- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 03 March 2016 17:49
- Hits: 383
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ราคาน้ำมันโลกมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังผู้ผลิตน้ำมันให้ความร่วมมือในการควบคุมการผลิต หุ้นน้ำมันยังหนุนตลาด แต่ SET น่าจะติดแนวต้าน 1,370-1,385 จุด กลยุทธ์ยังให้ผสมหุ้น Global (PTT, IRPC) + Domestic (ADVANC, PS, ASK, AIT) เลือก IRPC([email protected]) เป็น Top pick
อินโดนีเซียเป็นอีกประเทศที่ลดดอกเบี้ยฯ กระตุ้นเศรษฐกิจ
แม้สหรัฐ รายงานการจ้างงานโดยรวมดีขึ้น กล่าวคือ การจ้างงานภาคเอกชน (ADP) เดือน ก.พ. เพิ่มขึ้น 11%mom อยู่ที่ระดับ 2.14 แสนราย (เพิ่มติดต่อกัน 2 เดือน) เชื่อว่าจะหนุนให้อัตราการว่างงานลดลงจากปัจจุบันที่ 4.9% แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยภายนอกที่กดดันเศรษฐกิจโลก ทำให้เชื่อว่านโยบายการเงินผ่อนคลายในหลายประเทศยังคงมีความจำเป็น ทำให้ (FED) ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ โดยเชื่อว่าจะขึ้นได้ไม่เกินตามที่วางไว้ 4 ครั้งโดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว สะท้อนได้จากล่าสุด Moody ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับเรตติ้งของโลก ได้ปรับลดเกรดแนวโน้มตราสารหนี้ของรัฐบาลจีนลง (จากเดิมระดับคงที่) ล่าสุดอยู่ที่ระดับ Aa3 โดยกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว หลังจากการรายงานภาคการผลิตชะลอตัวต่อเนื่อง กล่าวคือ ดัชนี PMI ภาคการผลิต ก.พ. ลดลงเหลือ 49 จุด (เป็นระดับต่ำสุดเท่ากับ ธ.ค. 2554) เช่นเดียวกับ Caixin PMI อยู่ที่ 48.0 (ต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องนานกว่า 11 เดือน) ทำให้ธนาคารกลางจีน(PBOC) ต้องใช้มาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติม ผ่านการลด RRR อีก 0.5% ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่ทางด้านประเทศในกลุ่ม TIP ล่าสุดรัฐบาลอินโดนีเซีย เตรียมลดดอกเบี้ยลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมการกำกับดูแลด้านการเงินของอินโดนีเซีย (Financial Services Authority : OJK) เตรียมที่จะลดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารลงราว 1% ภายในเดือนนี้ (อัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยของ ธ.พ. อินโดนีเซียอยู่ที่ 6-7%) ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ไม่จำกัดกรอบการตัดลด โดย OJK ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อ 14% จากเดิม 13% เป็น 14% ขณะที่ NPL คาดจะเพิ่มขึ้นจาก 3% เป็น 4% ของยอดสินเชื่อรวมในปีนี้ ภายใต้สมมติฐาน GDP Growth ในปีนี้ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.3% จาก 4.79% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำสุดในรอบ 6 ปี (เป็นให้ปีนี้ธนาคารกลาง ฯ ตัดลดดอกเบี้ย ฯ 2 ครั้งรวม 50 bps สู่ 7%)
ราคาน้ำมันดิบยังมีเสถียรภาพแม้ สต๊อกน้ำมันยังเพิ่มขึ้น
วานนี้มีรายงานสต็อกน้ำมันของสำนักสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) สิ้นสุดสัปดาห์ (26 ก.พ.) พบว่า เพิ่มขึ้นมากว่าคาดเล็กน้อย (เพิ่มขึ้น 10.37 ล้านบาร์เรล vs คาด 9.9 ล้านบาร์เรล) เช่นเดียวกับ สต็อกน้ำมันกลั่น Heating Oil และน้ำมันดีเซล ที่กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.66 ล้านบาร์เรล หลังจากปรับตัวลดลงสัปดาห์ก่อน สวนทางกับสต็อกน้ำมันเบนซินยังคงลดลงต่อเนื่อง ราว 1.47 ล้านบาร์เรล ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 สะท้อนปริมาณการใช้น้ำมันภาคครัวเรือนยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ปัญหา Over supply เริ่มผ่อนคลาย หลังผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกหันมาหารือ เพื่อควบคุมกำลังการผลิต ล่าสุดเห็นพัฒนาการด้านบวก กล่าวคือ รัซเซีย ได้ลดกำลังการผลิตลง 0.2 ล้านบาร์เรล เหลือ 10.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ก.พ. เช่นเดียวกับ ซาอุดิอาระเบียที่คงกำลังการผลิตเท่ากับเดือน ม.ค. อย่างไรก็ตามต้องติดตามการประชุมที่จัดขึ้นโดย เวเนซุเอลา ในกลางเดือนนี้ (รายงานเบื้องต้น มีกว่า 15 ประเทศเข้าร่วมการหารือ)
จากปัจจัยข้างต้นสร้าง Sentiment เชิงบวกให้กับราคาน้ำมันตลาดล่วงหน้า ทั้ง WTI และ Brent ยังคงแกว่งตัวขึ้น ล่าสุดอยู่ที่ 34.76 และ 36.93 เหรียญฯต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดูไบ Spot สามารถกลับมายืนเหนือ 30 เหรียญฯต่อบาร์เรล (ล่าสุด 31.87 เหรียญฯต่อบาร์เรล) หนุนหุ้นในกลุ่มน้ำมันและปิโตเคมี ทั้ง IRPC และ PTT
ตรงข้ามกับค่าการกลั่นที่กลับมาย่อตัว แกว่งตัวระดับ 6 เหรียญฯต่อบาร์เรล (ล่าสุดที่ 6.93 เหรียญฯต่อบาร์เรล) ลดลงกว่า 37% จากจุดสูงสุดในเดือนม.ค.(ราว 10-11 เหรียญฯต่อบาร์เรล ที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบลดลงแตะจุดต่ำสุด และผลของฤดูกาล) อย่างไรก็ตามค่าการกลั่นระดับปัจจุบันยังคงเป็นไปตามที่ ASPS คาดการณ์ไว้ที่ 6.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล ทรงตัวจากปีก่อน จึงยังคงเลือกหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีอย่าง PTTGC upside กว่า 23.08%
ต่างชาติซื้อไทยสูงสุดในรอบ 13 เดือน
วานนี้ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีแรงซื้อของต่างชาติเป็นมูลค่าสูงถึง 775 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5) และเป็นการซื้อสุทธิทั้ง 5 ประเทศ ประกอบด้วย เกาหลีใต้ซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 356 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5) รองลงมาคือ ไต้หวันซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 259 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) ตามมาด้วยอินโดนีเซียซื้อสุทธิราว 36 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) ต่อมาคือฟิลิปปินส์ซื้อสุทธิราว 22 ล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) และไทยสลับมาซื้อสุทธิสูงถึง 101 ล้านเหรียญ หรือ 3,606 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิที่สูงที่สุดในรอบ 1 ปีกว่า (นับตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค. 58 เป็นต้นมา) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิสูงถึง 3,509 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 24,828 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 1,824 ล้านบาท แรงซื้อของต่างชาติจากตราสารหนี้และหุ้นส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแน้วโน้มแข็งค่าขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ 35.54 บาท/ดอลลาร์
เดือน มี.ค. ดัชนียังคงเดินหน้าต่อ นำโดย ธนาคาร ICT พลังงาน
วานนี้ SET Index ปรับขึ้นแรงกว่าคาด โดยเพิ่มขึ้น 18 จุด ส่งผลให้นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน SET Index ให้ผลตอบแทนถึง 6% โดยกลุ่มที่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้มากกว่าตลาด คือ :
กลุ่ม ธ.พ. เพิ่มขึ้น 10.5% หลังจาก 6 สถาบันการเงินสามารถบรรลุข้อตกลงในการออกหนังสือค้ำประกันให้กับ TRUE ช่วยลดแรงกดดันหุ้นธนาคารพาณิชย์ ที่เป็นผู้ออกหนังสือ Bank Guarantee โดยเฉพาะ BBL ราคาหุ้นปรับขึ้นขึ้นเกือบ 4% น่าจะตอบรับข่าวที่ JAS อาจจะไม่สามารถชำระเงินค่าใบอนุญาต 4G ได้ตามกำหนด ซึ่งจะกล่าวในย่อหน้าถัดไป ขณะที่หุ้นธ.พ. รายย่อย เช่น TCAP, KKP และ TISCO ต่างปรับขึ้นโดดเด่น เชื่อว่าจากที่เข้าสู่ฤดูกาลจ่ายเงินปันผล (เป็นหุ้นปันผลสูง)
กลุ่ม ICT เพิ่มขึ้น 9% โดยพบว่าราคาหุ้น JAS ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 15% ซึ่งน่าจะเป็นผลจากที่ตลาดประเมินว่า JAS มีแนวโน้มที่จะไม่สามารถชำระค่าใบอนุญาต 900 Mhz ที่มูลค่าส 7.4 หมื่นล้านบาท โดยต้องจ่ายงวดแรก 8 พันล้านบาทภายใน 21 มี.ค. ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จะช่วยลดแรงกดดันต่อผลประกอบการของ JAS กล่าวคือ หาก JAS ชำระเงิน ต้นทุนค่าใบอนุญาตที่สูงจะกดดันให้ JAS จะต้องเผชิญกับขาดทุนปกติกว่า 4.7 และ 5.6 พันล้านบาทในปีนี้และปีหน้า ตรงกันข้ามหากไม่ชำระ ฯ ผลประกอบการน่าจะยังมีกำไรที่ 4.3 และ 3.5 พันล้านบาท ตามลำดับ แต่จะต้องยอมให้ยึดเงินมัดจำกว่า 600 ล้านบาทเท่านั้น แต่ก็น่าจะทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมผ่อนคลายลง เพราะน่าจะมีการนำใบอนุญาต 900 Mhz ออกมาประมูลกันอีกครั้ง นอกเหนือจาก ที่ กสทช. อยู่ระหว่างเจรจากับ MCOT เพื่อขอคืนคลื่น 2600 MHz เพื่อนำมาประมูลใบอนุญาต 4G (แต่ต้องจ่ายเงินชดเชยบางส่วนให้ MCOT) ถือว่าดีต่อ DTAC และ ADVANC กล่าวคือ DTAC ปัจจุบันคลื่นที่มีอยู่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้สัมปทานเดิมคือ 850 และ 1800 จะครบกำหนดทั้งหมดใน ปี 2561 ยกเว้นคลื่น 2100 จำนวน 15 Mhz เท่านั้นที่อยู่ภายใต้ใบอนุญาตจะครบกำหนดปี 2570) ขณะที่ ADVANC มีโอกาสจะประมูลคลื่นใหม่ๆ หลังจากที่ประมูลคลื่น 1800 15 Mhz ไปเมื่อปีที่ผ่านมา (คลื่นเดิมที่มีอยู่ที่ 2100 15 Mhz ครบกำหนดปี 2570 ภายใต้ใบอนุญาต 3G)
กลุ่มพลังงาน เพิ่มขึ้น 8.7% ได้ประโยชน์ตรงจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน (PTT, PTTEP) โดยสามารถยืนเหนือ 30 เหรียญ/บาร์เรลได้ เชื่อว่าปัญหา oversupply น่าจะผ่อนคลายลงหลังจากผู้ประกอบการ OPEC และ Non OPEC มีการเจรจา เพื่อคงกำลังการผลิต ขณะที่สหรัฐซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันภายใต้เทคโนโลยีใหม่ (Shale oil/Shale Gas) ได้ทยอยลดลงกำลังการผลิตลงราว 2 แสนบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว ลงสู่ 9 ล้านบาร์เรลต่อวัน
กลุ่มขนส่ง เพิ่มขึ้น 8.7% จากช่วงฤดูกาลต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้ว เนื่องจากเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวมีจำนวนผู้เดินทางผ่านสนามบินเพิ่มขึ้น บวกกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ หนุนหุ้นสายการบิน
กลุ่มค้าปลีก เพิ่มขึ้น 8.2% หลักๆ เชื่อว่าเป็นผลของฤดูกาล ที่ปกติผลกำไรจะดีมากในงวดไตรมาสแรกของทุกปี ประกอบกับการที่ BJC เข้าซื้อหุ้น BIGC สัดส่วน 58.6% จาก Casino Group ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ (ภายในสิ้นเดือนมี.ค. และ จะทำ tender offer ผู้ถือหุ้นที่เหลือหลังจากนี้) ด้วยราคาเสนอซื้อที่ 252.88 บาท ซึ่งมี ค่า Expected PER 29 เท่า และ P/Sale 1.7 ถือว่าค่อนข้างสูง (แต่ก็ยังต่ำเมื่อเทียบกับ CPALL ซื้อ MAKRO ที่ราคา 39.35 บาท ด้วย Expected PER 44 เท่า และ P/Sale 1.5 เท่าในขณะนั้น) รวมทั้งการรายงบงวด 4Q58 เป็นช่วงที่มีกำไรสูงสุดของปี (CPALL, HMPRO, COM7) นอกจากนี้ จากข้อมูลสถิติในอดีตย้อนหลัง 10 ปี กลุ่มค้าปลีกมักปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือน มี.ค. ผลตอบแทนเฉลี่ย 4% ด้วยความน่าจะเป็นสูงถึง 80% จึงทำให้หุ้นอื่นๆ ในกลุ่มฯ ปรับขึ้นอย่างโดดเด่น จึงแนะนำ ROBINS ที่ยัง Laggard
กลุ่มปิโตรเคมี เพิ่มขึ้น 7.4% จากแนวโน้มของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่ยังสดใสในงวด 1Q59 ทั้ง IRPC และ PTTGC
โดยรวมฝ่ายวิจัยยังประเมินว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปี 2559 น่าจะสดใส คาดว่า EPS Growth น่าจะเติบโตกว่า 20% ตามประมาณการเดิมของฝ่ายวิจัยที่ 8.86 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ราว 94.5 บาท ประเมินดัชนีเป้าหมาย ณ สิ้นปีอิง P/E 15.5 เท่า จะได้อยู่ที่ 1,466 จุด มี upside จากราคาปัจจุบันราว 7.4% ซึ่งอาจไม่มากนัก ดังนั้น นักลงทุนจึงควรทยอยสะสมหุ้นเมื่อราคาอ่อนตัว กลยุทธ์การลงทุน เลือกหุ้น Global Play ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน (PTT, IRPC) ร่วมกับ Domestic Play หุ้นผลประกอบการเติบโต ปันผลสูง P/E ต่ำ (ADVANC, SCC, PS, ASK)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์