- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 13 January 2016 16:58
- Hits: 1046
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Watching Fund Flow
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ แกว่งระหว่าง 1,230-1,240 จุด แม้ว่า PTT / PTTEP / SCC จะปรับตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและปิโตรเคมี แต่กลุ่มธนาคาร กลับขยับขึ้นได้เด่น รวมถึงกลุ่มท่องเที่ยวและอาหารที่ valuation อยู่ในโซนน่าสนใจ ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX บวก 20.80 จุด มาอยู่ที่ 1,255.30 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 46,997 ล้านบาท
ทั้งนี้ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการ แม้ว่าจะไม่หนาแน่นเพียง 375 ล้านบาท และกลับมา short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการ 70 สัญญา และขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2 เพียง 200 ล้านบาท ก็ตาม
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ติดตามตัวเลขการส่งออกจีน เดือนธ.ค.เช้าวันนี้ Bloomberg consensus คาด -8.0% yoy
ค่าเงินหยวนกลางจากธนาคารกลางจีนวันนี้ 6.5630 หยวน/ดอลลาร์สหรัฐฯ ใกล้เคียงกับวานนี้ที่ 6.5628 หยวน/ดอลลาร์สหรัฐฯ ทรงตัวเป็นวันที่ 4
ติดตามรายงาน Beige Book คืนนี้ เพื่อประเมินภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันดิบ
กระแสเงินทุนต่างชาติเริ่มส่งสัญญาณที่น่าสนใจ
มุมมองต่อตลาด
หลัง SET INDEX สามารถปิดยืนเหนือ 1,250 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยการฟื้นตัวของหุ้น Big Cap นำโดยกลุ่มธนาคาร กลายเป็นสัญญาณ "กลางถึงบวก" ในความเห็นของเรา ทั้งนี้ปัจจัยที่เราให้สำคัญในช่วงเช้าวันนี้ และมีน้ำหนักต่อการกำหนดทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกคือ ตัวเลขการส่งออกของจีน
หากการส่งออกหดตัวมากกว่า 8.0% yoy เชื่อว่าจะกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันจะยังเพิ่มความอ่อนแอ แต่ราคาทองคำดูจะเป็นทางเลือกของการพักเงินช่วงสั้น สำหรับ SET INDEX เราประเมินย่อตัวลงสู่แนว 1,240 จุด กดดันด้วยกลุ่มพลังงาน / ปิโตรเคมี ซึ่งเราให้โอกาสเกิดกับข้อนี้น้อยกว่าข้อถัดไป
แต่หากการส่งออกหดตัวน้อยกว่า 8.0% yoy เชื่อว่าตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกจะปรับตัวขึ้นเด่น พร้อมกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีโอกาสขยับขึ้นราว 1-3% ได้ เอื้อต่อ PTT / PTTEP / กลุ่มปิโตรเคมี ฟื้นตัวต่อเนื่องในวันนี้ ผลักดันให้ SET INDEX มีโอกาสขึ้นทดสอบ 1,265-1,270 จุด
จะเห็นว่ากรอบแกว่งของ SET INDEX ในวันนี้มี Downside risk ที่จำกัด แรงกดดันจากความอ่อนแอของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยโดยรวมเริ่มจำกัดมากยิ่งขึ้น การทำ Sector Rotation ของสถาบันทั้งในและต่างประเทศ เป็นตัวแปรที่ชดเชยกลุ่มพลังงาน / ปิโตรเคมี นอกจากนี้ กระแสเงินทุนต่างชาติที่เริ่มกลับมามองตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้น้ำหนักกับการผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาล หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้กับเงินลงทุนราว 8.0 แสนล้านบาทในปีนี้ที่จะเปิดประมูลโครงการทั้งตามขั้นตอนปกติ และผ่าน PPP Fast Track เชื่อว่ากลุ่มที่เกี่ยวข้อง นอกเหนือจากกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อย่างกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มธนาคารจะเป็นกลุ่มเป้าหมายของการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ
เราประเมินกลุ่มที่มีความโดดเด่นต่อการเก็งกำไรในช่วงสั้นคือ กลุ่มธนาคาร หลัง TISCO รายงานงบ 4Q58 ออกมาใกล้เคียงคาด ขณะที่ Valuation ของกลุ่มธนาคารอยู่ในโซนที่ต่ำ บวกกับผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 4% เราคาดว่ากลุ่มธนาคารจะเป็นเรือธงในรอบนี้ ทั้งนี้จับตากลุ่มอสังหาฯ ที่เข้าเกณฑ์ Valuation ถูก หุ้นหลายตัวซื้อขาย PER16 ต่ำกว่า 8x ขณะที่ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 5% น่าเป็นกลุ่มที่ฟื้นตัวเด่นในรอบนี้เช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน
ดังนั้น เราแนะนำ "นักลงทุนที่เข้าเก็งกำไรนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา อาจพิจารณาขายทำกำไรบางส่วนบริเวณ 1,260-1,270 จุด" เพื่อรอจังหวะการย่อตัวของ SET INDEX กลับมาสะสมหุ้น Domestic Play อีกครั้ง
Accumulative Buy: KTB
Trading: BIG
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "สะสม" ได้แก่
1. KTB : ราคาปิด 16.30 บาท ราคาเหมาะสม 19.30 บาท
a) KTB จะรายงานงบ 4Q58 ในวันที่ 21ม.ค. โดยคาดว่ากำไรสุทธิ 4Q58 จะฟื้นตัวราว +2% qoq เป็น 5.42 พันล้านบาท จากการตั้งสำรองที่ลดลง 25.7% qoq และสินเชื่อขยายตัว +2.1% qoq เนื่องจากได้ประโยชน์จากการปล่อยกู้สินเชื่อ Soft Loan ให้กับภาค SME
b) ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดี และจ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง โดยคาดการณ์เงินปันผลปี 2558 หุ้นละ 0.80 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 5.0%
c) แนวโน้มผลประกอบการปี 2559 คาดว่ากำไรสุทธิจะกลับมาเติบโต +10% yoy เป็น 3.03 หมื่นล้านบาท จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ KTB มีจุดเด่นคือการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการภาครัฐฯในสัดส่วนสูง จึงได้ประโยชน์โดยตรงจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐฯในปี 2559 ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลให้สินเชื่อของ KTB ขยายตัวได้สูงกว่ากลุ่มธนาคาร
d) Valuation ถูกมาก ซื้อขายระดับ PER2559 ที่ 7.4 เท่า และ PBV2559 ที่ 0.8 เท่า ช่วยจำกัด Downside Risk ของราคาหุ้น
และ "เก็งกำไร"
2. BIG : ราคาปิด 1.50 บาท ราคาเหมาะสม 2.30 บาท
a) ราคาหุ้นมีปัจจัยบวกรออยู่ โดยคาดว่ากำไรสุทธิ 4Q58 จะทำระดับสูงสุดใหม่ของบริษัท และเป็น Positive Surprise ให้กับตลาด ที่ 171 ล้านบาท เติบโต +63% yoy และ +46% qoq
b) ทั้งจากผลบวกตามฤดูกาล และแรงหนุนของมาตรการกระตุ้นภาษีของภาครัฐฯ ในช่วงปลายเดือน ธ.ค. 2558 ที่ให้บุคคลธรรมดาสามารถนำค่าใช้จ่าย 15,000 บาท มาลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาได้ เป็นปัจจัยกระตุ้นยอดขายกล้องแบบ Mirrorless ให้เติบโตสูง และ BIG มีจุดแข็งคือเป็นผู้นำตลาดด้วย Market Share สูงถึง 55% ผลักดันให้รายได้ 4Q58 เติบโต +35.2% yoy และ +33.9% qoq เป็น 1,380 ล้านบาท
c) คาดกำไรสุทธิปี 2559 จะเติบโต yoy ทุกไตรมาส เนื่องจากอุตสาหกรรมกล้องถ่ายรูปยังเป็นขาขึ้นจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสนใจมากขึ้น และเชื่อว่า BIG จะได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเติมจากคู่แข่งที่ประสบปัญหาด้านการเงินจึงทำให้ BIG มีความได้เปรียบมากยิ่งขึ้นในการบริหารต้นทุนสินค้าคงคลัง
d) คาดกำไรสุทธิปี 2559 เติบโต +22.5% yoy เป็น 477 ล้านบาท และ Valuation น่าสนใจ ซื้อขายระดับ PER2559 ที่ 11.1 เท่า และคาดว่าปี 2559 จะกลับมาจ่ายเงินปันผลได้หุ้นละ 0.06 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 3.7%
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ต่างชาติยังคงขายสุทธิเป็นวันที่ 7 ลดลงเหลือ US$222 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$528 ล้าน
แต่กลับมาซื้อสุทธิ JSE และ SET
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติเริ่มกลับมาเลือกซื้อหุ้นไทยบางส่วน
นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาสะสมหุ้นไทยบางหลักทรัพย์ ทำให้ภาพรวมซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 7 วันทำการ เพียงเล็กน้อย 375 ล้านบาท เทียบกับ 6 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 8,638 ล้านบาท
แม้ว่า SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้จะกลับมา Short สุทธิเป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการ แต่ก็เพียง 70 สัญญาเท่านั้น เทียบกับ 6 วันทำการก่อนหน้า Long สุทธิ 45,771 สัญญา น่าจะเป็นการปิดสถานะทำกำไรบางส่วนเท่านั้น เมื่อ SET50 Index ฟื้นตัวเด่น แต่ยังคงแกว่งตัวต่ำกว่า 800 จุด โดย S50H16 ยังคงปิดต่ำกว่า SET50 Index และกว้างขึ้นเป็น 10.93 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เพียง 7.51 จุด ส่งผลให้ QTD นักลงทุนต่างชาติยังคงมีสถานะเป็น Long สุทธิ 45,701 สัญญา
และต่างชาติคงการขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2 อีกเล็กน้อย 200 ล้านบาท รวม 2 วันทำการ ขายสุทธิ 1,152 ล้านบาท เทียบกับ 4 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 3,904 ล้านบาท ส่งผลให้ราคาพันธบัตรไทยเริ่มอ่อนตัวลงเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ ด้วยผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 0.31bps จากวันก่อนหน้าลดลง 2.57bps ปิดที่ 2.601%
Short-Selling วานนี้
ยังคงหนาแน่น 1,028 ล้านบาท ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้า 1,023 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 กลับมาเน้นสะสม ADVANC อย่างโดดเด่น
การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 เร่งขึ้นเป็น 1,563 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 296 ล้านบาท รวม 3 วันทำการซื้อสุทธิ 2,255 ล้านบาท โดยเน้นสะสมหุ้น ADVANC อย่างโดดเด่น สรุปภาพรวมได้ดังนี้
1. กลุ่ม ICT ถูกซื้อสุทธิสูงสุด 766 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 59 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิ 656 ล้านบาท กลุ่มธนาคาร ซื้อสุทธิ 514 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 268 ล้านบาท และกลุ่มโรงพยาบาล ซื้อสุทธิ 159 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 101 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้างถูกขายสุทธิสูงสุด 394 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 57 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มอาหาร ขายสุทธิ 67 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ไม่มี
ยุโรป
ผลผลิตภาคอุตฯ ของอังกฤษหดตัวแรงสุดในรอบเกือบ 3 ปี: ผลผลิตเดือนธ.ค. หดตัว 0.7% mom โดยการผลิตไฟฟ้า, ก๊าซ และไอน้ำ ลดลง 2.1% mom ขณะที่ Bloomberg consensus คาดว่าจะทรงตัว mom
จีน
ธนาคารกลางจีนเข้าแทรกแซงค่าเงินหยวนในตลาด Offshore: วานนี้ธนาคารกลางจีนได้เข้าซื้อเงินหยวนในตลาด Offshore ส่งผลให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น 0.7% ในตลาดเงินฮ่องกง ทำให้ส่วนต่างระหว่างค่าเงินหยวนใน Onshore - Offshore แคบลง เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.
จีนคาดเศรษฐกิจปี 2558 ขยายตัว 7% ตามเป้า: โฆษกคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) ซึ่งเป็นหน่วยงานวางแผนเศรษฐกิจของจีนคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2558 จะอยู่ที่ประมาณ 7% ซึ่งสอดคล้องเป้าหมายของรัฐบาล NDRC ได้อนุมัติโครงการสินทรัพย์ถาวรทั้งหมด 280 โครงการในปี 2558 คิดเป็นมูลค่า 2.52 ล้านล้านหยวน ทั้งนี้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มจะเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้นในปีนี้ ขณะที่รัฐบาลจะใช้นโยบายการคลังเชิงรุกและนโยบายการเงินที่ยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อรักษาอัตราการขยายตัวให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม
เอเชียแปซิฟิก
สมาชิกกลุ่มโอเปคบางรายต้องการเรียกประชุมฉุกเฉิน: ไนจีเรีย รมว.น้ำมัน ให้สัมภาษณ์ว่า สมาชิก 2 รายในกลุ่มโอเปค เสนอให้มีการประชุมฉุกเฉิน สอดคล้องกับรมว.ด้านปิโตรเลียมของซาอุดิอาระเบียที่ต้องการให้มีกาปรระชุมด่วน เพื่อพิจารณาสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในปัจจุบัน
อัตราเงินเฟ้อในอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว: เดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 5.61% yoy มากกว่า Bloomberg consensus คาด 5.53% yoy และเร่งตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 5.41% yoy ซึ่งระดับดังกล่าวเป็นอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 15 เดือน โดยเป็นผลจากราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นถึง 6.4% yoy เร่งตัวขึ้นจากเดือนพ.ย.ที่ 6.07% yoy
ผลผลิตภาคอุตฯ อินเดียหดตัวลงครั้งแรกในปี 2558: เดือนพ.ย. หดตัว 3.2% yoy เทียบกับ Bloomberg consensus คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.0% yoy
เอกชนเสนอให้รัฐบาลสิงคโปร์ยกเลิกมาตรการควบคุมตลาดอสังหาฯ: Knight Frank LLP และ Jones Lang LaSalle ต่างเสนอว่า รัฐบาลสิงคโปร์อาจจะมีการพิจารณายกเลิกมาตรการควบคุมตลาดอสังหาฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายบ้าน และราคาบ้าน ในปีนี้ราคาบ้านอาจลดลงได้อีก 8% และเป็นการปรับตัวลงต่อเนื่อง นับตั้งแต่ราคาบ้านทำระดับสูงสุดในปี 2556
ไทย
ไม่มี
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530