- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 23 December 2015 17:47
- Hits: 1070
บล. เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
เชื่อว่า SET น่าจะสะท้อนข่าวร้ายมากแล้ว ทั้งเรื่องน้ำมัน และต้นทุนประมูลคลื่น 900 MHz ที่สูงเกิน เป็นโอกาสสะสมหุ้นปันผลเด่น (EASTW, MCS, SCC) และที่มีผลบวกของฤดูกาล เลือก ERW([email protected]) และ BA([email protected]) เป็น Top picks
ของขวัญปีใหม่จากภาครัฐส่งท้ายปี กระตุ้นท่องเที่ยว-ค้าปลีก
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล ที่เริ่มตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาพบว่ามีผลตอบรับออกมาในทิศทางบวก เห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง 2 เดือน ในช่วง ต.ค. และ พ.ย. 2558 ล่าสุด ครม. ได้อนุมัติมาตรการเพื่อช่วยเหลือ SME เพิ่มเติม โดยให้ธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 4% (Soft loan) เพิ่มเติมอีก 5 หมื่นล้านบาทหลังจากสินเชื่อก้อนแรก 1 แสนล้านบาท ปล่อยกู้เต็มวงเงินไปแล้ว และปรับลดวงเงินกู้จาก เหลือไม่เกิน 10 ล้านบาท จากเดิม 50 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้เสนอมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายซื้อสินค้าหรือค่าบริการ ในช่วง 25–31 ธ.ค. 58 ไม่เกิน 15,000 บาท เพื่อกระตุ้นการบริโภคและภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 58 สอดคล้องกับผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่ ของ ม. หอการค้าไทย ระหว่าง 14-20 ธ.ค. คาดว่าประชาชนจะจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น 6.4%YoY นอกจากนี้ยังเตรียมที่จะพิจารณาปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีถัดไป เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน
ฐานผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาในประเทศไทยอยู่ที่ระดับประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มระดับกลาง-บน ดังนั้นมาตรการของภาครัฐที่ออกมาช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ผู้ที่ได้ประโยชน์โดยตรงน่าจะเป็นกลุ่มผู้ค้าที่จับกลุ่มเป้าหมายในระดับกลาง-บน เช่น COM7, HMPRO และ ROBINS ขณะที่บริษัทอื่นๆ ในกลุ่ม (BIGC, CPALL, BEAUTY และ TNP) มีฐานลูกค้าระดับกลางทั่วไป จะได้รับประโยชน์รองลงมา นอกจากนี้ มาตรการที่ออกมาก่อนหน้าคือการลดหย่อนภาษีจากการท่องเที่ยว น่าจะช่วยหนุนผู้ประกอบการท่องเที่ยว-โรงแรม (MINT, ERW, CENTEL) ได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า คาดว่าจะผลักดันให้ GDP Growthในปี 2559 จะกลับมาขยายตัวได้ที่ 3.8%
ภายใต้ภาวะตลาดผันผวน หุ้นหลักทรัพย์ ยังเป็นขาลง
แนวโน้มการแข่งขันในธุรกิจหลักทรัพย์ยังคงรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหม่ ที่เน้นแข่งขันด้านราคา หรือที่เน้นต้นทุนต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 รายหลังล่าสุด คือ LHS, ASL และ SBITO (ขยายฐานลูกค้าผ่าน อินเตอร์เน็ต และการเปิดสาขา Cyber branch) กดดันผู้ประกอบรายเดิม ทั้งส่วนแบ่งตลาด และอัตราค่านายหน้าฯ มีแนวโน้มลดลงจนปัจจุบันค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ยของอุตสาหรกรรมล่าสุดในงวด 3Q58 อยู่ที่ 0.129% จากที่ 0.141% ในงวด 1Q57 ทำให้ผู้ประกอบการรายเดิม มีโอกาสทำกำไรยากขึ้น หาก มูลค่าการซื้อขายของตลาดฯเฉลี่ยต่อวันยังต่ำเพียง 4 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน สะท้อนได้จากส่วนแบ่งตลาดของผู้ประกอบการรายเดิม ซึ่งเน้นลูกค้ารายย่อย พบว่าส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 43.8% ในงวด 1Q57 ลงมาเหลือ 39.1% ในงวด 4Q58 (ตั้งแต่ต้นงวดถึงปัจจุบัน)
ส่วนแบ่งตลาดตามประเภทโบรกเกอร์
จากการศึกษาฯ พบว่าผู้ประกอบการรายเดิมที่มีรายได้พึ่งพาธุรกิจนายหน้า จะมีผ่านจุดคุ้มทุนหรือมีกำไรได้ ต่อเมื่อมูลค่าการซื้อขายของตลาดเฉลี่ยต่อวันต้องสูง 5-6 หมื่นล้านบาท ทำให้ภาพรวมธุรกิจหลักทรัพย์ในปี 2559 กำไรโดยรวมน่าจะทรงตัว หรือมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว หากปัจจัยต่าง ๆ ยังคงเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และภายใต้มูลค่าซื้อขายของตลาดฯเฉลี่ยต่อวันใน ปี 2559 หากยังทรงตัวระดับเดิมคือ 4.15 หมื่นล้านบาทใกล้เคียงกับปี 2558 จึงมีความเสี่ยง ที่จะปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทหลักทรัพย์บางแห่ง ที่พึ่งพาธุรกิจนายหน้าฯเป็นหลัก อาทิ FSS, MBKET ,KGI เป็นต้น
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงาน งวด 4Q58 คาดว่าน่าจะทรงตัวจากงวด 3Q58 (QoQ) เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าฯยังทรงตัว QoQ ตามมูลค่าซื้อขายงวด 4Q58 (QTD) ที่ 3.79 หมื่นล้านบาท (+1.7% qoq) เช่นเดียวกับรายได้ดอกเบี้ยจาก Margin Loan จากมาตรการควบคุมการเก็งกำไรของ ตลท.ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เช่น วาณิชธนกิจ แม้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น QoQ พิจารณาจาก มูลค่า IPOs ในงวด 4Q58 (QTD) แต่อาจถูกหักล้างจากการบริหารพอร์ตลงทุน (ที่คาดว่าจะขาดทุนตามภาวะตลาด สะท้อนจาก SET Index -6.3%) ภาพโดยรวมยังให้น้ำหนัก “น้อยกว่าตลาด” แต่ยังคงเลือกหุ้นโดดเด่นในกลุ่มฯ ซึ่งมีเงินปันผลจ่ายได้ต่อเนื่อง คือ MBKET([email protected]) ซึ่งแม้จะต้องปรับประมาณ (ส่วนแบ่งตลาดลงจากเดิม 8.8% เหลือ 8%) และลดเงินปันผลลงแต่คาดว่า อัตราผลตอบแทนน่าจะเฉลี่ยเกินปีละ 5-6%
ตลาดหุ้นผันผวน กลยุทธ์เลือกหุ้นที่มีผลของฤดูกาล: BA, ERW
ภายใต้ภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม ยังเน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากฤดูกาล (รายละเอียดดังภาพด้านล่าง) ซึ่งปัจจัยหนุนส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการเข้าสู่ช่วง High Season ที่ต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม เป็นกลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์ ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางเข้ามาในไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดในเดือน ต.ค. 2558 มีจำนวน 2.228 ล้านคน และเพิ่มขึ้นอีก 5% เป็น 2.55 ล้านคนในเดือน พ.ย. 2558 ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปี 2558 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติท่องเที่ยวในไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 30 ล้านคน เติบโต 21% yoy และคาดว่าน่าจะเติบโตต่อเนื่องในงวด 1Q59 ซึ่งเป็นช่วง Peak ของฤดูกาลท่องเที่ยว
ประกอบกับมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวของภาครัฐ และการเปิด AEC ส่งผลบวกต่อกลุ่มต่อหุ้นในกลุ่มการท่องเที่ยว/โรงแรม อาทิ MINT (FV@B39),CENTEL (FV@B48) และ ERW([email protected]) แต่เนื่องจาก MINT และ CENTEL ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมากแล้วในช่วงก่อน ทำให้เหลือ Upside น้อย จึงเลือก ERW ณ ราคาปัจจุบัน มี Upside 26.79% เป็น Top pick จากผลประกอบการที่จะ Turnaround และราคาหุ้นยัง Laggard ที่สุดในกลุ่มฯ
อัตราตอบแทนรายกลุ่ม ในเดือน ม.ค.-มี.ค. ย้อนหลัง 10 ปี
ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยสูงสุดในรอบ 4 เดือน
วานนี้ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 164 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) แต่เป็นการซื้อสุทธิอยู่ 2 ประเทศ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิราว 30 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) และฟิลิปปินส์ถูกซื้อสุทธิราว 3 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ส่วนที่เหลืออีก 3 ประเทศต่างชาติยังคงขายสุทธิ คือ เกาหลีใต้ถูกขายสุทธิราว 13 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) ตามมาด้วยอินโดนีเซียถูกขายสุทธิราว 29 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) และไทยต่างชาติได้ขายสุทธิสูงถึง 164 ล้านเหรียญ หรือ 5,931 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิที่สูงที่สุดในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 12 โดยมียอดขายสุทธิสะสมรวมสูงถึง 2.7 หมื่นล้านบาท) ทั้งนี้การขายดังกล่าว ฝ่ายวิจัยประเมินว่าน่าจะเป็นแรงขายที่เกิดจากการลดน้ำหนัการลงทุนในบางกลุ่มอุตสาหกรรม แต่การที่เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าจึงอาจจะยังมีโอกาสที่เม็ดเงินที่นักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยจะถูกจัดสรรกลับเข้ามาลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 3,575 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 13,461 ล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิเล็กน้อยราว 209 ล้านบาท ส่วนค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 36.06 บาท/ดอลลาร์
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
หุ้นที่แนะนำใน Market talk