- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 29 December 2015 17:12
- Hits: 5191
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“แกว่งแคบก่อนหยุดยาว”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : TTCL (จาก Fully Valued เป็น ถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดอยู่ในโหมดเทศกาลวันหยุดยาวปีใหม่ การซื้อขายจึงซบเซา แต่ยังมีแรงซื้อ LTF & RMF ผนวกกับการทำWindow Dressing ช่วยพยุง เมื่อวานนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิต่อ 1.6 พันล้านบาท ส่วนต่างชาติ พอร์ตบล. และรายย่อยขายสุทธิทาง DBSV ประเมินว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2016 จะผันผวนจากความไม่แน่นอนของ Fund flow เมื่อเฟดทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายระลอก การฟื้นตัวของการบริโภค & ลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกยังไม่มาก อย่างไรก็ดี การลงทุนภาครัฐและภาคท่องเที่ยวยังเป็น Key Growth ที่ทำให้ DBSVคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัวได้ 3.4% ส่วนกำไรบจ.ปี 2016 ประมาณการว่าจะขยายตัวได้แต่ EPS จะยังไม่กลับไปเท่ากับปี 2013 ซึ่งทำให้ Forward P/E ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในโซนสูงที่ 16.3 เท่า (เทียบกับค่า P/E เฉลี่ยตลาดหุ้นไทยย้อนหลัง 15 ปีอยู่ที่ 13 เท่า) กลยุทธ์การลงทุนโดยภาพรวมจึงเน้นซื้อจังหวะอ่อนตัว โดยเป็นการเลือกซื้อรายบริษัท (Selective Buy) สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น KBANK
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวกเล็กๆ แม้ว่าการซื้อขายจะน้อยแต่ก็มีลุ้นเรื่องการทำราคาปิดงวดปี 2015 (Window Dressing)และการซื้อ LTF & RMF การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบของ SET Index หรือต่ำกว่า 1275 ดูไม่ดีควรลดพอร์ตตามถ้ามีเงินสดในพอร์ตเหลืออยู่น้อย แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1290-1300, 1310 จุด
ส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น BCH, GL, EPG, JWD และหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ MTLS, CK,SPRC, ERW, PLANB, IRPC ส่วนหุ้นที่หาจังหวะ Take Profit เป็น KTC, ITD, SPA หุ้นที่หลุด List คือ AMATA, M
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
• ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งในกรอบแคบ โดยดัชนีดาวโจนส์ปิด -23.90 จุดที่17,528.27 จุด การซื้อขายซบเซาเพราะเป็นช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่ ส่วนปัจจัยที่กดดันตลาด คือ การร่วงลงของราคาน้ำมันดิบเพราะอุปทานสูง ทำให้วิตกกับวิกฤตราคาพลังงานโลก
- ราคาน้ำมันดิบอ่อนแอ ราคาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ส่งมอบเดือนก.พ.ปิด -1.29 และ -1.27 US$ ปิดที่ 36.81 และ 36.62 US$/bbl การซื้อขายซบเซาในช่วงวันหยุดยาว
•/- อุปทานน้ำมันสูงกดดันกลุ่มพลังงานต่อในปี 2016 มีรายงานว่าอิหร่านจะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น หลังจากที่ชาติตะวันตกประกาศยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน โดยตลาดประเมินว่าอิหร่านอาจผลิตสู่ตลาดโลกเพิ่มราว 2 ล้านบาร์เรล/วันใน 6 เดือนข้างหน้า ขณะที่กลุ่มโอเปกก็แสดงท่าทีชัดเจนว่าจะไม่ลดกำลังการผลิตน้ำมันในปีหน้า โดยขณะนี้ผลิตที่ 31.5 ล้านบาร์เรล/วัน ด้านสหรัฐก็ยังผลิตน้ำมันดิบสูงกว่า 9 ล้านบาร์เรล/วัน
- ราคาทองคำร่วงลง โดยสัญญาตลาด COMEX ปิด -7.6 US$ ที่1,068.30 US$/ออนซ์ ซึ่งเป็นการลดลงหลังมีรายงานว่า จีนนำเข้าทองคำจากฮ่องกงลดลงต่อเป็นเดือนที่ 2 รวมทั้งค่าเงิน US$ อยู่ในทิศทางแข็งค่าเพราะเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหลายระลอกในปีหน้า ซึ่งเป็นลบกับราคาทองคำ โดยนักลงทุนหันไปถือครองเงิน US$ ซึ่งเป็นหนึ่งในสินทรัพย์มั่นคงและให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+ เศรษฐกิจไทย : สศค.ประเมินว่า GDP ปี 2015 มีโอกาส +3%หรือใกล้เคียง โดยเป็นผลจากมาตรการชอปช่วยชาติในวันที่ 25-31 ธ.ค.(จากเดิมคาดว่าจะ +2.8%) โดยประเมินยอดการใช้จ่ายในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ที่ 2.25 หมื่นล้านบาท และมีประชาชนมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษี50% ของจำนวนผู้เสียภาษีที่มีสิทธิ 3 ล้านคน ทั้งนี้กระทรวงการคลังยืนยันไม่ต่ออายุมาตรการชอปช่วยชาติไปถึงต้นปีหน้า
สำหรับ ปี 2016 ทางสศค.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.8%จากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปีนี้, การเร่งลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่, มอเตอร์เวย์, โครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ, โครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 และโครงการท่าเรือแหลมฉบัง เป็นต้น รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวที่ไปได้ดี โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 31 ล้านคน จาก29.5 ล้านคนในปี 2015 (ถ้าไม่มีปัญหาการเมืองหรือภัยก่อการร้ายที่เกี่ยวเนื่องกับไทย) ประกอบกับการค้าชายแดน CLM เติบโตได้แข็งแกร่งต่อ เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจประเทศดังกล่าวขยายตัวได้ดีที่ระดับ 7-8%ต่อปี
- ภาคส่งออกซบเซาต่อในปี 2016...แต่การค้ากับ CLMV ยังเติบโตแข็งแกร่ง ในช่วง 11M15 มูลค่าส่งออกของไทยอ่อนลงที่ -5.5% (มูลค่าส่งออกเดือนพ.ย. -7.4%YoY เป็น 17,167 ล้านUS$ ซึ่งหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ส่วนนำเข้า -9.5%YoY ทำให้เกินดุลการค้า 299 ล้านUS$) ทั้งนี้การส่งออกไปสหรัฐ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น และเอเชียชะลอตัวลง มีเพียงการส่งออกไป CLMV ที่เติบโตได้สูงที่ 15%YoY และมีมูลค่าเกือบ 10% ของส่งออกไทยในปีนี้ สินค้าส่งออกที่ขยายตัวได้ คือ ชิ้นส่วนและยานยนต์(ส่งออกรถอีโคคาร์) แต่ส่งออกชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า,ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม & เคมีภัณฑ์, ข้าว, ยางพารา, น้ำตาลยังลดลง
• KBANK (ราคาปิด 152.50 บาท) : Valuation จูงใจ ธนาคารตั้งเป้าหมายขยายสินเชื่อปี 2016 เท่ากับ 4-6% เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่เติบโต 4%โดยเน้นไปยังสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะระบบขนส่งและคมนาคม ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมวางเป้าหมายเติบโต 12% จากธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงิน และธุรกิจวาณิชธนกิจ
ทาง DBSV คาดว่าสินเชื่อ KBANK ในปี 2016 จะเติบโตดีขึ้น แต่การตั้งสำรองค่าเผื่อฯยังอยู่ในระดับสูง เพราะเศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่ได้ดีในทุกภาคส่วน สำหรับสินเชื่อ SME คาดว่าธนาคารยังอยู่ในความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่ (ณ สิ้นก.ย.2015 มีสัดส่วนสินเชื่อ SME ราว 37% ของสินเชื่อรวม) ประมาณการอย่างอนุรักษ์นิยมว่ากำไรสุทธิธนาคารในปี 2016จะขยายตัวค่อนข้างจำกัดที่ +4% แต่ดีขึ้นจากปีนี้ที่ -13%ราคาหุ้นปรับลดลงมาจนมี Valuation ที่ค่อนข้างจูงใจ ณ ราคาปัจจุบันที่152.50 บาท ซื้อขายที่ P/BV ปี 2016 ที่ 1.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5ปี และ 10 ปี ที่ 2.14 เท่า และ 1.95 เท่า ตามลำดับ แนะนำทยอยซื้อลงทุนโดยราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐานปี 2016 อยู่ที่ 211 บาท
+ GL (ราคาปิด 17.20 บาท) : เดินหน้าธุรกิจร่วมทุนในอินโดนีเซียล่าสุดมีข่าวว่าทาง J TRUST ASIA ได้แปลงสภาพหุ้นกู้ที่ซื้อไปเมื่อพ.ค.2015 มูลค่า 30 ล้านUS$ เป็นหุ้น GL จำนวน 98.1 ล้านหุ้น (คิดเป็นราคาแปลงสภาพประมาณ 11 บาท/หุ้น) และ J TRUST จะถือหุ้น GL 6.43% ซึ่งตอกย้ำการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการจดทะเบียนตั้งบริษัทร่วมทุนในอินโดนีเซียกับกลุ่ม J TRUSTและกลุ่มทุนท้องถิ่น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มธุรกิจได้ในต้นปี 2016 และธุรกิจจะทำกำไรได้ทันที
การรุกธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในอินโดนีเซีย ถือเป็นก้าวย่างที่มีนัยสำคัญ เพราะเป็นตลาดใหญ่มาก และคาดว่าโอกาสที่จะสำเร็จมีค่อนข้างสูง เนื่องจากมีประสบการณ์จากการทำธุรกิจในไทย กัมพูชา และลาวมาแล้ว และผลประกอบการของธุรกิจต่างประเทศก็เติบโตได้อย่างน่าประทับใจด้วย (กำไรสุทธิ 150 ล้านบาทใน 3Q15 มาจากธุรกิจในไทย 70ล้านบาท และจากต่างประเทศ 80 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกัมพูชา) ทางDBSV คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 2016 จะขยายตัวก้าวกระโดดต่อ และ EPSจะเติบโตได้กว่า 60% แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐาน 28บาท ส่วนการวิเคราะห์ทางเทคนิค เน้นซื้อตามด้วยค่าบวก หรืออ่อนตัวแต่ไม่หลุด 16.30 บาท โดยมีแนวต้าน 18.5-19, 20 บาท
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]