- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 04 July 2014 15:22
- Hits: 2628
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ซื้อค่าบวก/หรืออ่อนตัวแต่ไม่หลุด 1475”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
• ภาพตลาดวันก่อน : ดัชนี Sideway รอข่าวใหม่ ปิดตลาด +1.40 จุด มายัง 1493.21 มูลค่าซื้อขาย 4 หมื่นกว่าล้านบาท โดยแบงค์ใหญ่, SCC ยังมีแรงซื้อเข้ามา รวมถึงหุ้น Property ที่มีแนวโน้มว่าผลประกอบการจะพลิกฟื้นใน 6-12 เดือนข้างหน้า นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาติซื้อสุทธิแต่ไม่มาก รายย่อยซื้อ-ขายใกล้เคียงกัน ส่วนพอร์ตบล.ขายสุทธิ 581 ล้านบาท
• ปัจจัยและกลยุทธ์ : # Sentiment ตลาดต่างประเทศเป็นบวก หลังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรมิ.ย.ของสหรัฐออกมาแข็งแกร่งกว่าคาดที่ 2.88แสนตำแหน่ง อัตราการว่างงานลดลงเป็น 6.1% ต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปี รวมทั้งดัชนีดาวโจนส์ + S&P 500 ทำ Historical High ส่วน ECB ยังยืนยันให้นโยบายผ่อนคลายต่อ และเรียกร้องให้ธ.พ.ใช้มาตรการ TLTROs (จัดหาสภาพคล่องให้ธ.พ.ปล่อยกู้เข้าสู่ระบบให้มากขึ้น) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
# ปัจจัยหนุนภายใน คือ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่พุ่งขึ้นแรงในเดือนมิ.ย.57 ซึ่งกลุ่มที่ได้อานิสงค์ทางบวกชัดเจน คือ กลุ่มที่พักอาศัย - หุ้นเด่น AP,SPALI, QH, SIRI, RML, LALIN เก็งกำไร BLAND, กลุ่มพาณิชย์ - หุ้นเด่น BIGC, ROBINS, HMPRO และกลุ่มเช่าซื้อ - หุ้นเด่น KTC, TISCO,TCAP นอกจากนั้นก็เป็นการซื้อเก็งกำไรผลประกอบการ 2Q57, เลือกซื้อหุ้นที่มี P/E หรือ P/BV ต่ำ หรือหุ้นที่จะมีข่าวดีเรื่องการเข้าซื้อกิจการ / การขายสินทรัพย์เข้า REIT / การนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ
# ปัจจัยที่ติดตามต่อเนื่อง คือ ความคืบหน้าของการปฎิรูปในภาคส่วนต่างๆของคสช., ตัวเลขเศรษฐกิจประเทศชั้นนำซึ่งมีผลต่อการฟื้นตัวของภาคส่งออกของไทย ที่มีสัดส่วนประมาณ 70% ของ GDP และสถานการณ์การเมืองในอิรัก & ยูเครน ที่จะมีผลต่อราคาน้ำมันและราคาทองคำ
# กลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก การอ่อนตัวต่ำกว่าแนวฟิวเตอร์ 1475 จุด มีแนวเด้ง 1470, 1450-1440 จุด ส่วนการปรับขึ้นต่อมีแนวต้านระยะสั้น 1500, 1520 จุด หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อลงทุนระยะยาววันนี้เป็น JAS
Fundamental Pick
JAS แนะนำซื้อปิด 8.35 บาท ราคาเป้าหมาย 10 บาท
# อยู่ในช่วงซื้อหุ้นคืน ทั้งนี้บริษัทมีแผนซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 10% ของทุนเรียกชำระแล้ว วงเงินซื้อคืนไม่เกิน 1 พันล้านบาท ระยะเวลา 6 เดือน (25 มิ.ย.57 – 25 ธ.ค.57) ซึ่งส่วนนี้จะช่วยให้Downside risk ของราคาหุ้นมีน้อยลง
# รอออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขร่างชี้ชวนฯ และการพิจารณาของก.ล.ต.ซึ่งคาดว่าจะออกได้ประมาณ 4Q57 หรือต้นปี 58 อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าของการออก IFF กระทบบริษัทไม่มาก เพราะมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ณ สิ้นมี.ค.57 มีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำเพียง 0.04 เท่า และมีเงินสดในเมือ 3.6 พันล้านบาท
# ผลดำเนินงานปกติใน 2Q57 ยังไปได้ดี โดยคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิจะเติบโตราว 25%YoYจากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้มี Economy of scale และผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงที่ 60%
# แนะนำซื้อ โดยนักวิเคราะห์ DBSV คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปกติ (Core Profit) ปี 57-58 จะขยายตัวได้เฉลี่ยปีละ 20% ณ ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PEG ปี 57-58 ต่ำที่ 0.7 และ 0.6 เท่าตามลำดับ ให้ราคาพื้นฐาน 10 บาท
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ตัวเลขภาคแรงงานแข็งแกร่งเกินคาด
+กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนมิ.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น288,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 215,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปี และลดลงจากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 6.3% สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงฟื้นตัวและมีแนวโน้มที่จะช่วยหนุนเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
• สหรัฐ : ดัชนีภาคบริการเดือนมิ.ย.อ่อนลงเล็กน้อย
• สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ที่ระบุว่าดัชนีภาคบริการเดือนมิ.ย.อยู่ที่ระดับ 56ชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.ที่ระดับ 56.3
+ ยูโรโซน : อีซีบียืนยันใช้นโยบายผ่อนคลายต่อ และเรียกร้องให้ธ.พ.ต่างๆใช้TLTROs เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
+ นายมาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ได้กล่าวในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมในที่ 3 ก.ค.57 ว่าอีซีบีจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินต่อไป โดยคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.15% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระดับ -0.10%
• ประเมินเศรษฐกิจยูโรโซนขยายตัวระดับปานกลางใน 2Q57 และคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะค่อยๆ ปรับขึ้นตามเป้าหมายของอีซีบี ส่วนมาตรการ TLTROs ที่อีซีบีประกาศว่าจะนำมาใช้นั้นมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสนับสนุนการกู้ยืม โดยจะเป็นการจัดหาสภาพคล่องเพิ่มขึ้นให้กับธนาคารพาณิชย์ และสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินกู้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของยูโรโซนให้มากขึ้นต่อไป
+ ดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
+ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,068.26 จุด เพิ่มขึ้น 92.02 จุด หรือ +0.54% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,485.93 จุด เพิ่มขึ้น 28.20 จุด หรือ +0.63% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,985.44จุด เพิ่มขึ้น 10.82 จุด หรือ +0.55% ทั้งนี้ดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 ต่างก็ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ
- สัญญาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 42 เซนต์ ปิดที่ 104.06 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 24 เซนต์ ปิดที่111 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยที่กดดัน คือ ลิเบียเปิดดำเนินการท่าเทียบเรือเพื่อขนส่งน้ำมันดิบได้แล้ว ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าอาจมีน้ำมันดิบราว 500,000 บาร์เรลจากลิเบียเข้าสู่ตลาดน้ำมันโลกซึ่งจะฉุดราคาน้ำมันดิบให้ปรับตัวลดลง
- สัญญาน้ำมันดิบดิ่งลง แต่ยังเหนือ 1,300US$/ออนซ์
- สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 10.3ดอลลาร์ หรือ 0.77% ปิดที่ 1,320.6 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากตัวเลขภาคแรงงานที่แข็งแกร่งหนุนให้ค่าเงิน US$ แข็งค่าขึ้น และกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น มากขึ้น อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ในตลาดทองคำคาดการณ์ว่าสถานการณ์รุนแรงในอิรักและยูเครนช่วยพยุงสัญญาทองคำไม่ให้ปรับตัวลดลงมากเกินไป
ปัจจัยในประเทศและหลักทรัพย์
•/+ กลุ่มที่พักอาศัย : ราคาคอนโดช่วง 1H57ในกรุงเทพฯและจังหวัดปริมณฑลปรับขึ้น4.7%YoY ส่วนบ้านเดี่ยวเพิ่ม 3.2%YoY และราคาทาวเฮ้าส์สูงขึ้น 3.0%YoY
# นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยถึงดัชนีราคาห้องชุดในช่วงครึ่งแรกของปี 57 ว่าดัชนีราคาห้องชุดรวมทุกระดับราคาในกรุงเทพฯนนทบุรี และสมุทรปราการ ปรับเพิ่มขึ้น 4.7%YoY โดยเมื่อแยกช่วงระดับราคา พบว่าห้องชุดที่มีระดับราคาต่ำกว่า 50,000 บาท/ตารางเมตร ปรับเพิ่มขึ้น 7.1%YoY, ห้องชุดที่มีระดับราคา50,000-80,000 บาท/ตารางเมตร ปรับเพิ่มขึ้น 9.0%YoY, ห้องชุดที่มีระดับราคา 80,001-120,000 บาท/ตารางเมตร ปรับเพิ่มขึ้น 5.1%YoY และห้องชุดที่มีระดับราคามากกว่า 120,000บาท/ตารางเมตรขึ้นไป ปรับเพิ่มขึ้น 2.8%YoY โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ ทำเลที่ราคาปรับขึ้นมากคือ เขตดินแดง, เขตห้วยขวาง (ถนนพระราม 9 ถนนรัชดาภิเษก และถนนลาดพร้าว), เขตจตุจักร (ถนนรัชดาภิเษก), เขตบางกะปิ (ถนนรามคำแหง และถนนลาดพร้าว), เขตธนบุรี (ถนนราชพฤกษ์ และถนนรัชดาภิเษก) และเขตพระโขนง (ถนนสุขุมวิทตอนปลาย) ใกล้แนวรถไฟฟ้า
# สำหรับดัชนีราคาบ้านเดี่ยวและทาวเฮ้าส์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 57 พบว่าดัชนีราคาบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ปรับเพิ่มขึ้น 3.2%YoY โดยดัชนีราคาบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้น 3.1%YoY, ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ในนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ปรับเพิ่มขึ้น 3.3%YoY ส่วนดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรปราการ ปรับเพิ่มขึ้น 3.0%YoY โดยดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้น3.3%YoY ส่วนดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ปรับเพิ่มขึ้น3.0%YoY
# ความเห็น Retail Research DBSV : การปรับขึ้นของราคาที่พักอาศัยใกล้เคียงกับที่เราประเมินไว้ ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเล็กน้อยในส่วนของบ้านเดี่ยวและทาวเฮ้าส์ ส่วนราคาคอนโดปรับขึ้นมากกว่าเพราะมีอุปสงค์ที่สูงกว่า ซึ่งเป็นไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาซื้อคอนโดกันมากขึ้น ทั้งในกลุ่มที่เป็นคนรุ่นใหม่ และกลุ่มที่มีบ้านเดี่ยวอยู่แล้วแต่ต้องการมีบ้านหลังที่สองในเมืองที่ติดรถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดิน เรามองว่าแนวโน้มยังไปได้ดี เนื่องจากความต้องการซื้อที่พักอาศัยยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ยอดขายมีแนวโน้มดีขึ้นใน 2H57 หนึ่งในปัจจัยหนุนสำคัญ คือ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยล่าสุดในเดือนมิ.ย.57 ขึ้นมาเป็น 75.1 จาก 70.7 ในเดือนก่อนหน้า
# ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มที่พักอาศัยเป็น Overweight โดยคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิของกลุ่มจะขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นเป็น 12-15% ในปี 58 จากที่เติบโตประมาณ 5-7% ในปีนี้เนื่องจากยอดขายใน 2H57 ดีขึ้น และมีการโอนรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นในปีหน้า หุ้น Big Cap ในกลุ่มที่โดดเด่น คือ AP (ราคาพื้นฐาน 7.7 บาท), QH (ราคาพื้นฐาน 4.2 บาท), SPALI (ราคาพื้นฐาน 28 บาท), SIRI (ราคาพื้นฐาน 2.35 บาท) ส่วน Mid-Small Cap เป็น LALIN (ราคาพื้นฐาน 5.31 บาท), RML (ราคาพื้นฐาน 2.05 บาท) เก็งกำไรเป็น BLAND (มูลค่า BVS สิ้นมี.ค.57 อยู่ที่ 2.32 บาท)
+ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมิ.ย.57 พุ่งขึ้นแรง 4.4 จุดจากเดือนก่อนหน้า
# ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.57 ปรับขึ้นเป็น 75.1 จาก 70.7 ในเดือนก่อนหน้า นับว่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมสูงขึ้นเป็น 65.3 จาก 60.7ในเดือนก่อนหน้า ดัชนีความเชื่อมั่นต่อรายได้ในอนาคตสูงขึ้นเป็น 92 จาก 87.1 และดัชนีโอกาสในการหางานสูงขึ้เนป็น 68.1 จาก 64.2 ปัจจัยหนุน คือ การเข้ามาบริหารงานของคสช.ทำให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงโดยรวมดีขึ้น, การคาดการณ์ของธปท.ว่าเศรษฐกิจใน 2H57 จะฟื้นตัวดี และเติบโตสูงขึ้นในปี 58, การจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าวทำให้เศรษฐกิจในต่างจังหวัดดีขึ้น และการเร่งจ่ายงบประมาณของรัฐ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลกับการส่งออกที่ซบเซาและฟื้นตัวช้า, ประเด็นสถานการณ์ค้ามนุษย์ที่สหรัฐกล่าวอ้างในอุตสาหกรรมประมงของไทย, ค่าครองชีพและราคาสินค้าที่สูง รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
# กลุ่มที่ได้รับผลดีจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้น คือ กลุ่มที่พักอาศัย - หุ้นเด่น AP, SPALI,QH, SIRI, RML, LALIN เก็งกำไร BLAND, กลุ่มพาณิชย์ - หุ้นเด่น BIGC, ROBINS,HMPRO และกลุ่มเช่าซื้อ - หุ้นเด่น KTC, TISCO, TCAP
+ เดือนมิ.ย.เงินต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ของไทยสุทธิ 3.1 หมื่นล้านบาท ทำให้มีเงินไหลออกสุทธิ 3.9 หมื่นล้านบาทใน1H57
# สมาคมตราสารหนี้เปิดเผยว่าในเดือนมิ.ย.57 มีเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ของไทยสุทธิ 3.4 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น 5.8 หมื่นล้านบาทแต่มีตราสารครบกำหนด 3.4 หมื่นล้านบาท จึงซื้อสุทธิส่วนนี้ 2.4 หมื่นล้านบาท และมีการซื้อสุทธิตราสารหนี้ระยะยาวอีก 7 พันล้านบาท สำหรับยอด 6M57 ยอดไหลออกสุทธิของต่างชาติอยู่ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท และมียอดถือครองสะสม 6.7 แสนล้านบาท (ระยะสั้น 19% และระยะยาว 81%)# ปัจจัยหนุน คือ ผลตอบแทนตราสารหนี้ของไทยยังน่าสนใจ, การเก็งกำไรค่าเงินที่มีแนวโน้มว่าจะแข็งค่าขึ้นเมื่อ China Mobile International Holdings จ่ายเงินซื้อหุ้นTRUE สำหรับแนวโน้ม ทางสมาคมฯประเมินว่าจะยังมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ของไทยต่อ แต่อาจไม่มากเหมือนในเดือนมิ.ย.57 ที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829
[email protected]