- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 06 January 2016 16:09
- Hits: 1161
บล.ซีไอเอ็มบี : Thailand Trading Picks(PM)
SET Index: หลุด 1252 ความเสี่ยง 1240 ไม่น่าถึง 1200 ในระยะสั้น
SET Index: 1250.90 เคลื่อนไหวในกรอบแคบต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิมที่ 1252 จุด ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นจากการฟื้นตัวของหุ้นในกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะ ADVANC และ INTUCH ซึ่งเดิมเราคาดว่า แนวโน้มของ SET Index น่าจะมีโอกาสฟื้นตัวที่บริเวณ 1280 หรือ 1260 จุดกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1340 และ 1380 จุด แต่การปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดใหม่หลุด 1250 จุดลงไป ความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงในระยะสั้นจะอยู่ที่บริเวณ 1240 จุด
แนวต้าน : 1255 และ 1260
แนวรับ : 1250 และ 1247
ADVANC = 135 / 137, INTUCH = 46.00 / 48.00, JAS = 2.94 / 3.08, PTT = 220 / 225, BEM = 5.00 / 5.20
IRPC (IRPC TB; THB 4.42) - ซื้อ
แนวต้าน : 4.60 และ 4.70
แนวรับ : 4.42 และ 4.40
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น ทะลุผ่านแนวต้านของเส้นแนวโน้มขาลงขึ้นไปได้ หลังจากเคลื่อนไหวออกด้านข้างเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ทำให้แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น
MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นทดสอบระดับ 60
แนะนำซื้อ IRPC โดยมีแนวรับที่ 4.42 และ 4.40 และมีแนวต้านที่ 4.60 และ 4.70 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 4.32 ลงไป
Kulthorn Kirby (KKC TB; THB 3.52) - ซื้อ
แนวต้าน : 3.70 และ 3.80
แนวรับ : 3.52 และ 3.48
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับของเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้น ทำให้แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนลบ เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าใกล้ระดับ 50
แนะนำซื้อ KKC โดยมีแนวรับที่ 3.52 และ 3.48 และมีแนวต้านที่ 3.70 และ 3.80 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 3.44 ลงไป
Analysts :
Teerasak Tanavarakul +662 657-9231 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)
SET...ทดสอบระดับ 1250 จุด
หลังจากที่ตลาดหุ้นเปิดทำการในปี 2559 มา 2 วันปรากฎว่าดัชนีได้ปรับลดลงไปกว่า 34.68 จุดหรือ -2.7% ปิดที่ 1253.34 จุด โดยระหว่างวันเมื่อวานนี้ดัชนีได้ปรับลดลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปีที่ 1251.87 จุด โดยนักลงทุนต่างประเทศยังคงขายสุทธิหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่องหลังเมื่อวานนี้ขายสุทธิไป 3,640 ล้านบาทรวม 2 วันขายสุทธิไป 4,841 ล้านบาท (แรงขายหลักอยู่ในกลุ่ม ICT) ในขณะที่กองทุนในประเทศขายสุทธิไปรวม 1,926 ล้านบาท (ส่วนหนึ่งอาจเป็นแรงขายกองทุน LTF ที่ถือครบกำหนดตามเงื่อนไข)
แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศที่ยังคงขายสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ปีที่แล้วขายสุทธิไปกว่า 1.54 แสนล้านบาท (ส่งผลให้ตลาดไทยปรับตัวลดลง -14% และหากรวมผลของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง 9% ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทน -23%) ยังคงกระจุกตัวอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่ 3 กลุ่มหลักทั้งพลังงาน (-20.7%) ธนาคาร (-28.6%) และ ICT (-39.5%) โดยกลุ่มพลังงานถูกขายออกมาจากการที่ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงกว่า 30% ในปีที่ผ่านมา ในขณะที่กลุ่มธนาคารถูกขายจากแนวโน้มผลกำไรที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ, การเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัวลงและ NPL ที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนกลุ่ม ICT ก็เป็นผลมาจากราคาประมูลคลื่น 4G ที่มีราคาสูงมากกว่าที่ตลาดคาดไว้มากและการมีผู้เล่นรายใหม่อย่าง JAS เข้ามาเป็นผู้เล่นรายที่ 4 ในตลาดมือถือ ทำให้คาดว่าตลาดจะมีการแข่งขันเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อรายได้และผลกำไรของผู้เล่นเดิมในกลุ่ม อย่างไรก็ตามหากพิจารณาการถือครองของนักลงทุนต่างประเทศ (foreign ownership) กับหุ้นทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวที่ปรับลดลงมาต่อเนื่อง บวกกับราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาแรง ก็ทำให้เราประเมินว่าแรงขายของหุ้นทั้ง 3 กลุ่มในปีนี้น่าจะชะลอตัวลง
ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ คาดว่าจะเริ่มมีการทำประมาณการผลประกอบการไตรมาส 4/58 ของกลุ่มธนาคารก่อนที่จะเริ่มทยอยประกาศผลประกอบการออกมาในช่วงวันที่ 15-22 ม.ค. 59 โดยเราได้เริ่มทำประมาณการของ KBANK (แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 202 บาท) โดยคาดว่าไตรมาส 4/58 จะมีกำไรสุทธิ 6,009 ล้านบาทหรือ 2.51 บาท/หุ้น ลดลง 40.6% yoy และ 39.7% qoq ซึ่งเป็นผลมาจากการตั้งสำรองพิเศษ 2.4 พันล้านบาท สำหรับการตั้งค่าเผื่อด้อยค่าอุปกรณ์ IT และ software เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และ credit cost ที่เพิ่มสูงขึ้น หากพิจารณาผลกำไรก่อนการตั้งสำรองที่ 17,429 ล้านบาท จะลดลงเพียง 19.6% yoy และ 1.1% qoq ส่วน TISCO (แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 39 บาท) ตลาดคาดว่าผลกำไรไตรมาส 4/58 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 2% yoy และ 54% qoq จากสินเชื่อที่กลับมาเติบโตได้เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาส และ NIM ที่ปรับตัวดีขึ้น ส่วน TMB (แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 2.75 บาท) ตลาดคาดว่ากำไรไตรมาส 4/58 จะลดลง 24% yoy และ 20% qoq จากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้
สำหรับหุ้นที่เราคาดว่าจะปรับตัวได้ดีกว่าตลาด (outperform) ในช่วงนี้ น่าจะเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างกลุ่มหุ้นอิเล็คโทรนิคส์ โดยค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปีกลับมาทะลุระดับ 36 บาท/ดอลลาร์อีกครั้งหลังจากที่ปีที่แล้วอ่อนค่าลงกว่า 9% โดยเราคาดว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อไปที่ระดับ 38 บาท/ดอลลาร์ในปลายปีนี้ ดังนั้นค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง บวกกับเศรษฐกิจสหรัฐที่ปรับตัวดีขึ้นจะเป็นผลบวกกับกลุ่มอิเล็คโทรนิคส์โดยตรง โดยเราแนะนำ ซื้อ DELTA KCE และ SVI โดยมีราคาเป้าหมายที่ 101 บาท, 75 บาทและ 6.29 บาท ตามลำดับ
ส่วนหุ้นกลุ่ม ICT ที่ถูกปรับลดลงน้ำหนักการลงทุนจากตลาดลงเป็น ลดน้ำหนักการลงทุน (underweight) หลังทราบผลการประมูล 4G ในปลายปีก่อน ราคาหุ้นก็ได้ปรับลดลงมากว่า 39% ในปีที่แล้ว ในขณะที่ปีนี้ก็ยังปรับลดลงต่ออีก 10.2% ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มปรับตัวลดลงมาที่ระดับ -3 s.d. ของค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ซึ่งเป็นระดับที่ขายมากเกินไป (oversold) โดยเฉพาะราคาหุ้น ADVANC ที่ถูกขายออกมาหนักมากในช่วง 1-2 วันนี้จากการปรับพอร์ทของนักลงทุนต่างประเทศ โดยเราเชื่อว่า downside ของราคาหุ้นเริ่มมีจำกัดที่ระดับราคา 127-128 บาทเมื่อเทียบกับกรณีแย่ที่สุดในการดำเนินธุรกิจและเป็นระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับ upside กว่า 53% จากราคาเป้าหมายของเราที่ 195 บาทและอัตราเงินปันผลตอบแทน 8.2% ดังนั้นเราแนะนำให้กลับเข้าซื้อ ADVANC ในระดับราคาต่ำกว่า 130 บาทในวันนี้ ส่วน DTAC คาดว่าจะได้รับผลกระทบสูงสุดจากการเสียลูกค้าและส่วนแบ่งตลาดไปให้กับ TRUE และ JAS ทำให้ระดับราคาหุ้นปัจจุบันแม้จะลดลงมามากแต่ยังไม่น่าสนใจ ส่วน TRUE ก็มีแนวโน้มที่จะต้องเพิ่มทุนหลังจากชนะการประมูลคลื่น 4G มา 2 ใบรวมกว่า 1 แสนล้านบาทและมีแนวโน้มจะขาดทุนเพิ่มขึ้นไปอีก 1-2 ปีก็ยังไม่น่าสนใจ สำหรับ JAS ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหม่ในตลาดก็คาดว่าจะมีการลงทุนจำนวนมากในช่วง 1-2 ปีแรกเพื่อดึงลูกค้าและส่วนแบ่งตลาดให้ได้ตามเป้าหมาย 10% ใน 3 ปีและเมื่อพิจารณาค่าเสื่อมราคาจากการได้ใบอนุญาตเทียบกับรายได้ก็จะพบว่า JAS มีโอกาสขาดทุนใน 3 ปีแรกที่ดำเนินธุรกิจ ดังนั้นเราแนะนำให้หลีกเลี่ยงในช่วงนี้ (ยกเว้นมีข่าวการเปิดตัวผู้ร่วมทุนต่างประเทศก็อาจมีการเก็งกำไรกลับมาได้)
วันนี้เราคาดว่าตลาดยังคงเผชิญแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศลงไปทดสอบระดับ 1250 จุด ซึ่งเมื่อพิจารณาแรงขายหุ้นกลุ่ม ICT ที่ยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง, ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงต่อที่จะกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานและคาดการณ์ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/58 ของกลุ่มธนาคารที่ออกมาไม่ดีนักจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นและ NPL ที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บวกกับสถานการณ์ตลาดหุ้นต่างประเทศทั่วโลกที่ยังคงปรับลดลงจากความกังวลเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอย่างต่อเนื่องในปีนี้และปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างซาอุฯ และอิหร่าน ก็ทำให้เราเชื่อว่าตลาดมีแนวโน้มจะปรับลดลงไปต่ำกว่าระดับ 1250 จุดในวันนี้ สำหรับหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าหมายในการพักเงินในยามที่ตลาดผันผวนช่วงนี้น่าจะเป็นหุ้นกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานแข็งแร่ง (defensive) อย่าง BDMS CPALL CPN GLOW RATCH และกลุ่มอิเล็คโทรนิคส์ DELTA KCE SVI โดยวันนี้เราให้แนวรับที่ 1240-1243 จุด และแนวต้านที่ 1255-1260 จุด
Analysts :
Kiatkong Decho +662 657-9236 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(PM)
Morning Market Summary...
SET ช่วงเช้าปิดที่ระดับ 1,250.90 จุด ลดลง 2.44 จุด (-0.19%) มูลค่าการซื้อขาย 21,306.13 ล้านบาท หุ้นไทยเช้านี้แกว่งในกรอบ โดยมีแรงหนุนจากกลุ่มสื่อสาร หลังปรับตัวลงมาต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดถูกกดดันจากหุ้น Big Cap.ในกลุ่มพลังงาน และวัสดุก่อสร้าง อย่างไรก็ตามตลาดยังมีไม่มีปัจจัยหนุนต่อการฟื้นตัว
Afternoon Perspective...
แนวโน้มตลาดบ่าย คาดผันผวน ตลาดยังมีแรงกดดันจากหุ้นขนาดใหญ่ และปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ จับตาค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า หาก SET ผ่าน 1255 จุด จะทดสอบแนวต้าน 1265-1270 จุด แต่ถ้าหลุด 1250 จุด จะเสี่ยงลงต่อ ทดสอบแนวรับแรก 1240 จุด
Fundamental Picks & Technic (PM) ...
IRPC (IRPC TB; THB 4.42) - ซื้อ
Kulthorn Kirby (KKC TB; THB 3.52) - ซื้อ
Turnover List preview (Cash Balance) : คาดหลักทรัพย์ที่มีโอกาสจะติด Cash Balance สัปดาห์หน้า : LDC, J*, NCL* (* ดูรายละเอียดของเงื่อนไขในบทวิเคราะห์ และกรณีหุ้นแม่ติด ฯ Warrant ทุกตัวของหุ้นนั้นจะติดตามด้วย)
Analysts :
Teerawut Kanniphakul +66(2) 657 9233 - [email protected]/ [email protected]