- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 27 November 2015 17:20
- Hits: 839
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Selective Buy
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ปรับฐานลงแรง นำโดยกลุ่ม ICT ตามมาด้วยแรงขายหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มพลังงาน กดดัน SET INDEX หลุดแนว 1,370 จุด ลงมาปิดที่ 1,365.81 จุด ลบมากถึง 15.65 จุด หรือ 1.13% ด้วยมูลค่าการซื้อขายเพียง 33,677 ล้านบาท เนื่องด้วยความกังวลต่อค่าเงินบาทอ่อนค่ากว่า 10 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐฯ ระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย
ทั้งนี้ต่างชาติคงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 3 เพียง 396 ล้านบาท กลับมา Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการเพียง 1,723 สัญญา แต่คงการซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 5 อีก 974 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดทำการเพียงครึ่งวัน
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า
การปรับดัชนี MSCI ณ ราคาปิดวันที่ 30 พ.ย.
ติดตามรายงานเศรษฐกิจเดือนต.ค.ของไทย โดยธปท. วันที่ 30 พ.ย. คาดหวังการบริโภคฟื้นตัวต่อเนื่อง
ติดตามรายงาน Beige Book วันที่ 2 ธ.ค. เพื่อประเมินโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 15-16 ธ.ค.
และการประชุม ECB วันที่ 3 ธ.ค. ถือว่าเป็นไฮไลท์ของสัปดาห์หน้า ตลาดคาดหวังการเพิ่มวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ จากปัจจุบัน 6.0 หมื่นล้านยูโร/เดือน
มุมมองต่อตลาด
เราคงมุมมองการลงทุนเป็น "กลาง" วันที่ 9 แม้ว่าแนวโน้ม SET INDEX จะยังอ่อนแรงลงสู่แนวรับ 1,350-1,360 จุด เพราะเป็นการซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์ ความกังวลต่อความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย และตุรกี และการปรับดัชนี MSCI ในวันจันทร์ อาจมีกระทบต่อหุ้นหลัก หลัง MSCI เพิ่มจำนวนหุ้นในจีนเข้าคำนวณในรอบนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้แรงรับหุ้นหลักที่ปรับฐานลงมาช่วงนี้ ขาดแรงซื้อกลับเช่นกัน อีกทั้งมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางกลายเป็นตัวแปรที่สร้างความผันผวนและเปราะบางในภาพรวม
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า เราให้ติดตามการปรับดัชนี MSCI ในช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 30 พ.ย. เพราะเป็นสิ่งที่นักลงทุนสถาบันภายในประเทศกังวลต่อการปรับในรอบนี้ หลัง MSCI มีการเพิ่มหุ้นจีนเข้าคำนวณเป็นจำนวนมาก อาจทำให้ต้องลดน้ำหนักตลาดหุ้นเกิดใหม่อื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นไทย แต่หากราคาหุ้นหลักปรับฐานลงจากกรณีดังกล่าว ก็กลายเป็นโอกาสของการเข้าสะสมเช่นกัน เพราะเป็นผลกระทบเพียง One Time เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเหล่านั้น
ส่วนปัจจัยต่างประเทศ เราให้น้ำหนักกับการประชุม ECB ค่ำวันที่ 3 ธ.ค.นี้ หากเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ ด้วยการเพิ่มปริมาณเงินผ่านการเข้าซื้อสินทรัพย์มากขึ้น จากปัจจุบัน 6.0 หมื่นล้านยูโร/เดือน ส่งผลให้แนวโน้มค่าเงินยูโรอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นปัจจัยที่สร้างโอกาสของการ Euro Carry Trade ตามมา เงินทุนอาจไหลเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นเกิดใหม่บางส่วนในช่วงสั้น จนกว่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนของการประชุมเฟดในวันที่ 16 ธ.ค.
ดังนั้น หาก SET INDEX เกิดการย่อตัวลงสู่แนว 1,350-1,360 จุดระหว่างชั่วโมงการซื้อขายวันนี้ กลายเป็นโอกาสของการเข้าซื้อเก็งกำไรรอบสั้น เพราะระดับดังกล่าวน่าจะสะท้อนความกังวลต่อการปรับดัชนี MSCI ที่จะเกิดขึ้นในช่วงบ่ายวันจันทร์ไปแล้ว พร้อมประเมินกรอบแกว่งระหว่างวัน 1,350/60 - 1,370/75 จุด ในวันนี้
กลยุทธ์การลงทุน
ดังนั้น เราแนะนำ "นักลงทุนถือพอร์ตหุ้นระยะสั้น และอาจเข้าเก็งกำไรเพิ่มเติม หาก SET INDEX ย่อตัวลงต่อในวันนี้"
Top Pick in 4Q15: BMCL / ITD/ TMB/ TPIPL
HOLD: ITD / TPIPL/ WHA/ IFEC/ INTUCH/ KTB/ BMCL
Accumulative buy: BECL
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "ทยอยสะสม" ได้แก่
BECL : ราคาปิด 40.50 บาท ราคาเหมาะสม 55.98 บาท*** (อิงราคาเหมาะสมของ BMCL ที่ 2.72 บาท และเทียบกลับเป็นราคาเหมาะสมของ BECL)
ราคาปิด BECL วานนี้ มี Discount จาก Swap Ratio อยู่ราว 2.6% เมื่อเทียบกับราคาปิด BMCL ที่ 2.02 บาท จะเทียบเท่าราคา BECL ที่ 41.57 บาท จึงเป็นโอกาสสะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นหุ้น BEM
BMCL - BECL อยู่ระหว่าง Roadshow กับเราในสัปดาห์นี้ เพื่อให้ข้อมูลกับกองทุนต่างชาติที่ประเทศฮ่องกง - สิงคโปร์ - มาเลเซีย และผลตอบรับของกองทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านเป็นบวกมากต่อบริษัทใหม่จากการควบรวมคือ BEM
เนื่องจาก BEM จะเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มขนส่ง จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพราะเป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดมั่นคง, เติบโตต่อเนื่อง และมีโอกาสในการขยายธุรกิจได้อีกมาก ทั้งทางด่วน, รถไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมากตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
มีปัจจัยบวกที่ชัดเจนรออยู่ในปี 2559 ได้แก่ 1.การเปิดให้บริการทางด่วนสายศรีรัช - วงแหวนตะวันตก และ 2.การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณผู้ใช้บริการได้อย่างมีนัยสำคัญฯ
คาดว่าการควบรวมกิจการจะได้รับความเห็นชอบจากครม.ภายในวันที่ 8 ธ.ค. หลังได้ผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดแล้ว ขณะที่ขั้นตอนการควบรวมจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2558 และเริ่มการซื้อขาย "BEM" ในช่วงต้นปี 2559
คงมุมมองบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทใหม่หลังการควบรวม คือ BEM ซึ่งมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และด้วยขนาดของ Market Cap ที่ระดับ 6-7 หมื่นล้านบาท เชื่อว่ามีโอกาสที่จะถูกเพิ่มเข้าสู่ดัชนี SET50 และ MSCI ได้ในปีหน้า
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ตลาดหุ้นเอเชีย กลับมาซื้อสุทธิ US$388 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$230 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติชะลอการลงทุนในไทยต่อเนื่อง
นักลงทุนต่างชาติคงการขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 3 เพียง 396 ล้านบาท รวม 3 วันทำการ ขายสุทธิ 2,245 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,223 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงขายสุทธิสูงกว่า 1.1 แสนล้านบาท เป็น 118,827 ล้านบาท
SET50 Index Futures นักลงทุนต่างชาติกลับมา Short สุทธิเป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการ 1,723 สัญญา เทียบกับ 6 วันทำการก่อนหน้า Long สุทธิ 13,479 สัญญา คาดว่าจะเป็นการปิดสถานะ Long อีกครั้ง หลัง SET50 Index และ S50Z15 หลุดแนว 880 จุด ส่งผลให้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิลดลงเป็น 45,045 สัญญา เมื่อ S50Z15 ปิดต่ำกว่า 900 จุด เป็นวันที่ 14 โดย S50Z15 ปิดต่ำกว่า SET50 Index เป็นวันที่ 17 กว้างขึ้นเป็น 1.82 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เพียง 0.05bps ทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Short สุทธิเป็นวันที่ 12 ขยับขึ้นเป็น 15,682 สัญญา
แต่ตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5 อีกเล็กน้อย 974 ล้านบาท รวม 5 วันทำการซื้อสุทธิ 16,720 ล้านบาท เทียบกับ 9 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 26,419 ล้านบาท เมื่อราคาพันธบัตรไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงเป็นวันที่ 3 มากถึง 4.62bps จากวันก่อนหน้าลดลง 4.09bps ปิดที่ 2.702%
Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling ขยับขึ้นเป็น 968 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 703 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5 คงเน้นกลุ่มธนาคารต่อเนื่อง
การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิอีก 581 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 628 ล้านบาท รวม 5 วันทำการ ซื้อสุทธิ 5,040 ล้านบาท โดยคงเน้นกลุ่มธนาคารต่อเนื่อง สรุปได้ดังต่อไปนี้
1. กลุ่มธนาคาร ซื้อสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 3 อีก 321 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 407 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มค้าปลีก ซื้อสุทธิ 85 ล้านบาท กลุ่มไฟแนนซ์ ซื้อสุทธิ 78 ล้านบาท และกลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิ 71 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 114 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่ม ICT ขายสุทธิสูงสุด แต่ก็เพียง 73 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ไม่มี
ยุโรป
ไม่มี
จีน
CS ได้รับการอนุมัติเปิดโบรกเกอร์ในเขตเศรษฐกิจของจีน: Credit Suisse Group AG ร่วมกับพันธมิตรจีน ได้รับการอนุมัติการในให้บริการธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก ในเขตเศรษฐกิจ Qianhai ทางตอนใต้ของเมืองเซินเจิน โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในต้นปีหน้า
เอเชียแปซิฟิก
เศรษฐกิจฟิลิปปินส์เติบโตต่ำกว่าคาด: 3Q58 เติบโต 6.0% yoy ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาดที่ 6.3% yoy แต่ดีขึ้นจาก 2Q58 ที่เติบโต 5.8% yoy ทั้งนี้รัฐบาลฟิลิปปินส์คาดเศรษฐกิจใน 4Q58 จะขยายตัว 6.9% yoy จากการเร่งใช้จ่ายของภาครัฐ กับโครงการพื้นฐาน
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสิงคโปร์หดตัวใกล้เคียงคาด: ลดลง 5.4% yoy ในเดือน ต.ค. เทียบกับ Bloomberg Consensus คาดลดลง 5.3% yoy เป็นการเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ลดลง 4.7% yoy แต่เป็นการขยายตัว 2.5% mom ดีกว่าที่ตลาดคาด +2.0% mom ทั้งนี้เวชภัณฑ์ลดลง 10.8% yoy แต่ปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น 4.0% yoy
ไทย
สศค.คาด GDP ปีนี้โต 2.8-3.0%: ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาได้รับแรงส่งที่ดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ประมาณ 40,000 ล้านบาท แต่มูลค่าการส่งออกยังติดลบร้อยละ 8.1 ทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4ขยายตัวดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ 3 ที่ขยายตัว 2.9% ถือว่าเป็นการเติบโตดีที่สุดในรอบปีนี้ อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 2.8% ตามที่คาดการณ์ไว้ แต่หากทุกอย่างเป็นไปตามคาดและไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบ จะสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3% ได้แม้ว่าการส่งออกจะติดลบ 5.4% ก็ตาม เนื่องจากการลงทุนภาครัฐจะลงสู่ระบบมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่ และการลงทุนภาคเอกชนที่มีความเชื่อมั่นและลงทุนตามมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจในปีหน้า ยังยืนยันขยายตัว 3.8% จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้นกว่าปีนี้
คลังตั้งเป้าปี 59 ทุ่ม 1.6 ล้านล้าน ลงทุนโครงการยักษ์: รมว.การคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 5 ว่า มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 3.8% เนื่องจากพื้นฐานของเศรษฐกิจดีขึ้นกว่าปีนี้มาก โดยเฉพาะการขับเคลื่อนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญ โดยแหล่งเงินจะมาจากงบประมาณ โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พีพีพี) และกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ (กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) คาดภายในสิ้นปี 2558 ส่วนราชการจะสามารถลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างได้จำนวน 6 โครงการ คิดเป็นวงเงินลงทุน 1.8 แสนล้านบาท และในปีหน้าอีก 20 โครงการ คิดเป็นวงเงินลงทุน 1.6 ล้านล้านบาท และจะสามารถผลักดันเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปี 2559 ได้ประมาณ 1.3-1.4 แสนล้านบาท และปี 2560 อีก 3 แสนล้านบาท ขณะที่ปี 2561 อยู่ที่ 4 แสนล้านบาท โดยเม็ดเงินในส่วนนี้จะถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชนให้มีการลงทุนเพิ่มมากขึ้นด้วย
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530