนุน และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐ แนะนำ Overweight CONMAT, TRANS, HOT, COM, FOOD โดยเลือก Theme 2016 AEC Connectivity-WISE แนะนำ Top Picks 1H16 คือ ERW, BBL, ROBINS, BRR, LH, CPF ส่วน Top Picks ปี 2016 มี 16 บริษัท คือ KAMART, ERW, BDMS, BCH, BBL, CK, AMATA, DCC, ROBINS, CI, LH, TCAP, SCC, KSL, BRR, NYT

Shipping Update:
BDI วานนี้ +12 สู่ระดับ 366 จุด โดยสำหรับนักลงทุนระยะสั้น กลาง ยาว แนะนำ "Wait and See PSL (รายได้จากเรือเทกอง 100%) TTA (รายได้จากเรือเทกอง 30-35%)"
- ค่าระวางเรือเทกอง (BDI) วานนี้ +12 สู่ระดับ 366 จุด โดยค่าเฉลี่ย BDI 1Q16 อยู่ที่ 345 จุด (-45%q-q, -43%y-y)
- สำหรับนักลงทุนระยะสั้น กลาง ยาว แนะนำ "wait and see" PSL (รายได้จากเรือเทกอง 100%) TTA (รายได้จากเรือเทกอง 30-35%)"

ดัชนีค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ วานนี้ +1 จุด สู่ ระดับ 338 จุด โดยแนวโน้มคาดกำลังอยู่ในช่วงพักฐาน
- ค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ วานนี้ +1 จุด สู่ ระดับ 338 จุด โดยแนวโน้มคาดกำลังอยู่ในช่วงพักฐาน
- สำหรับนักลงทุนระยะสั้น กลาง ยาว แนะนำ wait and see "RCL"

Stock Calendar
- วันนี้ : (XD) AGE @0.05, ASIMAR @0.2, AUCT @0.17, BKI @3.75, DRT @0.13,MEGA @0.24, NYT @0.65, PS @1.25, SCP @0.4, SMK @17.28,SUSCO @0.05, TCCC @1.5, TIP @2, TWP @1.1, UV @0.11
- วันพรุ่งนี้: (XD) 2S @0.1, APURE @0.03, BH @1.45, BR @0.5, CM @0.2, CMR @4.16 DTC @1.2, DTCI @0.6, EGCO @3.25, KCAR @0.24, MCOT @0.02,NCH @0.0055, OISHI @1.45, PRIN @0.05, PSTC @0.0018, SPACK @0.012 SPCG @0.81, SVH @5, SVOA @0.056, TCMC @0.12, TMD @1.1,UEC @0.08 (Stock Dividend) NCH 20 : 1

Top NVDR Buy/Sell
Top Buy KBANK, SCB, SPRC, BBL, KTB / Top Sell AOT, INTUCH, BH, AAV, MAJOR
Regional Fund Flow
- Indonesia +3, Philippines +16, S.Korea -105, Taiwan +138, Thailand +18
- ภาพรวมตลาดภูมิภาค วานนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิ 72 ล้านเหรียญ โดยพบว่าแรงซื้อสุทธิเริ่มชะลอตัวลง โดยพบแรงขายในบางประเทศ เช่น S.Korea ขาย 105 ล้านเหรียญ (ขายวันแรกหลังจากซื้อสุทธิต่อเนื่อง 8 วันติดต่อกันกว่า 1.46 พันล้านเหรียญ
- สอดคล้องกับกลุ่ม TIP วานนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิ 37 ล้านเหรียญ โดยพบว่ายังคงมีแรงซื้อสุทธิในทุกประเทศ นำโดย Thailand ซื้อ 18 ล้านเหรียญ, Philippines ซื้อ 16 ล้านเหรียญ และ Indonesia ซื้อ 3 ล้านเหรียญ

Strategist Team
Koraphat Vorachet : Analyst Registration No. 043100
[email protected] : 0-2287-6771, 0-2638-5771
Wijit Arayapisit : Analyst Registration No. 044799
[email protected] : 0-2287-6871, 0-2638-5871
Chavaratt Changpakorn : Assistant Strategist

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!