- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 20 January 2016 17:15
- Hits: 1792
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'แกว่งไม่หลุด 1250...เลือกซื้อ/ถือได้'
Stock Picks-Jan 2016 : Fundamental : ANAN, AOT, BTSGIF, CPN, GL และ Dark Horse เป็น CK
Fundamental Pick -Today: SCB (ดูรายละเอียดด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, DTAC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, QTC, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : TDEX 47%, AIT 16%, RATCH 12%, EGCO 10%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ มีลุ้นรีบาวด์ก่อนลงต่ำต่อ
Support Resistance Stop Loss
SET 1200+/- 1280-1290,1300 หลุด 1250
SET50 750-740 800,810-820 หลุด 780
Technical Picks- Today : KTB, SCB, AMATAV, SCN, SMT, WICE, ASIMAR, KKC
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : PRIN (จาก Fully Valued เป็นซื้อ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวานนี้เด้งขึ้นต่อ ปิดตลาด +20.96 จุดที่ 1266.01 นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์, ก๊าซและน้ำมัน (ซึ่งได้อานิสงค์จากราคาน้ำมันดิบรีบาวด์), สื่อสาร, วัสดุก่อสร้าง, ปิโตรเคมี นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 918 ล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2.2 พันล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 384 ล้านบาท ส่วนรายย่อยเป็นกลุ่มเดียวที่ขายสุทธิ
ราคาน้ำมันดิบที่ยังอ่อนแอ กดดันตลาดต่อ (ดัชนี DJIA รีบาวด์จำกัดเพราะกังวลในเรื่องนี้) เนื่องจากอิหร่านประกาศว่าจะผลิตน้ำมันดิบสู่ตลาดโลกทันที 5 แสนบาร์เรล/วันหลังประเทศมหาอำนาจยุติการคว่ำบาตร ล่าสุดราคาน้ำมันดิบ WTI & BRENT ร่วงลงต่ำกว่า 29 ดอลลาร์/บาร์เรลแล้ว และเช้าวันนี้ราคาน้ำมันและดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์อ่อนตัวลงต่อ ทำให้ Sentiment การลงทุนในภูมิภาคเอเชียไม่สดใส แม้ว่ามีความหวังว่าจีนอาจออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมหลังตัวเลขเศรษฐกิจเดือนธ.ค.2015 ชะลอตัวลง ส่วนในประเทศมีประเด็นเรื่องผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งที่ออกมาก็ยังไม่มี Surprise และคาดว่าผลประกอบการปี 2016 จะเติบโตค่อนข้างจำกัดต่อ อย่างไรก็ตาม P/BV ของกลุ่มธนาคารลดลงมากเป็น 1.1 เท่าจาก 1.9 เท่าเมื่อประมาณ 1 ปีก่อน จึงแนะนำให้ทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุน นอกจากนั้นมองว่ากลุ่มวางระบบไอทีจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในปีนี้ เพราะภาครัฐจะจัดสรรเงินลงทุนด้านโครงข่ายอินเตอร์เน็ตมากขึ้น (หุ้นเด่น SAMTEL, SAMART) ส่วนหุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อลงทุนวันนี้เป็น SCB
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวกเล็กๆ มีลุ้นรีบาวด์ก่อนลงต่ำต่อ แนวต้านระยะสั้น 1280-1290, 1300 จุด ค่าลบดูไม่ดี หลุด 1250 จุดให้ลดพอร์ตตาม หรือตัดขายขาดทุน (Stop loss) เพราะมีโอกาสลงไปที่แนวรับ 1200+/- จุด ส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น KTB, SCN, ASIMAR ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ IRPC, VNG, LIT, CHG, QTC สำหรับหุ้นที่หาจังหวะ Take Profit ได้แก่ LPH, INET, BIG, GFPT
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
/- จีน : ยังกังวลกับแนวโน้มปี 2016 ตัวเลข GDP Growth ปี 2015 เท่ากับ 6.9% (ลดลงจาก 7.3% ในปี 2014) แต่ก็ดีกว่าที่ DBS Group Research คาดการณ์ไว้ที่ 6.8% สำหรับงวด 4Q15 เศรษฐกิจจีนเติบโต 6.8% ดีกว่าที่เราประมาณการไว้ที่ 6.5% แนวโน้มปี 2016 คาดว่าจะขยายตัวชะลอลงอีกเป็น 6.5% เพราะอุปสงค์ที่ยังอ่อนแอมาก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวลง เห็นได้จากเดือนธ.ค.2015 ที่ส่วนนี้เพิ่มขึ้น 5.9% ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่ม 6.2%
/+ จีน : ตลาดคาดการณ์ว่าทางการจีนอาจออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาซบเซาลงไปอีก โดยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.2015 ขยายตัว 5.9%YoY ชะลอตัวลงจากเดือนพ.ย.ที่ขยายตัว 6.2%YoY ส่วนยอดค้าปลีกเดือนธ.ค.ขยายตัว 11.1%YoY ลดลงจากเดือนพ.ย.เช่นกัน
+ สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านทรงตัวในระดับสูง ที่ 60 ในเดือนม.ค.2016 ซึ่งใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี สะท้อนว่า ภาคที่อยู่อาศัยยังแข็งแกร่ง ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นและบ้านมีมูลค่าสูงขึ้น
/- เยอรมนี : อัตราเงินเฟ้อต่ำสุดในรอบ 6 ปี โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปี 2015 ลดลง 0.3%YoY เนื่องจากการลดลงของราคาน้ำมัน ซึ่งอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวยังต่ำกว่าเป้าหมายของ ECB ที่ 2.0% อย่างมาก ทำให้ทางการยุโรปอาจยังต้องมีมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ตั้งไว้
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเล็กน้อย โดยในระหว่างวันปรับขึ้นไปสูงสุดที่บวกกว่า 180 จุด แล้วถูกแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานกดช่วงบวกลงมา ปิดตลาดดัชนี DJIA +27.94 จุดที่ 16,016.02 จุด หุ้นที่ปรับขึ้นนำตลาด คือ กลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภค (J&J ปรับลดพนักงานราว 6% ในธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์, Amazon มีข่าวจะจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ของอังกฤษ คือ Ocado Group ฯลฯ) นับว่าตลาดยังอยู่ในความผันผวนและอ่อนไหว
- ราคาน้ำมันดิบยังอ่อนแอ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 96 เซนต์ หรือ -3.3% ปิดที่ 28.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบมี.ค.เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 21 เซนต์ หรือ +0.7% ปิดที่ 28.76 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้อิหร่านตั้งเป้าหมายส่งออกน้ำมันทันที 5 แสนบาร์เรล/วันหลังชาติมหาอำนาจการยุติคว่ำบาตรอิหร่าน
ราคาทองคำปิดอ่อนลงเล็กน้อย สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดลดลง 1.6 ดอลลาร์ ที่ 1,089.10 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนกลับเข้าไปซื้อเก็งกำไรหุ้นหลังราคาหุ้นอ่อนตัวแรง แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนก็อาจกลับเข้าเข้ามายังตลาดทองคำได้อีก
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
ธนาคารพาณิชย์ : ทยอยรายงานกำไร 4Q15 และทั้งปี 2015...ที่ออกมาแล้วถือว่าเป็นไปตามคาด โดยเราเห็นการเติบโตของกำไรก่อนสำรองค่าเผื่อฯเติบโตได้เล็กน้อยในธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เพราะสินเชื่อที่ขยายตัวได้เล็กน้อย ขณะที่รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเติบโตได้พอควร แต่ธนาคารยังตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันซึ่งฟื้นตัวค่อนข้างช้า และบางธนาคารมีการตั้งสำรองด้อยค่าในสินทรัพย์เพื่อสะท้อนราคาตลาด ทำให้กำไรสุทธิบรรทัดสุดท้ายอ่อนลง สำหรับ TCAP จะมีกำไรก่อนสำรองฯ ลดลงเพราะรายได้ค่าธรรมเนียมหดตัว ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มเพียงเล็กน้อยเพราะสินเชื่อเช่าซื้อยังซบเซามาก แต่การตั้งสำรองฯ ปี 2015 น้อยลงและอัตราภาษีจ่ายต่ำลงทำให้กำไรบรรทัดสุดท้ายเติบโตได้
โดยรวมเห็นว่าธนาคารพาณิชย์ไทยยังมั่นคง และมีฐานะกองทุนแข็งแกร่งมาก โดยมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) สูงกว่าขั้นต่ำที่ธปท.กำหนดที่ 8.5% กว่า 2 เท่า ในเชิงกลยุทธ์ ให้น้ำหนักลงทุนเป็น Neutral ทั้งนี้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้ปรับลดลงมายังระดับ P/BV ที่ 1.1 เท่า จากระดับ 1.9 เท่าเมื่อประมาณ 1 ปีก่อน และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 1.7 เท่า ในเชิงกลยุทธ์ให้ KBANK เป็น Top pick รองลงมาเป็น SCB, BBL ส่วนหุ้นปันผลสูงในกลุ่มธนาคารเป็น TCAP, TISCO แนะนำทยอยซื้อสะสมเพื่อการลงทุนระยะกลาง-ยาว
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : P/BV ลดลงมากพอควร
+ ครม.ไฟเขียวอัดงบกลางปี 2016 วงเงิน 5.6 หมื่นล้านบาท โดยใช้เงินที่ได้จากการประมูลในอนุญาต 4G เพื่อใช้ลงทุนขยายโครงข่ายอินเตอร์เน็ตและขับเคลื่อนนโยบายประชารัฐ ซึ่งเมื่อรวมกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ 2.72 ล้านล้านบาทแล้วจะทำให้วงเงินฯเพิ่มเป็น 2.77 ล้านล้านบาท โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายปี 2016 ว่าเป็นปีแห่งการลงทุนของรัฐบาล ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ GDP Growth เป็นไปตามเป้าหมายที่ 3-3.5%
สำหรับ DBS Group Research เราคาดการณ์ GDP Growth ของไทยปี 2016 ไว้ที่ 3.4% หนุนโดยการเติบโตของการบริโภคภาครัฐที่เติบโต 4.6% และการลงทุนที่ขยายตัว 5.6% ส่วนการบริโภคภาคเอกชนมองว่าจะเติบโต 2.3% และมูลค่าส่งออกรูปดอลลาร์เพิ่มขึ้น 3%
กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุน คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (หุ้นเด่น CK, STEC), วัสดุก่อสร้าง (หุ้นเด่น SCC), กลุ่มวางระบบไอที (หุ้นเด่น SAMTEL, SAMART)
นักกลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]