WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

May copyบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์วันนี้ S-T Profit-taking
ตลาดหุ้นวานนี้:
    ตลาดหุ้นไทยวานนี้ เปิดฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ผลักดันด้วยแรงเก็งกำไรต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการประมูลคลื่น 4G อีกทั้งบรรยากาศรอบเอเชียเป็นกลางมากยิ่งขึ้น ทำให้หุ้นหลักที่ปรับฐานลงไปแรงในช่วงก่อนหน้านี้มีแรงเก็งกำไรระยะสั้น บวกกับการทำ Covered short หุ้นหลักอย่าง PTT / BBL / KBANK ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX บวกทั้งสิ้น 2.60% มาอยู่ที่ 1,300.51 จุด มูลค่าการซื้อขาย 57,074 ล้านบาท
     ทั้งนี้ ต่างชาติยังคงขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 7 หนาแน่น 3,238 ล้านบาท ขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 5 อีก 2,391 ล้านบาท แต่กลับมา Long สุทธิใน SET50 Index Futures จำนวน 2,481 สัญญา

ปัจจัยสำคัญวันนี้
การประมูลคลื่น 4G ย่านความถี่ 900MHz ดำเนินต่อเนื่องเป็นวันที่ 2
ติดตามการประชุมกนง.ในภาคบ่ายวันนี้ เราและตลาดคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50%
ติดตามผลการประชุมเฟดในช่วงเช้ามืดวันพรุ่งนี้ ตลาดคาดว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.25% จากปัจจุบัน 0.00%

มุมมองต่อตลาด
เราประเมิน SET INDEX จะกลับมาแกว่งในกรอบแคบลง 1,290-1,310 จุด ทั้งนี้จับตาหุ้นเกี่ยวข้องกับการประมูลคลื่น 4G ที่ฟื้นตัวเด่นวานนี้ ขณะที่การประมูลคลื่นยังคงดำเนินต่อมาจนถึงเช้านี้ อาจเกิดแรงขายทำกำไรออกมาในช่วงเปิดตลาด เพราะต้นทุนของใบอนุญาตเริ่มที่จะขยับสูงขึ้น ราคาล่าสุดรอบที่ 54 ราคาเสนอ 31,862 ล้านบาท/ใบ รวม 2 ใบ 63,724 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่า Downside risk ของ SET INDEX เริ่มจำกัดอีกครั้ง หลัง SET INDEX สามารถปิดยืนเหนือ 1,280 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น กลุ่มธนาคารจะฟื้นตัวขึ้นมาช่วยจำกัด Downside risk ในรอบนี้ ขณะที่กลุ่มน้ำมัน/ พลังงานจะทรงตัว หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทั้ง WTI และ Brent เริ่มฟื้นตัว


ขณะที่ผลการประชุมเฟด เราจะทราบกันในช่วงเช้ามืดของวันพรุ่งนี้ ตามเวลาประเทศไทย
หากเฟดตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.25% จากปัจจุบันที่ 0.00% ตามที่ตลาดคาดการณ์ คาดว่า
เงินทุนต่างชาติจะกลับมาชะลอการขายสุทธิตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะกลับมาอ่อนค่าเทียบกับเงินสกุลหลักในช่วงสั้น เพราะจะมีแรงขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสะท้อนผลการประชุม
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีโอกาสฟื้นตัวกลับ NYMEX อาจกลับไปทดสอบ US$40/barrel ได้ภายในสัปดาห์นี้
ตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว (DM) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะฟื้นตัว เพื่อสะท้อนความเชื่อมั่นของเฟดต่อทิศทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ
แต่หากเฟดเลื่อนการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในนัดนี้ จะกลายเป็นปัจจัยลบในทันที ต่อ
สินทรัพย์เสี่ยง อย่างตลาดหุ้น / น้ำมัน
เงินทุนวิ่งเข้าหาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ / ตลาดตราสารหนี้ เพื่อปิดความเสี่ยง เพราะการที่เฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ย สะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

กลยุทธ์การลงทุน
ดังนั้น เราแนะนำ "นักลงทุนที่เก็งกำไรรอบสั้น อาจพิจารณาขายทำกำไรเพื่อรอจังหวะกลับสะสมในช่วงปลายสัปดาห์"

Top Pick in 4Q15: BMCL / ITD/ TMB/ TPIPL
HOLD: ITD / TPIPL/ WHA/ IFEC/ INTUCH/ KTB/ BMCL
Accumulative Buy: KTB/ BECL

Stock Pick of the Day

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "ทยอยสะสม" ได้แก่
KTB : ราคาปิด 15.70 บาท ราคาเหมาะสม 19.30 บาท
     MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะ Outperform ในช่วงที่เหลือของปี เนื่องจากได้ประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2559 และ SET BANK ปรับตัวลงถึง -28.5% YTD เทียบกับ SET INDEX -13.2% จึงเชื่อว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มเป้าหมายที่จะได้แรงซื้อจากเม็ดเงิน LTF
คาดผลประกอบการ 4Q58 จะเริ่มฟื้นตัว qoq แม้ว่าโดยปกติ KTB จะมีการตั้งสำรองที่สูงในไตรมาส 4 ของทุกปี แต่เนื่องด้วย 3Q58 มีการตั้งสำรองหนี้เสียของ SSI เป็นจำนวนมาก จึงคาดว่าการตั้งสำรองจะลดลง qoq ใน 4Q58
     Valuation ถูก โดยซื้อขายต่ำกว่า BV ที่ระดับ PBV2559 เพียง 0.80 เท่า และให้ Dividend Yield 5.1% ต่อปี (จ่ายปีละ 1 ครั้ง)
ทิศทางกำไรปี 2559 คาดว่าจะเติบโต +23.5% yoy เป็น 3.03 หมื่นล้านบาท และมี Upside Risk ต่อประมาณการกำไรปี 2559 หากได้รับชำระคืนเงินจำนวน 1 หมื่นล้านบาท หลังศาลตัดสินให้ KTB ชนะคดีปล่อยกู้ให้กับ KMC โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการขายที่ดินหลักประกันและคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1Q59


BECL : ราคาปิด 40.25 บาท ราคาเหมาะสม 56.25 บาท
ราคาหุ้นมี Discount อยู่ 3% เมื่อเทียบกับ BMCL จึงมีความน่าสนใจมากกว่าในการซื้อ BECL เพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นหุ้นบริษัทใหม่คือ BEM โดยหุ้น BECL - BMCL จะหยุดซื้อขายตั้งแต่วันที่ 21-30 ธ.ค. และหุ้น BEM จะเข้าซื้อขายในตลท.วันที่ 5 ม.ค.2559
สัดส่วนการแปลงหุ้นเป็น BEM ได้แก่ 1 หุ้น BMCL = 0.42 หุ้น BEM และ 1 หุ้น BECL = 8.65 หุ้น BEM
หากอิงราคาปิดหุ้นทั้ง 2 ตัววานนี้จะเทียบเท่าต้นทุนหลังแปลงเป็นหุ้น BEM ได้แก่
I. BECL ที่ 40.25 บาท เทียบเท่าต้นทุนหุ้น BEM ที่ 4.65 บาท
II. BMCL ที่ 2.02 บาท เทียบเท่าต้นทุนหุ้น BEM ที่ 4.80 บาท
คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น BEM เนื่องจากเป็นทั้งหุ้น Growth Stock, ธุรกิจ Defensive และให้ Dividend Yield ราว 1.5% ในปี 2559 รวมทั้งมีปัจจัยบวกที่ชัดเจนรออยู่ในปี 2559 ได้แก่ 1.การเปิดให้บริการทางด่วนสายศรีรัช - วงแหวนตะวันตก และ 2.การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณผู้ใช้บริการได้อย่างมีนัยสำคัญฯ
ประเมินเป้าหมายหุ้น BEM ที่ 6.50 บาทมี Upside 40%

Fund Flow Analysis

Fund Flow in Emerging Markets
ตลาดหุ้นเอเชีย ขายสุทธิอีก US$509 ล้าน ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$534 ล้าน

Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติขายสุทธิหนาแน่นในตลาดหุ้นไทย ต่อเนื่อง
     นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 7 อีก 3,238 ล้านบาท รวม 7 วันทำการ ขายสุทธิ 10,698 ล้านบาท และทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิแตะระดับ 1.3 แสนล้านบาท เป็น 133,041 ล้านบาท
     ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Long สุทธิอีกครั้ง 2,481 สัญญา เมื่อ SET50 Index ดีดกลับอย่างโดดเด่น ตลอดชั่วโมงการซื้อขาย ส่งผลให้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิขยับขึ้นเป็น 19,619 สัญญา ขณะที่ S50Z15 ปิดสูงกว่า SET50 Index เป็นวันที่ 2 เพียง 0.01 จุด เท่านั้น เทียบกับวันก่อนหน้าที่ Premium เท่ากับ 1.06 จุด
     และต่างชาติขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 5 อีก 2,391 ล้านบาท รวม 5 วันทำการ ขายสุทธิ 22,812 ล้านบาท ขณะที่ราคาพันธบัตรไทยฟื้นตัวเด่น ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงเป็นวันที่ 2 มากถึง 2.39bps จากวันก่อนหน้าลดลงเล็กน้อย 0.94bps ปิดที่ 2.636%

Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling เร่งขึ้นเป็น 1,435 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 1,177 ล้านบาท

NVDR Movement
NVDR ยังคงขายสุทธิ ลักษณะ Basket orders
การซื้อขายผ่าน NVDR ขายสุทธิอีก 1,729 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิมากถึง 2,070 ล้านบาท แม้ว่า SET INDEX จะฟื้นตัวเด่น แต่ NVDR กลับคงขายสุทธิอย่างหนาน่น ลักษณะ กระจายตามกลุ่มหลักของตลาดหุ้นไทย NVDR สรุปภาพการลงทุนได้ดังนี้
1. กลุ่มธนาคาร ขายสุทธิสูงสุดอีก 568 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 2,112 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน ขายสุทธิ 314 ล้านบาท กลุ่มปิโตรเคมี ขายสุทธิ 276 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 191 ล้านบาท กลุ่ม ICT ขายสุทธิ 227 ล้านบาท และกลุ่มค้าปลีก ขายสุทธิ 188 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์ ซื้อสุทธิสูงสุด 39 ล้านบาท

ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค

สหรัฐอเมริกา
      Moody's ปรับประมาณการราคาน้ำมันดิบปีหน้าลง: ประมาณการราคาน้ำมันดิบ Brent ปี 2559 คาดว่าจะอยู่ที่ US$43/barrel จากเดิม US$53/barrel ส่วน WTI ราคาจะเฉลี่ยเท่ากับ US$40/barrel ในปีหน้า จากเดิม US$48/barrel เนื่องจากกำลังการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูง และเหนือกว่าการเติบโตของการบริโภคน้ำมัน ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI จะขยับขึ้น US$5/barrel ในปี 2560 และ 2561
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาเป็นกลาง
     อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย. เท่ากับ 0.0% mom เท่ากับที่ Bloomberg consensus คาด แต่ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ +0.2% mom โดยราคาค่าขนส่ง, ค่าสันทนาการ ต่างชะลอตัว รวมถึงราคาอาหาร
      ดัชนี Empire State ภาคการผลิต เดือนธ.ค. เท่ากับ -4.59 จุด หดตัวน้อยกว่า Bloomberg consensus คาด -7.00 จุด และเดือนก่อนหน้า -10.74 จุด โดยภาคการจ้างงานและระยะเวลาการทำงานชะลอตัวลง และถือเป็นการหดตัวลงเดือนที่ 5 ติดต่อกัน คำสั่งซื้อใหม่ ติดลบเป็นเดือนที่ 7
ดัชนีตลาดบ้าน เดือนธ.ค. เท่ากับ 61.0 จุด ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาด 63.0 จุด และเดือนก่อนหน้า 62.0 จุด

ยุโรป
ความเชื่อมั่นนักลงทุนเยอรมันฟื้นตัว: เป็นเดือนที่ 2 โดยดัชนีเดือนธ.ค. เท่ากับ 16.1 จุด จากเดือนพ.ย.ที่ 10.4 จุด และสูงกว่า Bloomberg consensus คาดที่ 15.0 จุด อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวเศรษฐกิจในประเทศเกิดใหม่ สร้างแรงกดดันต่อภาคการส่งออกของเยอรมัน
อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษ กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง: เดือนพ.ย. อัตราเงินเฟ้อ +0.1% yoy จากเดือนต.ค.ที่ -0.1% yoy เป็นการฟื้นตัวครั้งแรกในรอบ 4 เดือน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับใกล้เคียง 0.0% yoy ก็ตาม ทั้งนี้เหตุผลสำคัญคือ ราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อรวมในอังกฤษ

จีน
จีนยืนยันเศรษฐกิจเติบโตในกรอบที่สมเหตุสมผลในปีหน้า: ประธานาธิบดี Xi Jinping ยืนยันที่จะรักษาระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้า ในกรอบที่สมเหตุสมผล จากการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านอุปทาน
ตลาดคาดเศรษฐกิจจีนจะเติบโตชะลอตัวไปจนถึงปี 2561: การสำรวจของ Bloomberg พบว่า 6 ใน 12 นักเศรษฐกร ต่างคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะกลับมาขยายตัวเด่นในปี 2561 ส่วนที่เหลือ 5 รายคาดว่าจะเป็นปี 2562 ถือเป็นมุมมองที่สวนทางกับเป้าหมายการเติบโตของผู้นำจีนที่ 6.5% ต่อไปในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อให้ขนาดเศรษฐกิจขยายตัวอีก 1 เท่าจากปี 2553

เอเชียแปซิฟิก
ยอดค้าปลีกของสิงคโปร์ขยายตัวต่ำกว่าคาด: เพิ่มขึ้น 2.7% yoy ในเดือน ต.ค. เทียบกับ Bloomberg Consensus คาดขยายตัว 3.2% yoy และเป็นการชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ +4.3% yoy อย่างไรก็ตามหากไม่รวมยอดขายรถยนต์เป็นการหดตัว 4.6% yoy
ยอดส่งออกอินโดนีเซียหดตัวแรงกว่าคาด: หดตัว 17.58% yoy สำหรับเดือน พ.ย. ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัว 20.73% yoy เทียบกับ Bloomberg Consensus คาดลดลง 11.50% yoy ทั้งนี้การส่งออกไปภูมิภาคอาเซียนหดตัว 12.1% mom รวมถึงในยุโรป, จีนและสหรัฐฯหดตัว 8.6%, 6.6% และ 4.9% mom ตามลำดับ ยอดนำเข้าหดตัว 18.03% yoy ทำให้ดุลการค้าขาดดุลอยู่ที่ระดับ US$346 ล้าน สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะเกินดุลอยู่ที่ระดับ US$900 ล้าน

ไทย
ครม.มีมติจัดตั้งกองทุน Thailand Future Fund: ขนาด 1 แสนล้านบาท โดยเบื้องต้นกระทรวงการคลัง จะลงทุนในกองทุนดังกล่าว 1.0 หมื่นล้านบาท ด้วยการนำเงินของกองทุนวายุภักษ์มาแปลงเป็นเงินลงทุนในกองทุนนี้ และจะเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมลงทุนด้วย

Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!