WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

May copyบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์วันนี้ Sideways

ตลาดหุ้นวานนี้:
     ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ยังคงเป็นการแกว่งในกรอบระหว่าง 1,325-1,335 จุด กลุ่ม ICT / รับเหมาก่อสร้าง / ค้าปลีก ขยับขึ้นเด่น ขณะที่มีแรงขายหุ้นหลักเป็นรายตัวที่ราคาขยับขึ้นมาก่อนหน้าอย่างร้อนแรง เช่น AOT / THAI / BANPU เป็นต้น ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX อยู่ที่ 1,333.42 จุด บวกเพียง 1.49 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 42,654 ล้านบาท
เม็ดเงินทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 8 อีก 115 ล้านบาท Long สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 2 อีก 5,666 สัญญา และกลับมาซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 6 วันทำการ 4,738 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญวันนี้
- เม็ดเงินทุนต่างชาติซื้อสุทธิทั้ง 3 ตลาดพร้อมกันวานนี้
- พอร์ตโบรกเกอร์ MTD ซื้อสุทธิ 5,958 ล้านบาท
- ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปิดบวก 2.86% dod จากแรงเก็งกำไรต่อการประชุมในวันที่ 1 มี.ค.

ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า
- ติดตามภาวะเศรษฐกิจไทย เดือนม.ค. วันที่ 29 ก.พ. คาดการลงทุนภาครัฐยังคงขยายตัวเด่น
- การทยอยประกาศจ่ายเงินปันผลของหุ้นหลักในกลุ่มธนาคาร ยังเหลือ KTB
- ภาวะการจ้างงานของสหรัฐฯ
- และการประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันโอเปก วันที่ 1 มี.ค. ต่อการหารือถึงการกำหนดเพดานการผลิตน้ำมัน

มุมมองต่อตลาด
การซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า SET INDEX แกว่งในกรอบแคบ 1,325-1,340 จุด มูลค่าการซื้อขายจะเบาบางลงมาเฉลี่ย 4.0 หมื่นล้านบาท/วัน แม้ว่าความเสี่ยงของตลาดหุ้นไทยจะยังอยู่ที่ท่าทีการลงทุนของพอร์ตโบรกเกอร์ที่ยังซื้อสุทธิ 5,958 ล้านบาท MTD เป็นกลุ่มที่ซื้อสุทธิสูงสุดในเดือนก.พ.นี้
อย่างไรก็ตาม Downside risk ของ SET INDEX ยังคงจำกัดในความเห็นของเรา แม้ว่าตลาดหุ้นจีน / ตลาดเงินในจีน จะเริ่มมีประเด็นความเสี่ยง จากสภาพคล่องทางการเงินที่ตึงตัว ความผันผวนในตลาดหุ้นจีนกลับมาอยู่ในระดับสูงอีกครั้งก็ตาม แต่ด้วยเงินทุนที่ล้นในระบบการเงินโลก และแนวโน้มเฟดจะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปเป็นช่วง 2H59 ย่อมทำให้สภาพคล่องดังกล่าวกลับมายังตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่มีความโดดเด่นในแง่ของ
- ผลการดำเนินงานใน 4Q58 ของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยออกมาใกล้เคียงกับคาด โอกาสที่จะปรับประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ลงเป็นไปอย่างจำกัด
- การทยอยประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H58 หรือ 2558 ของบริษัทจดทะเบียนในรอบนี้ มักสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ส่งผลให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลรอบนี้อยู่ในเกณฑ์ที่สูง และมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีที่ต่ำเพียง 2.07%
สำหรับปัจจัยสำคัญในสัปดาห์หน้า เราให้น้ำหนักกับปัจจัยภายในประเทศเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นภาพรวมเศรษฐกิจเดือนม.ค.ของไทย การประชุมครม.ที่อาจมีการพิจารณาแผนการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายที่ต้องได้ข้อสรุปภายในวันนี้ เพื่อนำเสนอต่อ ครม.พิจารณา และการสิ้นสุดรายงานงบการเงิน 4Q58 ของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทย
ด้านปัจจัยต่างประเทศ เราให้น้ำหนักกับการประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันวันที่ 1 มี.ค. มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ผลิตน้ำมันหลักจะเห็นด้วยกับการกำหนดเพดานการผลิตน้ำมันให้เท่ากับเดือนม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการกำหนดเพดานของภาวะ Oversupply ของน้ำมัน และเป็นการส่งสัญญาณถึงความตั้งใจจริงของผู้ผลิตน้ำมันหลักในตลาดโลก ต่อการหาแนวทางแก้ไขราคาน้ำมันดิบตกต่ำ กลายเป็นปัจจัยลบทางอ้อมต่ออัตราเงินเฟ้อต่ำทั่วโลก / การส่งออกที่ชะลอตัวในเอเชีย / และกำลังซื้อที่หายไป

กลยุทธ์การลงทุน
เราแนะนำให้ "นักลงทุนกลับมาเลือกทยอยเก็งกำไรหุ้นรายตัวในวันนี้ ด้วยวงเงินที่จำกัดมากยิ่งขึ้น เพราะประเมินด่านใหญ่ 1,350 จุด ยังไม่น่าผ่านได้ในเร็วๆ นี้ และความผันผวนจะกลับมาอยู่ในระดับที่สูงขึ้นได้ จากทิศทางการลงทุนของพอร์ตโบรกเกอร์"

Accumulative Buy: KTB
Speculative Buy: TRC

Stock Pick of the Day

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "เก็งกำไร" ได้แก่
1. TRC : ราคาปิด 2.10 บาท ราคาเหมาะสม 2.80 บาท
a) รายงานกำไรสุทธิ 4Q58 ที่ 99 ล้านบาท +196% yoy และ +57% qoq ดีกว่าคาดการณ์ 57% จากยอดรับรู้รายได้ที่สูงถึง 1,308 ล้านบาท +49% yoy และ +50% qoq และส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2558 เติบโตถึง +34.4% yoy เป็น 306 ล้านบาท
b) Backlog สิ้นปี 2558 สูงถึง 6.4 พันล้านบาท และได้รับ Letter of Award งานเหมืองแร่ที่ชัยภูมิแล้วอีก 3.4 หมื่นล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี ซึ่งจะส่งผลให้ Backlog เพิ่มขึ้นเป็น 4 หมื่นล้านบาท รองรับรายได้การเติบโตได้อีก 3 ปีข้างหน้า
c) ดังนั้น คาดว่ารายได้ปี 2559 จะขยายตัว +119% yoy เป็น 8,500 ล้านบาท และผลักดันให้กำไรสุทธิปี 2559 เติบโตสูงถึง +71% yoy เป็น 541 ล้านบาท
d) เป็นหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรในอัตราสูง และส่งผลให้ PER ลดลงจาก 30.8 เท่าในปี 2558 เหลือเพียง 18.1 เท่า ในปี 2559 หรือเทียบเท่า PEG2559 ต่ำเพียง 0.3 เท่า
และ "สะสม" ได้แก่
2. KTB : ราคาปิด 17.90 บาท ราคาเหมาะสม 21.00 บาท
a) MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะ Outperform ตลาดต่อเนื่อง จากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเซียเกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกลุ่ม TIPs ที่ให้ผลตอบแทน Underperform ประเทศในกลุ่ม North Asia ในปีที่ผ่านมา
a) KTB จะประกาศเงินปันผลปี 2558 (จ่ายปีละ 1 ครั้ง) ในช่วงต้นเดือน มี.ค. โดยคาดการณ์เงินปันผลหุ้นละ 0.80 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.4%
b) และมีโอกาสที่เงินปันผลจะออกมาดีกว่าคาดการณ์ของตลาด เนื่องจากกำไรสุทธิปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรอง แต่หากพิจาณากำไรก่อนตั้งสำรองเติบโตถึง +20% yoy จึงมีโอกาสที่จะจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.90 - 1.00 บาทได้เช่นกัน
b) Valuation ถูกที่สุดในหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ โดยซื้อขาย PER2559 ที่ 7.4x เทียบกับ BBL 8.1x. SCB 9.5x, KBANK 9.6x, BAY 10.3x

Fund Flow Analysis

Fund Flow in Emerging Markets
ซื้อสุทธิ US$202 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$12 ล้าน

Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิทั้ง 3 ตลาดพร้อมกันอีกครั้ง
นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 8 ชะลอตัวเหลือเพียง 115 ล้านบาท รวม 8 วันทำการซื้อสุทธิ 8,619 ล้านบาท และส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิสะสมลดลงเหลือ 5,967 ล้านบาท
SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Long สุทธิเป็นวันที่ 2 เร่งขึ้นเป็น 5,666 สัญญา รวม 2 วันทำการ Long สุทธิ 7,120 สัญญา น่าจะเป็นการเปิดสถานะ Long ต่อเนื่อง ภายใต้ SET50 Index ปิดยืนเหนือ 850 จุด ต่อเนื่อง และ S50H16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index เท่ากับ 6.47 จุด ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าที่ Discount เท่ากับ 6.66 จุด ทำให้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิยังคงทะลุ 100,000 สัญญา เป็น 112,920 สัญญา
และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 6 วันทำการ 4,738 ล้านบาท เทียบกับ 5 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 39,768 ล้านบาท เมื่อราคาพันธบัตรไทยปรับฐานลงแรงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นอีก 6.31bps จากวันก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 2.61bps ปิดที่ 2.133%

Short-Selling วานนี้
เท่ากับ 946 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 910 ล้านบาท

NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 9 กลับมาเน้นกลุ่มพลังงานอีกครั้ง
การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิอีก 1,240 ล้านบาท ชะลอตัวจากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิมากถึง 2,027 ล้านบาท รวม 9 วันทำการซื้อสุทธิ 9,034 ล้านบาท โดยกลับมาเน้นกลุ่มพลังงานโดดเด่น สรุปภาพรวมดังต่อไปนี้
1. กลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิสูงสุดอีกครั้ง 410 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 372 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มโรงพยาบาล ซื้อสุทธิ 317 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 341 ล้านบาท กลุ่มธนาคาร ซื้อสุทธิ 161 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 431 ล้านบาท กลุ่มค้าปลีก ซื้อสุทธิ 124 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มขนส่ง กลับมาถูกขายสุทธิ 83 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 398 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มวัสดุก่อสร้างขายสุทธิ 56 ล้านบาท

ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค

สหรัฐอเมริกา
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาเป็นกลาง:
ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน เดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 4.9% mom ดีกว่า Bloomberg consensus คาด +2.0% mom และฟื้นตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ -4.6% mom โดยยอดคำสั่งซื้อเครื่องบินเป็นปัจจัยสำคัญ แต่หากตัดรายการขนส่ง คำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 1.8% mom ดีกว่า Bloomberg consensus คาด 0.0% mom
ยอดขอสวัสดิการว่างงาน เท่ากับ 2.72 แสนตำแหน่ง ใกล้เคียงกับ Bloomberg consensus คาดที่ 2.70 แสนตำแหน่ง แต่เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.62 แสนตำแหน่ง

ยุโรป
GDP ใน 4Q58 ของอังกฤษขยายตัวเร่งขึ้น: เป็น 0.5% qoq เร่งขึ้นจาก 3Q58 ที่เติบโต 0.4% qoq ผลักดันด้วยอุปสงค์ภายในประเทศ โดยการบริโภคภาคครัวเรือนเติบโต 0.7% qoq และเป็นปัจจัยหลักผลักดันเศรษฐกิจเป็นไตรมาสที่ 12 ของอังกฤษ แม้ว่าการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนจะชะลอตัวใน 4Q58 ก็ตาม

จีน
ผู้นำจีนยืนยันเดินหน้าสร้างเสถียรภาพค่าเงิน: รวมถึงการติดต่อสื่อสารกับตลาดให้มากขึ้น เพราะจีนเริ่มกังวลต่อผลกระทบที่จะขยายในวงกว้างกับการใช้นโยบายการเงิน - การคลัง ของแต่ละประเทศ ทำให้การติดต่อสื่อสารต่างๆ กับตลาดต้องมีควาโปร่งใส โดยจีนยืนยันที่จะเดินหน้าปฎิรูป เพื่อให้ตลาดเงินมีประสิทธิภาพ และรักษาการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพตามเป้าหมายที่วางไว้
ธนาคารกลางจีนอัดฉีดสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มเติม: วันที่ 25 ก.พ. ธนาคารกลางจีนอัดฉีดเงินอีก 3.40 แสนล้านหยวนผ่านการซื้อ 7-day reverse bond repurchase และตลอดสัปดาห์นี้ ธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดไปแล้ว 5.80 แสนล้านหยวน ขณะที่มีพันธบัตรครบกำหนดสุทธิ 9.60 แสนล้านหยวนในสัปดาห์นี้
ธนาคารกลางจีนประเมินฐานะการเงินรองรับการขาดดุลงบประมาณได้ถึง 4%: ของ GDP เมื่อรัฐบาลมีแนวคิดที่จะลดอัตราภาษีนิติบุคคล เนื่องจากระดับหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับต่ำ เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และสินทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจ ทำให้จีนยังสามารถออกขายพันธบัตรได้อย่างต่อเนื่อง ธนาคารกลางจีนประเมินว่าจีนจะยังรักษาระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ได้ไม่เกิน 70% ณ สิ้นปี 2558 หากงบประมาณขาดดุล 4%

เอเชียแปซิฟิก
เงินเฟ้อของญี่ปุ่นทรงตัว: 0.0% yoy สำหรับเดือน ม.ค. เท่ากับที่ Bloomberg Consensus คาด ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ +0.2% yoy ทั้งนี้หากไม่รวมราคาอาหารและพลังงานเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.7% yoy เท่ากับที่ตลาดประเมิน

ไทย
การส่งออกเดือนม.ค.ของไทยต่ำสุดรอบ 58 เดือน: หดตัว 8.91% yoy หดตัวแรงกว่า Bloomberg consensus คาดที่ -6.45% yoy จากเดือนก่อนหน้าที่ -8.73% yoy และเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 การส่งออกน้ำมันและยางพาราหดตัว 42% และ 26% yoy ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบขยายตัวได้ 4% ทั้งนี้การส่งออกไปยังสหรัฐฯ, ยุโรปและจีนหดตัว ด้านการนำเข้าหดตัวแรง 12.37% yoy เทียบกับที่ Bloomberg consensus คาด -8.50% yoy ทำให้ดุลการค้าเกินดุลที่ US$238 ล้าน มากกว่าที่ Bloomberg consensus คาดที่ US$213 ล้าน แต่ลดลงจากเดือนก่อนที่ US$1.487 พันล้าน

Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!