WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

May copyบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์วันนี้  Selective Buy

         

ตลาดหุ้นวานนี้:

          ตลาดหุ้นไทยวานนี้ SET INDEX เปิดซึมตัวลงสู่แนว 1,275 จุด ก่อนที่จะเริ่มฟื้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยหุ้น AOT / PTT / BBL ช่วยประคองภาพรวมของ SET INDEX ทำให้ SET INDEX แกว่งแคบ 1,280 จุด +/- อย่างไรก็ตาม SET INDEX เริ่มฟื้นตัวในช่วงท้ายตลาดนำโดยกลุ่มพลังงาน / กลุ่มธนาคาร ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX ลบเพียง 0.89 จุด มาอยู่ที่ 1,288.47 จุด มูลค่าการซื้อขาย 44,949 ล้านบาท

          ต่างชาติเลือกที่จะซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 3 มากถึง 2,909 ล้านบาท แม้ว่าจะ Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 2,853 สัญญา และขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการ 1,763 ล้านบาท

         

ปัจจัยสำคัญวันนี้

          - รายงานประชุมเฟดเดือนม.ค. เริ่มให้ความเสี่ยงกับเศรษฐกิจโลก และความผันผวนของตลาดเงินมาเป็นปัจจัยร่วมในการพิจารณานโยบายการเงิน

          - อิหร่านเห็นชอบกับเวเนซุเอล่าและกาต้าร์ ร่วมมือจำกัดกำลังการผลิตไม่เกินการผลิตในเดือนม.ค. ทำให้ราคาน้ำมันดิบ NYMEX กลับมายืนเหนือ US$30/barrel อีกครั้ง

          - CK กล่าวถึงการปรับแผนก่อสร้างโครงการไซยะบุรีเพิ่มเติม ทางรัฐบาลลาวจะปรับสัญญาสัมปทานเป็นการชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดย CK จะได้รับงานก่อสร้างส่วนนี้เพิ่มเติม

          - STEC รายงานกำไรปกติ 4Q58 อยู่ที่ 163 ล้านบาท (-40%QoQ, -56%YoY) แต่มีรายการพิเศษ 448 ล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 611 ล้านบาท (+126%QoQ, +64%YoY)

         

มุมมองต่อตลาด

          เราประเมินกรอบแกว่งของ SET INDEX วันนี้ระหว่าง 1,280-1,290 จุด กลุ่มพลังงาน / ปิโตรเคมี จะยังเป็นกลุ่มที่ช่วยประคองภาพ SET INDEX ในช่วงสั้นนี้ และสิ่งที่น่าจับตามองคือ การกลับมาซื้อสุทธิหนาแน่นของต่างชาติวานนี้ หากต่างชาติทยอยสะสมหุ้นหลักของไทยต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเป็นตัวแปรเชิงบวกต่อจิตวิทยาการลงทุน ซึ่งเหตุผลที่สนับสนุนการเข้าเก็งกำไรของต่างชาติในมุมมองของเราคือ

          - Valuation ของตลาดหุ้นไทย สูงเป็นระดับที่ 5 ในเอเชีย ด้วย PER59 เท่ากับ 13.22x และ 11.78x PER60 แต่ต่ำสุดในกลุ่ม TIP

          - ผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 3.57% สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลอด 5 ปี ที่ 3.31% และหากพิจารณาเป็นรายหลักทรัพย์จะพบว่า หุ้นหลักหลายๆ หลักทรัพย์มีผลตอบแทนจากเงินปันผลงวดนี้สูงกว่า 4%

          - ทิศทางค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มทรงตัว สอดคล้องกับทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อรอผลการประชุมเฟดในต้นเดือนมี.ค.

          ขณะที่การชี้แจงของ CK ต่อกรณีโครงการไซยะบุรีค่ำวานนี้ เชื่อว่าจะเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน โอกาสเกิด Technical rebound ของ CK อีกทั้ง STEC รายงานกำไรสุทธิใน 4Q58 ออกมาดีกว่าคาดอย่างมีนัยยะสำคัญ ช่วยทำให้กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ปรับตัวลงแรงกว่า 2% วานนี้จะฟื้นตัวไปในทิศทางเดียวกันได้

          สำหรับปัจจัยต่างประเทศคือ รายงานการประชุมเฟดเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ส่งสัญญาณกังวลต่อเศรษฐกิจโลก และความผันผวนของตลาดเงินมากขึ้น แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯ จะดีขึ้น แต่การใช้จ่ายและภาคการผลิตกลับทำให้ผิดหวัง อันเป็นที่มาของการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนม.ค. ขณะที่ Fed Fund Rate Probability ล่าสุด พบว่า เฟดจะไม่สามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ภายในปีนี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาดต่อเนื่อง ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เติบโตต่ำกว่าที่เคยประเมินในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด

         

กลยุทธ์การลงทุน

          เราแนะนำให้ "นักลงทุนถือพอร์ตเก็งกำไรต่อเนื่อง เพื่อรอขายทำกำไรบริเวณ 1,290-1,300 จุด ในรอบสั้นก่อนวันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทยในต้นสัปดาห์หน้า"

         

          Speculative Buy: CK/ PTTGC

Stock Pick of the Day

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "เก็งกำไร" ได้แก่

          1.   PTTGC : ราคาปิด 53.50 บาท ราคาเหมาะสม 60.00 บาท

          a)   MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งเป็น Global Play จะปรับตัวขึ้นเด่น เนื่องจากมีความเสี่ยงจำกัดจากปัจจัยต่างๆในประเทศ และราคาน้ำมันดิบ NYMEX และ BRENT ที่ปรับตัวขึ้น +5.5% และ +7.2% เมื่อคืนนี้จะเป็นบวกต่อ Sentiment การลงทุน

          b)   ประกาศเงินปันผล 2H58 หุ้นละ 1.30 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.4%

          c)   คาดกำไรสุทธิ 1Q59 จะดีขึ้น qoq เนื่องจากมีโอกาสน้อยที่จะมีผลขาดทุนจาก Stock น้ำมันเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับ 4Q58 ที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันดิบดูไบสิ้นสุดวานนี้อยู่ที่ US$31.23/barrel เทียบกับสิ้น 4Q58 ที่ US$32.37/barrel และสิ้นสุด 3Q58 ที่ US$46.40/barrel

          d)    Valuation น่าสนใจ เนื่องจากซื้อขายระดับ PBV2559 ที่ 1.0 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -1SD และหุ้นในกลุ่ม ได้แก่ TOP 1.3x,  SPRC 1.1x และ BCP 1.1x

          2.    CK : ราคาปิด 23.40 บาท ราคาเหมาะสม 34.00 บาท

          a)    หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง Underperform ตลาดในปีนี้ โดยปรับตัวลง -10.9% QTD ใน 1Q59 เทียบกับ SET INDEX ที่ทรงตัว จากความกังวลต่อการเปิดประมูลงานโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ล่าช้ากว่าคาดการณ์ของตลาด

          b)    ราคาหุ้น CK ปรับตัวลงถึง -19.3% QTD ใน 1Q59 เชื่อว่าได้สะท้อนต่อปัจจัยลบไปมากแล้ว และมีโอกาสดีดกลับได้ เนื่องจากคาดว่าครม.จะมีการอนุมัติแผนลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในเดือน มี.ค. เช่น โครงการรถไฟฟ้ารางคู่ เส้นทาง จิระ-มาบกะเบา และเปิดประมูลในเดือน เม.ย.

          c)     NAV จากการถือหุ้นใน 3 บริษัทลูก ได้แก่ BEM, TTW และ CKP คิดเป็นมูลค่า 20.20 บาทต่อหุ้น สะท้อนให้เห็นว่า Downside Risk เริ่มจำกัด และธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซื้อขายที่เพียง 3 บาทต่อหุ้น เทียบกับ BV งบเดี่ยวของ CK ที่ 13 บาทต่อหุ้น

          d)     คาดกำไรปกติปี 2559 เติบโต +33% yoy เป็น 1,531 ล้านบาท และมี Upside 34%

Fund Flow Analysis

Fund Flow in Emerging Markets

ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 อีก US$123 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$303 ล้าน

Foreign Investors Action วานนี้

ต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยหนาแน่น

          นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 3 มากถึง 2,909 ล้านบาท รวม 3 วันทำการซื้อสุทธิ 3,492 ล้านบาท และทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิสะสมลดลงเป็น 11,093 ล้านบาท

          ขณะที่ SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Short สุทธิวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 2,853 สัญญา เทียบกับ 3 วันทำการก่อนหน้า Long สุทธิ 9,831 สัญญา คาดเป็นการปิดสถานะ Long เพื่อทำกำไรรอบสั้น แม้ว่า SET50 Index ปิดยืนเหนือ 810 จุดต่อเนื่องก็ตาม แต่ S50H16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index แคบลงเหลือ 5.51 จุด จากวันก่อนหน้า Discount กว้างถึง 7.50 จุด กดดันให้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิลดลงเป็น 88,014 สัญญา

          และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการ 1,763 ล้านบาท เทียบกับ 6 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 21,997 ล้านบาท เมื่ราคาพันธบัตรไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงมากถึง 7.66bps จากวันก่อนหน้าลดลงเพียง 1.44bps ปิดที่ 2.028%

Short-Selling วานนี้

เพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 2 เป็น 1,524 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 1,058 ล้านบาท

NVDR Movement

NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4 นอกจากกลุ่มพลังงานแล้ว กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ปรับตัวลงแรงกลับเป็นเป้าของการสะสม

          การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิอีก 807 ล้านบาท ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 881 ล้านบาท รวม 4 วันทำการซื้อสุทธิ 2,616 ล้านบาท โดยนอกจากกลุ่มพลังงานที่เป็นเป้าหมายของการสะสมต่อเนื่องแล้ว กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ปรับตัวลงแรงวานนี้กลับเป็นเป้าหมายของการสะสมเช่นกัน สรุปภาพการลงทุนได้ดังนี้

          1.  กลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 3 อีก 306 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 664 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มรับเหมาก่อสร้างซื้อสุทธิ 258 ล้านบาท กลุ่มอสังหาฯ ซื้อสุทธิ 112 ล้านบาท และกลุ่มปิโตรเคมี ซื้อสุทธิ 98 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 31 ล้านบาท

          2.  ส่วนกลุ่มธนาคาร กลับถูกขายสุทธิสูงสุด 180 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า ซื้อสุทธิ 133 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขายสุทธิ 34 ล้านบาท

ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค

สหรัฐอเมริกา

          รายงานการประชุมเฟดเดือนม.ค. ส่งสัญญาณกังวลต่อเศรษฐกิจโลก

          เศรษฐกิจโลกกลับมาเป็นปัจจัยเสี่ยง เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลง และความผันผวนของตลาดการเงินเพิ่มความเสี่ยงให้แก่เศรษฐกิจสหรัฐฯ

          กิจกรรมเศรษฐกิจภายในประเทศยังมีความไม่ชัดเจน แต่ความไม่แน่นอนกลับเพิ่มขึ้น กลายเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น

          อย่างไรก็ตาม การประชุมยืนยันที่จะมีการปรับนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นสิ่งที่เหมาะสม ทั้งนี้การปรับนโยบายขึ้นอยู่กับช่วงเวลา และระดับการปรับ จะขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจในอนาคต การพัฒนาการของตลาดการเงิน และแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลาง

          ขณะที่ตัวเลขตลาดการจ้างงาน สนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ตัวเลขการใช้จ่ายและภาคการผลิตกลับเป็นิสิ่งที่น่าผิดหวัง

          ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาดเป็นส่วนใหญ่

          ยอดก่อสร้างบ้าน เดือนม.ค. เท่ากับ 1.099 ล้านหลัง ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาด 1.175 ล้านหลัง และเดือนก่อนหน้าที่ 1.143 ล้านหลัง โดยยอดก่อสร้างบ้านเดี่ยวลดลง 3.9% mom บ้าน Multi-Family ลดลง 3.7% mom

          ยอดอนุมัติการก่อสร้างบ้าน เดือนม.ค. เท่ากับ 1.202 ล้านหลัง ใกล้เคียงกับที่ Bloomberg consensus คาด 1.224 ล้านหลัง และเดือนก่อนหน้าที่ 1.204 ล้านหลัง โดยการอนุมัติบ้านเดี่ยวลดลง 1.6% mom แต่ บ้าน Multi-Family กลับเพิ่มขึ้น 2.1% mom

          ผลผลิตภาคอุตฯ เดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 0.9% mom ดีกว่า Bloomberg consensus คาดที่ 0.4% mom และฟื้นตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ -0.7% mom การผลิตยานยนต์เพิ่มขึ้น 2.8% mmom

ยุโรป

          กรีซต้องการตรวจสอบขั้นตอนการขายหนี้เสีย: รมว.ด้านเศรษฐกิจของกรีซ ต้องการที่จะควบคุมการขายหนี้เสียของสถาบัการเงิน พร้อมยืนยันที่จะเข้าไปควบคุมขั้นตอนการพิจารณาขายหนี้เสียเข้ากองทุน Distressed debt ขณะที่ทางอียู ต้องการให้รัฐบาลกรีซปรับเงื่อนไขต่างๆ ให้มีความยืดหยุ่น และยกเลิกกฎหมายที่ไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคต่อการขายหนี้เสียของธนาคาร

จีน         

          ไม่มี

เอเชียแปซิฟิก

          เศรษฐกิจไต้หวันหดตัวมากกว่าคาด: หดตัว 0.52% yoy ใน 4Q58 มากกว่า Bloomberg consensus คาด -0.30% yoy  ทำให้ทางการไต้หวัน ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้คาดเติบโต 1.47% ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่ 2.32% โดยเป็นผลจากภาคการส่งออกที่คาด -2.78% yoy จากเดิม +1.97%

          ที่ปรึกษานายกฯ ญี่ปุ่นส่งสัญญาณ BoJ เพิ่มมาตรการกระตุ้น: โดยมีความเป็นไปได้ที่จะมีการเพิ่มมาตรการในการประชุมเดือนมี.ค.นี้ เพื่อให้ตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ตกอยู่ในภาวะเงินฝืด นอกจากนี้เสนอให้ใช้งบประมาณพิเศษอีก 5 ล้านล้านเยน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

          ส่งออกสิงคโปร์หดตัวมากกว่าคาด: การส่งออกที่ไม่รวมน้ำมัน เดือนม.ค. ลดลง 9.9% yoy แย่กว่าที่ Bloomberg consensus คาด -7.6% yoy และหดตัว 7.2% mom โดยการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ลดลง 0.6% yoy ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ทรุดตัว 18.3% yoy แต่ด้านเวชภัณฑ์ กลับเพิ่มขึ้น 6.9% yoy

          ตัวเลขดุลการค้าของญี่ปุ่นออกมาแย่กว่าคาด

          การส่งออกเดือนม.ค. หดตัว 12.9% yoy มากกว่าที่ Bloomberg consensus คาด -11.0% yoy โดยการส่งออกไปยังจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของการส่งออกญี่ปุ่น หดตัวเกือบ 18% yoy

          การนำเข้าเดือนม.ค. หดตัว 18.0% yoy มากกว่าที่ Bloomberg consensus คาด -11.0% yoy

          ดุลการค้าเดือนม.ค. ขาดดุล JPY6.459 แสนล้าน ดีกว่าที่ Bloomberg consensus คาดขาดดุล JPY6.583 แสนล้านเยน

ไทย

          ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน: เดือนม.ค. อยู่ที่ 86.3 ลดลงจาก 87.5 ในเดือน ธ.ค. ความเชื่อมั่นที่ลดลงดังกล่าว เป็นผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน และยังเกิดจากการเร่งใช้จ่ายในช่วงเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้เกิดความกังวลต่อการชะลอตัวของกำลังซื้อภายในประเทศ   รวมถึงความกังวลต่ออัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนมากขึ้น ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 100.8 ลดลงจาก 102.7 ในเดือนธ.ค.

          Strategist Team Maybank KimEng         

          Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440

          Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450

          Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530    

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!