WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

'แกว่งรอข่าวใหม่...ไม่หลุด 1380 ยังลุ้นถือต่อได้'

Stock Picks-Nov 2015 : Fundamental : CENTEL, CPN, STEC, SAMART, TCAP และ Dark Horse เป็น PREB, SC

Fundamental Pick -Today: LPN (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมด้านใน)

Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, DCC, AP, QH, SPALI, MODERN, TCAP, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF

Shot Sell-Prev : AIT 49%, THCOM 35%, PTT 13%

Technical View ภาพตลาดเป็นบวกไม่มาก
Support Resistance Stop Loss
SET ซื้อค่าบวก 1400,1410-20 ต่ำกว่า 1380
SET50 ซื้อค่าบวก 900,910-20 ต่ำกว่า 885
Technical Picks- Today : IRPC, BBL, LPN, FORTH, CPF, FSMART, ASEFA, APCS

หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
       ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เจ้าหน้าที่เฟดระดับสูงส่งสัญญาณการเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอย่างต่อเนื่อง (ล่าสุดเป็นประธานเฟด สาขาซานฟรานซิสโก) และทิศทางนโยบายการเงินสหรัฐที่สวนทางกับประเทศอื่นๆ ทำให้เงิน US$ อยู่ในทิศทางที่แข็งค่า ซึ่งเป็นลบกับราคาทองคำและโภคภัณฑ์อื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่ที่จะมีค่าเงินอ่อนลงเมื่อเทียบกับ US$ อย่างไรก็ดี ตลาดมีปัจจัยกระตุ้นทางบวกจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของธนาคารกลางจีน, ธนาคารกลางญี่ปุ่น และ ECB ที่จะเข้ามาช่วยพยุงหรือหนุนตลาดเป็นระยะ
      สำหรับ ระยะสั้นมาก ควรระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไรระยะสั้น ทั้งนี้เมื่อวานตลาดหุ้นไทยปิดทรงตัวที่ 1394.22 ทั้งนี้ดัชนีขึ้นไปทดสอบที่ 1401 แล้วยืนเหนือ 1400 ไม่ได้ แต่ยังไม่หลุดแนวฟิวเตอร์ที่ 1388 จึงให้น้ำหนักเป็นกลาง แต่ถ้าหลุด SMA10 ก็จะมีน้ำหนักลบเพิ่มขึ้น ควรลดพอร์ตตาม โดยเฉพาะพอร์ตที่มีหุ้นมากและมีเงินสดเหลืออยู่น้อย กลยุทธ์การลงทุน : เน้นเลือกซื้อเป็นรายบริษัทต่อไป สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น LPN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ การซื้อใหม่ตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1400, 1410-1420 จุด ค่าลบดูไม่ค่อยดี ดัชนีต่ำกว่า 1380 จุด แนะนำให้ลดพอร์ต เพราะมีสิทธิลงไปที่ 1360-1350 จุดได้ หุ้น SCAN ที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวกที่เข้ามาใหม่ เป็น FSMART, ROBINS, VGI ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้น คือ THANI, CPF, ASIMAR, BECL, VIBHA, HFT

Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ ยูโรโซน : ดัชนี PMI ภาคการผลิต & บริการเบื้องต้นเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้นเป็น 54.4 จาก 53.9 ในเดือนต.ค.2015 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 54 เดือน โดย PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเพิ่มเป็น 52.8 สูงสุดในรอบ 19 เดือน จาก 52.3 ในเดือนก่อนหน้า และ PMI ภาคบริการเบื้องต้นปรับขึ้นเป็น 54.6 สูงสุดในรอบ 54 เดือน
- สหรัฐ : ยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค.ร่วงลง 3.4%MoM สู่ระดับ 5.36 ล้านยูนิต ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 5.4 ล้านยูนิต
- สหรัฐ : มาร์กิตเผยดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ย.ลดลงเป็น 52.6 จาก 54.1 ในเดือนก่อนหน้า บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐขยายตัวน้อยลงในเดือนพ.ย.2015 และต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
- ตลาดหุ้นสหรัฐอ่อนตัวลง โดยดัชนี DJIA ปิด -31.13 จุด (+0.17%) นำโดยการลดลงของหุ้นไฟเซอร์ อิงค์ บริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่สหรัฐ เพราะมีข่าวว่าไฟเซอร์ทุ่มเงินมากถึง 1.60 แสนล้านดอลลาร์เพื่อควบรวมกิจการกับอัลเลอร์แกน พีแอลซี ผู้ผลิตโบท็อกซ์ของไอร์แลนด์เพื่อเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่การควบรวมครั้งนี้ถูกนางคลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวหาว่าเป็นเรื่องของการหลบเลี่ยงภาษี นอกจากนั้นตลาดยังได้รับผลกระทบจากการลดลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการที่ตัวเลขภาคที่อยู่อาศัยอ่อนแอกว่าคาด
/- สัญญาน้ำมันดิบแกว่งแคบและอ่อนแอ โดยสัญญา WTI และ BRENT ส่งมอบธ.ค.ปิด -0.15 และ +0.17 ดอลลาร์ที่ 41.75 และ 44.83 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยการแข็งค่าของเงิน US$ เป็นปัจจัยหนึ่งที่กดดันราคาน้ำมันดิบในช่วงสั้น นอกจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องอุปทานสูง และภาคการผลิตของสหรัฐเติบโตน้อยลงในรอบ 2 ปีในเดือนพ.ย.2015
- ราคาทองคำร่วงแรง สัญญาตลาด COMEX ส่งมอบธ.ค.ลดลง 9.5 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,066.80 ดอลลาร์/ออนซ์ เพราะเจ้าหน้าที่เฟดระดับสูงส่งสัญญาณการเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอย่างต่อเนื่อง และทิศทางนโยบายการเงินสหรัฐที่สวนทางกับประเทศอื่นๆ ทำให้เงินดอลลาร์อยู่ในทิศทางที่แข็งค่า ซึ่งเป็นลบกับราคาทองคำและโภคภัณฑ์อื่นๆ

ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
     SMG : ผู้ถือหุ้นใหญ่ประกาศทำเทนเดอร์ฯที่ราคา 31.50 บาท เพื่อเพิกถอนจากการเป็นบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัทเอกทรัพย์ศิริ ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 94.12% ทั้งนี้จะแจ้งระยะเวลาในการทำคำเสนอซื้อต่อไป
      IFEC : 24 พ.ย.2015 ลงนามซื้อหุ้น 30% ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 33 MW บนเกาะเจจู ประเทศเกาหลีใต้ โดยมีพันธมิตรคือ บริษัท ฮันชิน เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น ผู้ดำเนินการผลิตไฟฟ้าหลายแห่งในเกาหลีใต้
/- STEC : งานก่อสร้างอาคารรัฐสภาล่าช้า ล่าสุดประเมินว่าอาจจะไปแล้วเสร็จในปี 2018 เลย (จากแผนเดิมที่จะครบกำหนดสัญญาว่าจ้างในวันที่ 24 พ.ย.2015) โดยทางรัฐบาลโดยเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏรได้ลงนามกับทาง STEC ขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไป 387 วัน ทางที่ปรึกษาบริหารโครงการฯ กล่าวว่าขณะนี้การก่อสร้างเพิ่งคืบหน้าไปได้เพียง 15% และอาจต้องขยายระยะเวลาก่อสร้างอาคารรัฐสภาให้กับ STEC ออกไปอีกเมื่อพิจารณาจากกระบวนการส่งมอบพื้นที่ของทางราชการที่เกี่ยวข้อง (เช่น โรงเรียนโยธินบูรณะ, ห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ดุสิต, บ้านพักชุมชนทอผ้า และหน่วยงานอื่นๆ) แต่ยังไม่สามารถระบุเวลาที่ชัดเจนได้ แต่คาดว่าการก่อสร้างน่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2018 ส่วนประเด็นการเรียกร้องค่าเสียหาย ทางประธานสนช.กล่าวว่า เมื่อ 2 ฝ่ายยินยอมให้มีการขยายสัญญาก่อสร้างออกไป ก็คงไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ
     ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : เรามองว่าโครงการรัฐสภามีความท้าทายต่อ STEC อย่างมาก โดยอาจทำให้บริษัทจะต้องตั้งสำรองผลขาดทุนจาก Cost Overrun ของโครงการนี้เพิ่มขึ้น (หลังจากตั้งสำรองฯไปแล้ว 579 ล้านบาทจนถึงสิ้น 3Q15) และระยะเวลาในการรับรู้รายได้ยืดออกไปนานกว่าคาด นอกจากนั้นการจะได้รับค่าชดเชยผลขาดทุนก็ยังไม่ชัดเจน ระยะสั้นโครงการก่อสร้างรัฐสภาอาจจะกดดันราคาหุ้นอยู่ อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทได้งานโครงการใหม่ที่มีมาร์จิ้นดีเข้ามา Blend ได้เร็วก็จะช่วยลดผลกระทบลง
     SPRC : บริษัทเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 1,735.31 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 9 บาท โดยเปิดให้รายย่อยจองซื้อผ่านธนาคาร 4 แห่ง (BBL, KTB, KBANK, SCB) ในวันที่ 23-25 พ.ย.2015 หลังจากนั้นจะเข้าสู่ระบบจัดสรรหุ้นด้วยวิธีสุ่มคัดเลือก ทราบผลการจองซื้อ 1 ธ.ค.2015 คาดเข้าซื้อขายวันแรก 8 ธ.ค.2015 ทั้งนี้ PTT นำหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดมาขายใน IPO ครั้งนี้ ซึ่ง PTT จะได้เงินจากการขายราว 1.2 หมื่นล้านบาท
      ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : ธุรกิจโรงกลั่นในระยะสั้นอาจยังไม่สดใสมากนัก เพราะมีความเสี่ยงที่ผลประกอบการ 4Q15 จะถูกกดดันจากผลขาดทุนสต็อกต่อหลังราคาน้ำมันดิบร่วงลงมาเกือบ 9%QTD นอกจากนั้นประเมินว่าค่าการกลั่น (GRM) ที่ไม่รวมผลขาดทุนในสต็อกของโรงกลั่นที่ระดับ 9.95 US$/bbl ในช่วง 9M15 จะเป็น Peak แล้ว หลังจากนี้มีแนวโน้มอ่อนลงเพราะ 1) กำลังการผลิตโรงกลั่นน้ำมันเบนซินเข้ามาเพิ่ม ทำให้ค่าการกลั่นในส่วนนี้จะต่ำลงจากช่วงที่ผ่านมา ซึ่งใช้กำลังการผลิตสูงมากเนื่องจากราคาน้ำมันลดลงคนจึงใช้น้ำมันเบนซินในการขับขี่มากขึ้น, 2) ค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลยังต่ำต่อเนื่อง จากภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวช้า และ 3) PTT จะยกเลิกการซื้อผลิตภัณฑ์บางอย่างจาก SPRC ที่เคยซื้อในราคาสูงกว่าตลาดในช่วงที่ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 36% แต่หลังทำ IPO แล้ว PTT ไม่ได้ถือหุ้นอีกจึงไม่จำเป็นต้องซื้อแพง ในเบื้องต้นนักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มพลังงานของ DBSV มองว่าที่ราคา IPO ของ SPRC 9 บาท ให้ Upside ไม่มาก
      PTTEP : สัมปทานทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 จะเข้าพิจารณาในครม.ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ซึ่งคาดว่าครม.จะไฟเขียวให้ผ่าน และน่าจะเปิดสำรวจสัมปทานได้ภายในปี 2016 ผู้ประกอบการที่เป็นตัวเต็งและคาดว่าจะได้รับสัมปทานรอบที่ 21 นี้ คือ PTTEP อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ของโครงการนี้ก่อนว่าจะเป็นเท่าไร ในยามที่ราคาน้ำมันดิบลดลงมามากและคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected] & Thailand Research Team

ข่าวอุตสาหกรรมและหุ้นเด่น

# LPN (ราคาปิด 17.9 บาท)
     แม้ว่าบริษัทจะผ่านพ้นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 2015 ไปแล้วใน 3Q15 ที่รายงานกำไรสุทธิออกมาสูงถึง 1 พันล้านบาท (+80%YoY และ +23%QoQ) และกำไรใน 4Q15 จะอ่อนลงทั้ง YoY และ QoQ อันเนื่องจากการโอนคอนโดน้อยลง (เหลือเพียง 1 แห่ง)
      แต่...ผลประกอบการจะพลิกฟื้นและเติบโตมากอีกครั้งใน 1Q16 ที่จะมีคอนโดที่โอนได้ถึง 3 โครงการ และเป็นช่วงที่มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลยังมีผลบังคับใช้ จึงคาดว่าผู้บริโภคจะเร่งโอนจำนวนมากใน 1Q16 ทั้งนี้ ณ สิ้นก.ย.58 บริษัทมี Backlog ทั้งหมด 1.44 หมื่นล้านบาท
แนวโน้มปี 2016 ไปได้ดี โดยบริษัทเร่งเปิดขายโครงการใหม่มากขึ้นหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยใน 4Q15 หลังจากชะลอการเปิดโครงการใหม่ใน 3Q15 เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้อยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งเรามองว่าเป็นเรื่องดีที่บริษัทดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง โดยไม่แบกสต็อกสินค้ามากจนเกินไป
ความสามารถในการทำกำไรแข็งแกร่งและอยู่ในระดับชั้นนำของกลุ่ม LPN เป็นบริษัทที่บริษัทต้นทุนและค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้ดี และมีหนี้สินต่ำ ทำให้ทำกำไรได้สูง อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของบริษัทอยู่ในระดับ 15.4-16.4% มาต่อเนื่องแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
Valuation จูงใจและจ่ายปันผลสูง ณ ราคาปัจจุบัน ซื้อขายที่ P/E ปี 2015-2016 ที่ 9.7 เท่าและ 9.0 เท่า ตามลำดับ คาดการณ์ Dividend Yield ของปี 2015 เท่ากับ 5% และปีหน้า 5.5% สำหรับราคาเป้าหมายทางปัจจัยพื้นฐานปี 2016 อยู่ที่ 20 บาท ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของ IAA Consensus ที่ 20.17 บาท
     การวิเคราะห์ทางเทคนิค แนะนำซื้อซื้อตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้น โดยมีแนวต้านระยะสั้น 18.50-19 บาท แนวตัดขาดทุนคือต่ำกว่า 17.50 บาท

นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
[email protected]

#ERW หุ้นที่ยัง Laggard ในกลุ่มโรงแรม แนวโน้มธุรกิจฟื้นตัวดีมาก
      หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมปรับตัวขึ้นสดใส สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยคึกคัก หลังไม่มีเหตุการณ์ก่อความไม่สงบเกิดขึ้นอีก จากการสำรวจพบว่าตั้งแต่เพียงต้นเดือน พ.ย.58-ปัจจุบัน CENTEL +19%, MINT +16% แต่ ERW +10% จึงอาจกล่าวได้ว่า ERW เป็น Laggard ในกลุ่มโรงแรมที่น่าสนใจ


     อีกทั้ง ERW ก็น่าสนใจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นั่นคือ คาดการณ์กำไร 4Q58 จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 98 ล้านบาท เมื่อเข้าสู่ High Season เทียบกับ 3Q58 (q-o-q) ที่เป็น -20 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากการลอบวางระเบิดที่แยกเอราวัณ และสูงกว่าเทียบกับ y-o-y ที่เป็นกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท ทำให้ทั้งปี 58 พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 193 ล้านบาท เทียบกับปี 57 ที่เป็นขาดทุนสุทธิ 112 ล้านบาท ส่วนปี 59 คาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นได้อีก 55% เป็น 300 ล้านบาท


       ตัวเลขอัตราการเข้าเช่า (OR) และรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPar) ใน 4Q58 ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และแผนการขยายธุรกิจในกลุ่มก็ยังคงเป็นไปตามแผนคือ ครึ่งปีหลังเปิด Hop Inn Hotel อีก 5 แห่ง ซึ่งจำนวนห้องเป็น 395 ห้อง ด้านโรงแรมที่พิษณุโลกได้เปิดแล้วตามกำหนดคือ 3Q58 ส่วนการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ที่จังหวัดสุราษฏ์ธานี ตรัง นครศรีธรรมราช และกระบี่จะเกิดขึ้นในงวด 4Q58


คำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ด้วยราคาพื้นฐานที่ 4.90 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF (wacc 8.2%, terminal growth 2.5%) ราคาปิดยังมีส่วนเพิ่มได้อีก 12% ซึ่งสูงกว่า MINT และ CENTEL อันมีราคาพื้นฐาน (Upside) เป็น 35.50 บาท (+4%) และ 46.00 บาท (+2%) ตามลำดับ นอกจากนี้หากในอนาคต ERW ขายสินทรัพย์เพิ่มเข้าไปใน REIT ก็จะเป็นแรงกระตุ้น (Catalyst) ราคาหุ้นได้อีก ส่วนความเสี่ยงคือ ฐานธุรกิจโรงแรมมีอยู่ในประเทศไทย มีการกระจายไปต่างประเทศน้อย แต่ดีในช่วงนี้ที่การเดินทางท่องเที่ยวของไทยกำลังสดใส

นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!