- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 19 February 2016 17:34
- Hits: 5207
บล.บัวหลวง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
มุมมองตลาด
ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมาผันผวนแต่สามารถทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้แม้จะเผชิญหน้ากับสภาวะการแม้ดัชนีในภาพรวมจะมีการปรับขึ้นแต่เราคาดว่าจะเป็นเพียงการรีบาวด์ระยะสั้น การปรับตัวขึ้นดูเหมือนยังไม่ยั่งยืน รวมทั้งดัชนีปรับขึ้นมาอยู่ใกล้แนวต้านที่ 1300 จุด ซึ่งมีโอกาสที่จะถูกขายทำกำไรได้ โดยเรายังให้น้ำหนักในทิศทางปรับตัวลง มองแนวรับที่ 1270 จุด และแนวต้านที่ 1300 จุด ภาวะตลาดเราพบว่านักลงทุนเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่เกี่ยวกับผลประกอบการที่แข็งแกร่งและหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลสูงจะเป็นหุ้นที่ปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดหรือปรับตัวขึ้นสวนทาง เราแนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นที่ส่งสัญญาณอ่อนกว่าตลาด หุ้นที่เกิดสัญญาณขายหรือการเปลี่ยนรูปแบบเป็นขาลง ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นมาที่ 33.3 เหรียญต่อบาร์เรลนั้น เรายังคงมองว่าเป็นการเล่นสำหรับการเก็งกำไรไปกับข่าวมากกว่าการสะท้อนความต้องการที่แท้จริง จากชาร์ตราคาน้ำมันกำลังทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 34 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่ความเสี่ยงความผันผวนของราคาเมื่อ RSI ปรับขึ้นสู่กรอบบน
เราพบว่าเริ่มมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศแต่ก็ถูกกดจากแรงขายของสถาบันในประเทศเช่นเดียวกัน ส่งผลให้การปรับตัวขึ้นมีอัพไซด์จำกัด แนวโน้มตลาดสัปดาห์นี้ยังคงเหมาะกับกลยุทธ์การเทรดในภาวะขาลง ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกส่วนใหญ่ผันผวนขึ้นลงแรง ปัจจัยสำคัญจับสัญญาณกระแสเงินลงทุน ค่าเงินสกุลเอเชียเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้นในภูมิภาคและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
สรุป: เรายังคงมองว่าตลาดดีดตัวขึ้นในช่วงสั้นๆเท่านั้นขณะที่ภาพหลักยังคงเป็นแนวโน้มขาลงหากยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามา ตลาดมีโอกาสจะปรับตัวลงอีกครั้งในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
MAJOR (BUY /TP 36)
แม้กำไรในไตรมาส 4/58 ออกมาแย่อย่างที่เราคาด เราแนะเป็นจังหวะเข้าสะสมหุ้น เนื่องจากเรามองว่าภาพรวมของทั้งปี 2559 ยังสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สำหรับไตรมาส 1/59 เรายังคงมีความมั่นใจว่ากำไรจะสามารถเติบโตได้ YoY จากหน้าหนังทำเงินและหนังฟอร์มยักษ์จาก Hollywood ยังคงเข้าฉายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี นอกจากนี้ MAJOR วางแผนที่จะเพิ่มโรงภาพยนตร์ 27 แห่งครึ่งปีแรก และ 87 แห่งในครึ่งปีหลัง คิดเป็นจำนวนโรงหนังทั้งหมด 700 โรงสิ้นปี 2559 และรายได้จากการตั๋วหนังซึ่งเรามองว่าน่าจะช่วยหนุนกำไรปี 2559
SYNEX (BUY /TP 5.4)
บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 4Q15 ที่ 99 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 63%YoY และ 6%QoQ) ตามคาด หากไม่นับรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 43 ล้านบาท กำไรหลักจะอยู่ที่ 56 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14%YoY แต่ลดลง 16%QoQ) น้อยกว่าที่เราและตลาดคาดราว 30%พร้อมกันนี้บริษัทประกาศจ่ายปันผลอีก 0.22 บาท/หุ้น (หลังจากที่จ่ายกลางปีไปแล้ว 0.08 บาท/หุ้น) โดยจะ XD วันที่ 28/3/2016 และจ่ายวันที่ 12/5/2016 เราปรับลดคาดการณ์กำไรส่งผลให้ราคาเป้าหมายของเราปรับลงเหลือ 5.40 บาท ยังคงอิง P/E 14 เท่าอย่างไรก็ดีเราคงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับการลงทุนในระยะยาว โดยคาดปัจจัยหนุนราคาหุ้นจากมาในช่วง 3Q16 ซึ่งเป็นช่วง high season และสำหรับเงินปันผลที่จะจ่าย dividend yield ถึง 4.8%
PLANB (BUY /TP 7.7)
กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 ที่ 105 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% YoYแต่ลดลง 5% QoO เป็นไปตามคาด ปัจจัยหนุน ได้แก่ 1) อัตราการเช่าใช้สื่อสูงขึ้น, 2) การรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีที่แล้ว, 3) ส่วนแบ่งรายได้จาก HELLO 4) ดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง แนวโน้มผลประกอบการคาดเติบโตแข็งแกร่งตลอดปี 2559 จากรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัว น่าจะผลักดันราคาหุ้นให้ปรับตัวสูงขึ้นได้ ที่ ยังมีอัพไซด์ต่อผลประกอบการในระยะยาวจากการลงทุนและการเข้าซื้อกิจการในอนาคต ทั้งนี้ในปัจจุบันบริษัทไม่มีหนี้สิน ซึ่งทำให้มีศักยภาพในการขยายกิจการได้อย่างต่อเนื่อง
BCP (HOLD /TP 35)
กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 ขาดทุน 112 ล้านบาท พลิกกลับจากกำไรสุทธิในไตรมาส 3/58 ผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงราคาน้ำมันดิบ, การตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ 70 ล้านบาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 116 ล้านบาท กำไรหลักไตรมาส 4/58 จะอยู่ที่ 1,784 ล้านบาท ลดลง 28% YoY และ 18% QoQ โดยมีสาเหตุหลักมาจาก 1)ปริมาณน้ำมันดิบเข้ากลั่นที่ลดลง 2)ค่าการกลั่นที่หดตัวลง YoY, 3) ค่าใช้จ่ายในการบริหารและค่าใช้จ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากกระบวนการกลั่นของ BCP จะมีสัดส่วนการผลิตน้ำมันดีเซลมากที่สุด ค่าการกลั่นตลาดไตรมาส 1/59 มีแนวโน้มอ่อนตัวลง นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ส่งผลให้กำไรหลักไตรมาส 1/59 มีแนวโน้มหดตัวลงทั้ง YoY และ QoQ อย่างไรก็ตามส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และมูลค่าหุ้นที่ถูก ซื้อขายอยู่ในระดับ PER ปี 2559 ที่เพียง 6.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 10.2 รวมทั้งมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 6% (เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มโรงกลั่นอื่นในอาเซียนที่ 4.2%)
STEC (BUY /TP 29.75)
รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/58 ที่ 611 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% YoY และ 17% QoQ หักตัวเลขกำไรพิเศษออก กำไรหลักจะอยู่ที่ 252 ล้านบาท ลดลง 32%YoY ต่ำกว่าตัวเลขที่เราประมาณการเนื่องจากประกอบการชะลอตัวจาการเซ็นสัญญาโครงการน้อยลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไตรมาส 1/59 น่าจะป็นอีกหนึ่งไตรมาสที่ผลประกอบการชะลอตัวจากโครงการก่อสร้างที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตามเราคาดกำไรหลักของ CK น่าจะกลับมาเติบโต YoY ในครึ่งหลังของปี 2559 ในมุมมองของเรา CK ดูดีกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 จากแนวโน้มการเติบโตในระยะสั้นที่ดีกว่า
SAT (BUY /TP 21)
รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/58 ที่ 202 ล้านบาท ลดลง 4% YoY แต่เพิ่มขึ้น 12% QoQ เป็นไปตามคาด ยอดขายเติบโต 2% YoY แต่ลดลง 6% QoQ มาอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท จากอุปสงค์ของผู้ประกอบรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับภาพการส่งออกสินค้ายานยนต์ที่ดีขึ้น รวมทั้งมีการปรับโมเดลรถยนต์ของลูกค้ารายใหญ่อย่างโตโยต้าและอีซูซุ เรามองภาพอุตสาหกรรมยานยนต์จะฟื้นตัวในครี่งหลังปี 2559 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาพการส่งออกที่ดีขึ้น เราจึงคาดว่าผลประกอบการของ SAT จะดีขึ้น YoY และดีต่อเนื่องในปี 2559 อิงค่า PE ณ สิ้นปี 2559 ที่ 11.65 เท่า (สูงกว่าค่าเฉลี่ยบวก 0.5 ของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน)
ธนรัตน์ อิศรกุล Tel. (662) 618-1334
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์/ปัจจัยทางเทคนิค