- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 27 November 2015 17:59
- Hits: 3970
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'มีลุ้นเด้งจาก 1360-1350...แต่ถ้าไม่ถึง&ไม่ผ่าน 1380 ขายก่อน'
Stock Picks-Nov 2015 : Fundamental : CENTEL, CPN, STEC, SAMART, TCAP และ Dark Horse เป็น PREB, SC
Fundamental Pick -Today: TCAP (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, DCC, AP, QH, SPALI, MODERN, TCAP, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : TICON 58%, LH 29%, PTT 23%, DTAC 19%, THAI 15%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบ แต่มีลุ้นเด้งสั้น
Support Resistance Stop Loss
SET 1360-1350 1370-1380 ค่าลบ
SET50 870-860 880-890,900 ค่าลบ
Technical Picks- Today : KKP, CI, SIS, RATCH, BCH, BMCL, WICE, BECL
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : TOP (จากถือเป็น Fully Valued)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยร่วงแรง ปิดตลาด -15.65 จุดที่ 1365.81 โดยนักลงทุนสถาบันในประเทศนำขายสุทธิที่ 1.6 พันล้านบาท ส่วนต่างชาติขายสุทธิ 430 กว่าล้านบาท พอร์ตบล.และรายย่อยเข้ามาซื้อสุทธิจังหวะตลาดอ่อนตัวแรง
ในอีกมุมหนึ่งอาจมองว่าเมื่อดัชนีปรับลดลงมาก็กระตุ้นให้คนเข้าซื้อกองทุน LTF ในโค้งสุดท้ายของปีเพื่อนำไปลดหย่อนภาษี ส่วนปัจจัยที่จับตาในช่วงเดือนธ.ค.2015 คือ 1) ผลประชุม ECB 3 ธ.ค.2015 ซึ่งตลาดมีความหวังทางบวกเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม, 2) ผลประชุมเฟด 15-16 ธ.ค. ตลาดประเมินว่ามีโอกาสสูงที่เฟดจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ย, 3) ผลการประชุมกลุ่มโอเปกวันที่ 4 ธ.ค. โดยนักวิเคราะห์คาดว่าจะคงปริมาณการผลิตที่ 30 ล้านบาร์เรล/วัน หรือ 40% ของการผลิตทั่วโลก, 4) สถานการณ์การเมืองต่างประเทศ, 5) ผลประมูล 4G คลื่น 900 MHz ซึ่งกังวลว่าราคาใบอนุญาตจะอยู่ในระดับสุงมาก, 6) ผลประมูลโครงการรถไฟรางคู่ จิระ-ขอนแก่น ราคากลาง 2.3 หมื่นล้านบาท เป็นต้น ซึ่งหากผลออกมาเป็น Positive Surprise ตลาดหุ้นไทยก็มีโอกาสปรับขึ้นได้....แต่ปัจจัยเหล่านี้มีอาจน้ำหนักบวกเพียงชั่วคราว ถ้าปัจจัยพื้นฐานและ Valuation ของตลาดไม่รองรับก็จะทำให้ตลาดยืนอยู่ไม่ได้ในที่สุด ซึ่งประเด็นสำคัญที่จะทำให้ตลาดไทยอยู่ในระดับสูงได้ คือ EPS ตลาดปี 2016 ต้องเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งต้องฝากความหวังไว้กับราคาน้ำมันดิบ เพราะกำไร/ขาดทุนจากสต็อกของกลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมีมีผลต่อกำไรตลาดหุ้นไทยอย่างมาก หุ้นพื้นฐานแนะนำทยอยซื้อสะสมจังหวะราคาอ่อนตัววันนี้เป็น TCAP
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ การซื้อใหม่ตามด้วยค่าบวกเป็นหลักหรือที่แนวรับ 1360-1350, 1340 ส่วนการรีรบาวด์จะมีแนวต้าน1370-1380, 1390 จุด หุ้น SCAN ที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวกที่เข้ามาใหม่ เป็น CI, BMCL WICE ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้น คือ ASIMAR, BECL, ROBINS, VGI, BCH, EPG, TSR, VIBHA
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
ตลาดหุ้นสหรัฐและโภคภัณฑ์ : ปิดทำการเมื่อวานนี้ (26 พ.ย.) เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day)
- ญี่ปุ่น : ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค.ปรับตัว -0.1%YoY ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่ยังติดลบ ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นต้องเลื่อนระยะเวลาบรรลุอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 2% ออกไปเป็น 2H16 (ตามปีงบการเงินญี่ปุ่น) จากเดิมที่เป็น 1H16
อย่างไรก็ตาม การบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงคาดว่าทางการญี่ปุ่นจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับภาวะถดถอยทางเทคนิค เพราะการเติบโตของ GDP ติดลบต่อเนื่อง 2 ไตรมาสแล้ว คือ ใน 2Q15 และ 3Q15
+ ญี่ปุ่น : อัตราการว่างงานต.ค.ลดลงเป็น 3.1% จาก 3.4% ในเดือนก.ย.2015 ส่วนอัตราตำแหน่งงานที่ว่างยังคงอยู่ที่ 1.24 ซึ่งหมายถึงมีตำแหน่งงาน 124 ตำแหน่งสำหรับจำนวนคนหางานทำ 100 คน
+ เบลเยี่ยม : ศูนย์วิกฤตการณ์เบลเยียม (BCC) ประกาศลดระดับเตือนภัยก่อการร้ายลง 1 ขั้นแล้ว (จากขั้น 4 เป็น 3) โดยเจ้าหน้าที่เบลเยียมยังปฎิบัติการไล่ล่าผู้ก่อการร้ายที่โจมตีกรุงปารีส แต่ไม่มีการควบคุมผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติม ทางการจึงให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ตั้งแต่ 25 พ.ย.
- ตุรกี : รัสเซียจะตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับตุรกี หลังจากตุรกียิงเครื่องบินรัสเซียตก โดยจะตัดทั้งในด้านการค้าขายและการลงทุน ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าประเทศกลุ่มพันธมิตรชาติตะวันตกจะตอบโต้ตุรกีเช่นเดียวกับรัสเซียหรือไม่
Dollar Cash Index ทรงตัว : ล่าสุดดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทรงตัวอยู่ที่ 99.889 (เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอีก 6 สกุล) ส่วนเงินบาทไทยอ่อนค่าลงเล็กน้อย เช้าวันนี้เป็น 35.763 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้นักลงทุนรอดูผลประชุม ECB และประชุมเฟดในเดือนธ.ค.2015
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
/+ โครงการสินเชื่อซอฟท์โลน : ธนาคารออมสินได้เบิกจ่ายเงินกู้ให้สถาบันการเงิน 17 แห่งครบตามวงเงินในโครงการ 1 แสนล้านบาทแล้ว คาดว่าจะมี SME ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ 1 หมื่นราย คิดเป็นวงเงินปล่อยกู้เฉลี่ยรายละ 10 ล้านบาท ซึ่งทางธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ จะนำไปปล่อยกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ SME ต่อ...เราคาดว่าโครงการนี้จะทำให้ความเสี่ยงที่สินเชื่อ SME ขนาดเล็กและขนาดย่อมกลายเป็น NPL น้อยลง ประกอบกับถ้าเศรษฐกิจในปี 2016 ทยอยฟื้นตัว ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการและผู้บริโภคค่อยๆ ดีขึ้น ก็จะช่วยด้วยเช่นกัน
/+ สศค.ประเมินเศรษฐกิจไทย 4Q15 ขยายตัวได้ QoQ หนุนโดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นในระยะสั้นของรัฐบาลที่ได้ออกไป ทำให้มีโอกาสที่ GDP Growth ใน 4Q15 จะสูงกว่า 2.8% (โดยอาจจะถึง 3%) และโมเมนตัมยังดีต่อในปี 2016 โดยหลักมาจากแผนใช้จ่ายและลงทุนของภาครัฐ ซึ่งทางทีมเศรษฐกิจรัฐบาลผลักดันให้กระทรวงคมนาคมเร่งเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆให้แล้วเสร็จภายใน 1H16 จึงยังคงเชื่อว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ 3.8% ตามที่ประมาณการไว้
/- อุตสาหกรรมไก่ส่งออก : ทาง Finnwatch และ Swedwatch ซึ่งเป็นองค์กรเอ็นจีโอจากสแกนดิเนเวีย รายงานว่าทางกลุ่มได้พบว่าโรงงาน 6 แห่งในประเทศไทยที่การส่งออกเนื้อไก่ไปยังยุโรป ได้ละเมิดสิทธิของแรงงาน (เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจ้างงานในราคาแพง, ยึดเอกสารส่วนบุคคลของแรงงาน และมีการบังคับใช้แรงงาน)...เป็นปัจจัยจิตวิทยาทางลบต่อหุ้นไก่ในตลาด อย่างไรก็ตาม บริษัทจดทะเบียนในตลาดเช่น GFPT, CPF เคยยืนยันในช่วงที่ผ่านมาว่าทางบริษัทไม่มีการละเมิดสิทธิแรงงานทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าว ดังนั้นจึงคาดว่าข่าวนี้จะไม่มีผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท เรายังแนะนำซื้อลงทุนระยะยาวใน GFPT และถือ CPF
STPI (ราคาปิด 12.70 บาท) : รอผลประมูลงานใหม่ ซึ่งได้เสนอประมูลไปแล้วทั้งหมด 2.5 แสนล้านบาท ทั้งนี้ราคาก๊าซและน้ำมันที่ลดลงอย่างมากในช่วงเกือบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการสำรวจและผลิตก๊าซ & น้ำมันต้องทบทวนความเป็นไปได้ของโครงการลงทุน ทำให้การประมูลงานต้องเลื่อนออกไป รวมถึงคู่แข่งขันในจีนเสนอราคาประมูลต่ำเพราะราคาเหล็กลดลงมาก จึงมีการแข่งขันด้านราคาในกลุ่มผู้รับเหมาหลัก (EPC) มากขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2016 จะมีความชัดเจนมากขึ้น
สำหรับ ผลประกอบการของ STPI ในช่วง 9M15 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1.8 พันล้านบาท ทรงตัว YoY และคิดเป็น 82% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปีของเราที่ 2.2 พันล้านบาท (-15%YoY) ส่วนแนวโน้มปี 2016 คาดว่ากำไรสุทธิจะทรงตัวใกล้เคียงกับปีนี้ โดยบริษัทมีงานในมือ ณ สิ้นก.ย.2015 เท่ากับ 9,975 ล้านบาท จะรับรู้ใน 4Q15 ถึงสิ้น 4Q16 และคาดว่าบริษัทจะมีการรับงานขนาดเล็ก เช่น งานโครงสร้างเหล็ก งานท่อ ฯลฯ ในระหว่างปี 2016 เข้ามาในระหว่างรอสรุปงานใหม่ขนาดใหญ่ที่ได้ประมูลไปแล้ว
ในเชิงกลยุทธ์ เห็นว่าระยะสั้นหุ้นยังขาดปัจจัยกระตุ้น แต่ราคาหุ้นได้อ่อนลงมาในระดับที่มี Valuation ต่ำแล้ว ณ ราคาปัจจุบัน 12.70 บาท ซื้อขายที่ P/E ปี 2016 ที่ 9 เท่า EV/EBITDA 7 เท่า ฐานะการเงินเป็นเงินสดสุทธิ ด้าน ROE และ ROA ก็สูงมากที่ 22% และ 18% ตามลำดับ รวมทั้งมีลุ้นที่จะได้รับงานใหม่เข้ามาในปี 2016 แนะนำซื้อลงทุนระยะยาว โดยให้ราคาพื้นฐาน 15.80 บาท อิงกับ P/E ปี 2016 ที่ 11 เท่า ทั้งนี้ในประมาณการกำไรสุทธิใน 1-2 ปีข้างหน้า ได้สะท้อนสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเป็น 20-25% ซึ่งเป็นผลจากราคาก๊าซและน้ำมันที่ลดลงทำให้มีการต่อรองราคารับเหมางานมากขึ้นไปแล้ว ทั้งนี้ในช่วงที่ราคาน้ำมันสูงๆ อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ที่ 25-30% หรือสูงกว่า
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
ข่าวอุตสาหกรรมและหุ้นเด่น
TCAP (ราคาปิด 35.00 บาท, ราคาพื้นฐาน 42.00 บาท)
เตรียมทะยานในปี 2016
ฐานะทางการเงินแสดงด้วยงบดุลไม่อ่อนแออีกต่อไป ธนาคารปรับกลยุทธ์ไม่เน้นการเติบโต แต่หันมาเน้นปรับปรุงงบดุลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวและอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังไม่ดีนัก ณ สิ้น 3Q58 NPL ratio ลดลงเป็น 3.5% ด้าน Coverage ratio ปรับตัวดีขึ้นเป็น 109.8% และในปี 2016 ตั้งเป้า NPL ratio ลดลงเป็นต่ำกว่า 3% และ Coverage ratio ดียิ่งขึ้นไปอีก รวมทั้งทำให้พอร์ตสินเชื่อมีความเสถียรมากขึ้น
การใช้ Tax credit ที่มีอยู่ 30 พันล้านบาทจะช่วยเสริมกำไร (ตามอัตราภาษีเงินได้ที่ลดลง) และเป็นการเพิ่มฐานทุน ทั้งนี้ Tax credit เกิดจากการทำ Liquidate บริษัทย่อยคือ SCIB แล้วเสร็จใน 2Q15 ส่วนข้อดีอีกหนึ่งประการคือ อยู่ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่ต้นทุนทางการเงินที่น้อยลง จึงช่วยเพิ่มผลกำไรในปี 2015
มีการกระจายความเสี่ยงพอร์ตฟอลิโอด้านการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และมี Upside risk ในอนาคต หากอุตสาหกรรมยานยนต์กลับมาฟื้นตัว ทั้งนี้การจัดเก็บภาษีใหม่กับรถยนต์ที่จะทำให้ราคารถยนต์บางรุ่นปรับเพิ่มในปี 2016 จึงช่วยกระตุ้นให้มีอุปสงค์รถยนต์ดีขึ้นในงวด 4Q15 อีกทั้งราคารถมือสองก็จะปรับตัวดีขึ้น เราคาดว่าปัจจัยนี้จะช่วยกระตุ้นให้อุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นตัวเร็วขึ้น
แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 42.00 บาท ประเมินด้วย Gordon Model ที่เทียบเท่ากับ P/BV ปี 2016 ที่ระดับ 0.85 เท่า
Thaninee SATIRAREUNGCHAI, CFA , +662 657 7837
[email protected]
# Turnover List Watch: คาดยังไม่มีหลักทรัพย์ใดเข้าเกณฑ์ติด Cash Balance อาทิตย์หน้า
คาดว่ายังไม่มีหลักทรัพย์ใดเข้าเกณฑ์ติด Cash Balance 6 สัปดาห์สำหรับอาทิตย์หน้า
ด้านหลักทรัพย์ที่หมดอายุใช้ cash balance ระดับที่ 1 วันศุกร์ 27 พ.ย.58 คือ GUNKUL-W, TAKUNI และ THE อาจมีการเก็งกำไรล่วงหน้าแต่ต้องติดตามว่าตลาดฯจะขยายเวลาการใช้ Cash Balance ต่อหรือไม่
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา
[email protected]
#WHA: ราคาหุ้นลง ทั้งๆที่ HEMRAJ มีข่าวดีมากๆ
วานนี้ผู้บริหารระดับสูง WHA ได้ให้สัมภาษณ์ว่าในไตรมาส 4/58 บริษัทคาดว่าจะโอนที่ดินราว 600 ไร่ ซึ่งรวมถึงที่ดินของบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์แบรนด์อังกฤษ MG ที่ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินกับบริษัทวานนี้จำนวน 437.5 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมการเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด 2 จ.ชลบุรี มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะโอนที่ดินในปีนี้ทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีลูกค้าของบริษัทที่คาดสรุปดีลและโอนที่ดินภายในช่วงที่เหลือของปีนี้อีกราว 200 ไร่ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3-4 ล้านบาท/ไร่ ซึ่งจะทำให้ปีนี้บริษัทสามารถทำยอดขายที่ดินได้ 1,100 ไร่ ตามเป้าหมาย
ผลกระทบ: ถือว่าปีนี้ HEMRAJ ทำยอดขายนิคมฯได้โดดเด่นกว่าอุตสาหกรรม จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ทำให้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศลดลงมาก ประการสำคัญคือ การขายในช่วง 4Q58 บริษัทคาดว่าจะรับรู้รายได้ทันปีนี้ด้วย แสดงว่าลูกค้ามาซื้อในพื้นที่ที่ก่อสร้างสาธารณูปโภคแล้วเสร็จจึงโอนทัน จึงคาดว่า 4Q58 จะมีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวสูงเทียบกับ q-o-q ที่เป็นขาดทุนสุทธิ 53 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทจึงคาดว่ารายได้ปีนี้เป็น 11 พันล้านบาท เทียบกับของเราที่ 8.6 พันล้านบาท
ราคาหุ้นปรับลงแรงส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากข่าวที่ตลาดฯกังวลว่าอาจจะมีการเลิกราของผู้บริหารระดับสูงและผู้ถือหุ้นใหญ่คือ คุณหมอสมยศ และนางสาวจรีพร จากเดิมคุณหมอสมยศ อนันตประยูร มีภรรยาคือ นางจรีพร อนันตประยูร ซึ่งช่วยผลักดันจนธุรกิจรุ่งเรือง สามารถเพิ่มสินทรัพย์ได้อย่างรวดเร็ว จนซื้อหุ้น HEMRAJ ได้สำเร็จ แต่ต่อมาภายหลังภรรยาเปลี่ยนใช้ชื่อเป็นนางสาว จรีพร จารุกรสกุล จึงทำให้มีข่าวว่าอาจมีการเลิกรากัน ตลาดจึงกังวลว่าแล้วต่อไปการบริหารจะมีปัญหาหรือไม่ เมื่อปลายสัปดาห์ก่อนมีแรงขายหุ้นจนหลุด 3 บาท เพราะกังวลว่ามีการขายหุ้นเพื่อแบ่งแยกทรัพย์สิน จนมีข่าวว่าทั้งคู่กลับมาซื้อหุ้น WHA จำนวนมาก เพื่อสยบข่าวลือ แต่ปัจจุบันยังไม่มีข่าวยืนยันว่าได้มีการเลิกรากันจริงหรือไม่
คำแนะนำ: แต่เรื่องข้างต้นไม่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน และเชื่อว่าผู้บริหารมีความเป็นมืออาชีพพอ จึงแนะนำให้ทยอยสะสม เพราะแนวโน้มมีการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานที่ดีมมาก ให้ราคาพื้นฐานเป็น 3.63 บาท ปัจจุบันคุณหมอถือหุ้น 12.1% คุณจรีพรถือหุ้น 12.9% ใน WHA ด้านตำแหน่งบริหาร คุณหมอเป็น Chairman, ส่วนคุณจรีพรเป็น CEO ของ WHA
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา
[email protected]