- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 17 November 2015 17:50
- Hits: 1490
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อตามค่าบวก'
Stock Picks-Nov 2015 : Fundamental : CENTEL, CPN, STEC, SAMART, TCAP และ Dark Horse เป็น PREB, SC
Fundamental Pick -Today: GL (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : M 42%, RATCH & GLOW 23%, BBL 22%, DELTA & TTW 21%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ
Support Resistance Stop Loss
SET 1360-1350 1395-1400 ค่าลบ
SET50 870-860 900-910 ค่าลบ
Technical Picks- Today : IRPC, CPN, EPG, GPSC, FSMART, MODERN, CENTEL, TSR
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ROJNA (จากถือเป็น Fully Valued)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยสามารถปิดบวกได้ แม้ว่าในช่วงแรกจะอ่อนตัวหลังมีเหตุการณ์ก่อการร้ายในฝรั่งเศสเมื่อวันเสาร์ที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ปิดตลาด SET ปรับขึ้น 6.16 จุดปิดที่ 1388.62 เพราะประเมินว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจำกัด ส่วนกำไรบจ.ใน 3Q15 ออกมาแย่กว่าคาด ตลาดกำลัง Realized แต่น่าจะดูเป็นรายบริษัทมากกว่า ต่างชาติ & พอร์ตบล.ขายสุทธิต่อ ส่วนสถาบันในประเทศและรายย่อยเดินหน้าซื้อสุทธิ ส่วนหนึ่งเพราะมองว่าเศรษฐกิจไทยและกำไรบจ.ปี 2016 จะขยายตัวได้จากฐานที่ต่ำในปีนี้
วันนี้ Sentiment การลงทุนในตลาดกลับมาเป็นบวก หนุนโดยการดีดขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐและการรีบาวด์ของตลาดหุ้นเอเชียหลังจากประเมินว่าเหตุการณ์ก่อการร้ายในกรุงปารีสจะกระทบไม่มาก และคาดว่าจะยังไม่มีเหตุการณ์ก่อการร้ายรุนแรงเกิดขึ้นในระยะสั้นมากอีก (แต่ในระยะกลาง-ยาวมีความเสี่ยงว่าอาจจะเกิดขึ้นได้เพราะความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม IS กับชาติตะวันตกที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐยังคงมีอยู่) ส่วนผลประกอบการบจ.ไทยออกมาแล้ว พบว่าใน 3Q15 อ่อนแอกว่าคาด (โดยบจ.มีกำไรรวมกันประมาณ 6 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ลดลงกว่า 70%YoYและQoQ) รวมทั้งแนวโน้ม 4Q15 ก็ยังไม่ดีนักเนื่องจากราคาน้ำมันดิบลดลงต่อและเงินบาทอ่อนค่าอีก ซึ่งทำให้ EPS ตลาดหุ้นไทยปีนี้อาจจะลดลงถึง 20%YoY และค่า P/E ตลาดหุ้นไทยจะสูงราว 22-23 เท่า นับว่าแพง ดังนั้นการลงทุนยังต้องใช้ความระมัดระวังสูง กลยุทธ์การลงทุนจึงเน้นเลือกซื้อเป็นรายบริษัทมากกว่า สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น GL
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวก ซื้อใหม่ตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1395-1400, 1410 จุด แนวรับ 1360-1350 จุด สำหรับหุ้น SCAN ที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีเข้ามาใหม่ เน้นซื้อตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้น ได้แก่ CENTEL, VIBHA, IRPC, TSR ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ MTLS, FSMART, MAJOR
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- ฝรั่งเศส : ส่งฝูงบินทิ้งระเบิดถล่มฐานที่มั่นของกองกำลังรัฐอิสลาม (IS) ในซีเรีย หลังเหตุโจมตีในกรุงปารีสจนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 129 คน และกลุ่ม IS เผยแพร่คลิปวิดีโอเตือนประเทศที่เข้าร่วมปฏิบัติการโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่ม IS ในซีเรียว่าประเทศเหล่านี้จะต้องประสบชะตากรรมเดียวกับฝรั่งเศส ตลาดจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งจะบานปลายและรุนแรงมากขึ้นหรือไม่
- ความเสี่ยงเรื่องเหตุการณ์ก่อการร้ายยังมีอยู่ : นายจอห์น เบรนแนน ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) ระบุเตือนว่า กลุ่มรัฐอิสลาม (IS) อาจทำการโจมตีเพิ่มเติม หลังก่อวินาศกรรมที่กรุงปารีสในวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ IS เผยแพร่คลิปวิดีโอซึ่งชายผู้หนึ่งในคลิปวิดีโอกล่าวว่า "เราขอเตือนประเทศที่เข้าร่วมปฏิบัติการว่าสักวันหนึ่งคุณจะมีชะตากรรมเหมือนฝรั่งเศส และเราขอสาบานว่าเราจะโจมตีอเมริกาในใจกลางประเทศถึงกรุงวอชิงตัน"
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมและความเห็นของผู้บริหารสำนักข่าวกรองกลางของประเทศต่างๆในขณะนี้ มีความเสี่ยงที่เหตุการณ์ความไม่สงบขนาดใหญ่ในโลกอาจเข้ามาเป็นระยะ โดยอาจจะทิ้งช่วงรอบละ 2-3 ไตรมาส ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็จะกดดันตลาดเงินตลาดทุนเป็นระลอกๆ รวมทั้งทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตช้าลงด้วย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนนี้น่าจะหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น เพราะนักลงทุนมองว่าเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง
สหรัฐ : จับตาดูรายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 27-28 ต.ค. ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพุธนี้ (18 พ.ย.) ตามเวลาสหรัฐ เพื่อจับสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 15-16 ธ.ค.2015 นี้หรือไม่
- สหรัฐ : ดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) หดตัวต่อเป็นเดือนที่ 4 ที่ -10.7 ในเดือนพ.ย. (-11.4 ในเดือนก่อนหน้า) โดยได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ และการขยายตัวที่อ่อนแอในต่างประเทศ
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ: ปรับขึ้น 1.4% แรงหนุนมาจากหุ้นกลุ่มพลังงาน และนักลงทุนมีมุมมองว่าเหตุก่อการร้ายในกรุงปารีสจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐและผลประกอบการของภาคเอกชนในระยะยาว และมีปัจจัยจิตวิทยาทางบวกจากข่าวว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังของโลก ไม่ได้เทขายหุ้นหลังจากที่เกิดเหตุวินาศกรรมในกรุงปารีส
+ ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้น: สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบธ.ค. +1.00 ดอลลาร์ ส่วน BRENT +0.09 ดอลลาร์ ปิดที่ 41.74 และ 44.56 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างประเทศพันธมิตรฝรั่งเศสกับกลุ่ม IS อาจบานปลายหลังฝรั่งเศสส่งเครื่องบินรบทิ้งระเบิดถล่มฐานที่มั่นของกลุ่ม IS ในซีเรีย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าการโจมตีนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันดิบของโลก เพราะซีเรียไม่ใช่ผู้ผลิตน้ำมันและผู้ส่งออกรายใหญ่ นอกจากนั้นมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันดิบเดือนต.ค.2015 ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ปรับตัวลง 120,000 บาร์เรล/วันเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
ราคาทองคำขยับขึ้นหลังเหตุการณ์ความไม่สงบในปารีส สัญญาตลาด COMEX ปิด +2.7 ดอลลาร์ ที่ 1,083.60 ดอลลาร์/ออนซ์ อย่างไรก็ดี ถือว่าเป็นการปรับขึ้นที่ไม่มาก เพราะนักลงทุนให้น้ำหนักไปที่เงินดอลลาร์สหรัฐมากกว่า
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
- กำไรสุทธิตลาดหุ้นไทย (ไม่รวม MAI) ประจำ 3Q15 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (-72%QoQ และ -70%YoY) เป็น 5.87 หมื่นล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิงวด 9M15 เท่ากับ 4.95 แสนล้านบาท (-20%YoY) ส่วนกำไรสุทธิของตลาด MAI ในงวด 3Q15 ทรงตัวทั้ง QoQ และ YoY และในงวด 9M15 เติบโตเล็กน้อย 5%YoY
# กลุ่มที่มีกำไรสุทธิ 3Q15 ลดลงแบบมีนัยสำคัญ คือ ธุรกิจเกษตร, ธนาคารพาณิชย์, รับเหมาก่อสร้าง, ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์, บรรจุภัณฑ์, ปิโตรเคมี, อสังหาริมทรัพย์,
# กลุ่มที่ขาดทุนสุทธิใน 3Q15 คือ พลังงาน, เหล็ก, ขนส่ง
# กลุ่มที่กำไรสุทธิอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวถึงลดลงไม่มาก คือ พาณิชย์, วัสดุก่อสร้าง, อาหาร, สื่อสาร, สื่อ&บันเทิง,
# กลุ่มที่กำไรสุทธิเติบโตดีใน 3Q15 คือ ยานยนต์และชิ้นส่วน, โรงพยาบาล, กองทุนอสังหาริมทรัพย์
***ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากตารางใน Intranet***
/- ถ้าประเมินกำไร 4Q15 อิงกับราคาน้ำมัน & ค่าเงินบาทในปัจจุบัน เห็นว่าผลประกอบการ 4Q15 จะยังไม่ดีนัก แนวโน้มกำไรสุทธิของบจ.ในตลาดหุ้นไทย 4Q15 ขึ้นกับราคาน้ำมันดิบและค่าเงินบาท
หากพิจารณาจากอิงกับตัวเลข ณ ปัจจุบันพบว่าจะยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันดิบ BRENT ต่ำกว่าระดับปิดของสิ้น 3Q15 อยู่ 5 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือประมาณ 10% ซึ่งกดดันผลประกอบการหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีต่อ ส่วนค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลงเกือบ 1% จากระดับปิดสิ้น 3Q15 ทำให้ยังมีผลขาดทุนใน FX เกิดขึ้นได้อีก ส่วน Core Profit ของบจ.ที่มีรายได้อยู่ในประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยในช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอย แต่กลุ่มที่มีรายได้จากส่งออกไปต่างประเทศกำไรจะอ่อนลงตามปัจจัยฤดูกาล
หากเป็นเช่นดังกล่าวข้างต้น EPS ของตลาดหุ้นไทยปี 2015 จะต่ำมาก โดยมีโอกาสที่จะลดลงจากปีก่อนถึง 20% (ปี 2015 อยู่ที่ 76.5) ณ ระดับ SET Index ปัจจุบันที่ 1388.62 จุด มีค่า P/E ปีนี้ที่ประมาณ 22-23 เท่า นับว่าแพงทีเดียว
ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังต้องใช้ความระมัดระวังสูง กลยุทธ์จึงเน้นการเลือกซื้อเป็นรายบริษัท (Selective Buy) หุ้นพื้นฐานดีที่น่าสนใจทยอยซื้อลงทุนในปี 2016 ได้แก่ ANAN, AOT, CK, INTUCH, KBANK, LH, MINT, MTLS, PREB, PTT, SCC เป็นต้น
สภาพัฒน์ฯคาดเศรษฐกิจไทยปี 2015 จะเติบโตได้ 2.9% (ปี 2014 ขยายตัว 0.9%) หลังจาก GDP Growth ประจำ 3Q15 ออกมาเพิ่มขึ้น 2.9%YoY ทั้งนี้การส่งออกเริ่มมีการฟื้นตัวได้บ้างในบางอุตสาหกรรม ภาคท่องเที่ยวยังแข็งแกร่งและเติบโตได้ต่อเนื่องในปีหน้า ส่วนปี 2016 ประเมินว่าจะเติบโตได้ 3-4% โดยคาดว่ามูลค่าส่งออกรูปดอลลาร์สหรัฐจะกลับมา +3% จากที่ -5% ในปี 2015
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected] & Thailand Research Team
ข่าวอุตสาหกรรมและหุ้นเด่น
# : TIPCO (ราคาปิด 21.10 บาท, ราคาพื้นฐาน 23.34 บาท (Upside 11%) (เดิม 25.16 บาท)
กำไร 3Q58 เติบโตก้าวกระโดด y-o-y
บริษัทประกาศกำไรสุทธิ 3Q58 เป็น 314 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 314% y-o-y แต่ลดลง 13% q-o-q โดยไตรมาสนี้บันทึกกำไรตามส่วนได้เสียจากการถือหุ้น TASCO อยู่ 24% เป็น 318 ล้านบาท เทียบกับ y-o-y และ q-o-q ที่ 100 และ 345 ล้านบาท ตามลำดับ หากไม่นับกำไรจาก TASCO ไตรมาสนี้เป็น -4 ล้านบาท เทียบกับ y-o-y และ q-o-q ที่ -24 และ +17 ล้านบาท ตามลำดับรายการที่ด้อยลงคือ รายได้ขายเป็น 1.2 พันล้าบาท -21% y-o-y และ -23% q-o-q เพราะวัตถุดิบสับปะรดขาดแคลน แต่รายการที่ดีขึ้นคือ อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 36.2% รวมทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายขาย-บริหารได้ดีขึ้น ไตรมาสนี้บันทึกเพียง 451 ล้านบาท
กำไรสุทธิในรอบ 9M58 เป็น 994 ล้านบาท เติบโต 984% y-o-y และคิดเป็นสัดส่วน 73% จากประมาณการทั้งปี 58 ของเราที่ 1,354 ล้านบาท (เทียบกับกำไรปี 57 ที่เพียง 78 ล้านบาท) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ของบริษัท และคาดว่าบริษัทจะทำได้ตามประมาณการ ฐานะการเงินดีขึ้น บริษัทได้ทยอยคืนเงินกู้ จนอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนลดลงเป็น 0.3 เท่า จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 0.6 เท่า
ราคาหุ้น TASCO ยังแข็งแกร่งแม้ภาวะตลาดหุ้นผันผวนสูง ล่าสุดเป็น 39.25 บาท หาก TIPCO ขายหุ้นทั้งหมดใน TASCO จะได้รับกำไรหลังภาษีมากเป็น 9.8 พันล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหนึ่งหุ้น TIPCO ที่ 20.32 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับราคาหุ้นปัจจุบันของ TIPCO
และเมื่อนำกำรแฝง TASCO ไปปรับปรุงกับมูลค่าหุ้นทางบัญชีของ TIPCO ณ สิ้น 3Q58 ที่ 6.98 บาท จะได้มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นหลังปรับปรุงสูงเป็น 27.30 บาท
แนะนำ ซื้อเก็งกำไร หากเราประเมินมูลค่าเหมาะสม TIPCO ด้วย P/BV ที่ระดับ 0.9 เท่า และมูลค่าหุ้นทางบัญชีหลังปรับปรุง (Adjusted Book Value) ที่ 27.30 บาท รวมทั้งคิดส่วนลด 5% ซึ่งส่วนใหญ่บริษัทโฮลดิ้งส์จะซื้อด้วยส่วนลด จะได้ราคาพื้นฐานที่ 23.34 บาท ซึ่งเทียบเท่า P/E ปี 58 ที่เพียง 8.3 เท่า และหากนำไปเทียบกับ P/E เฉลี่ยกลุ่มอาหารปัจจุบันซื้อขายที่ 19.7 เท่า จึงถือว่าราคาพื้นฐานนั้นยังอนุรักษ์นิยมอยู่มาก ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 11% จากราคาพื้นฐาน ส่วนสาเหตุที่ราคาพื้นฐานใหม่ปรับลดลง คือ เราเปลี่ยนมาใช้ราคาปัจจุบันของหุ้น TASCO แทนที่จะใช้ราคาพื้นฐาน เพื่อที่จะสะท้อนภาวะปัจจุบันมากขึ้น
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา
[email protected]