- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 06 November 2015 18:18
- Hits: 1256
บล. เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยฟื้นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน เป็นสัญญาณบ่งบอกเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุด เช่นเดียวกับตลาดหุ้น จึงเชื่อว่า SET ยังยืนเหนือ 1,400 จุดได้ วันนี้เลือก Top picks PLANB(FV@B8) มีโอกาสเข้า SET100 สูง และ EASTW(FV@B14) เป็นหุ้นที่เติบโตภายใต้ภัยแล้ง
อังกฤษขึ้นดอกเบี้ยหลังสหรัฐ...ตลาดหุ้นอังกฤษมีช่องว่างขึ้นต่อได้
ผลการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เมื่อวานนี้ สรุปให้คงดอกเบี้ยฯ ที่ 0.5% ตามเดิม (นานติดต่อกันตั้งแต่ มี.ค. 2552) โดยมีความกังวลต่อจีน และกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่ชะลอตัว BOE จึงได้ปรับลด GDP Growth ปี 2559 เหลือ 2.5% จากเดิม 2.6% ใกล้เคียงกับปี 2558 อยู่ที่ 2.7% (9M58 เติบโต 2.5 %) จะเห็นว่าปี 2559 IMF ประเมินเศรษฐกิจของอังกฤษ ไว้เพียง 2.2% ชะลอตัวจากปี 2558 ที่คาดเติบโต 2.5%) ขณะที่กังวลต่ออัตราการเงินเฟ้อล่าสุดยังติดลบ 0.1% (อัตราการว่างงาน 5.4%) และคาดว่าปี 2559 เงินเฟ้อจะยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2 BOE จึงประเมินว่าการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายน่าจะเกิดขึ้นในปี 2559 และตามหลังสหรัฐ เพราะหากพิจารณาตัวแปรสำคัญ ๆ ทางเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยให้เหมือนกับเหตุการณ์ในอดีต กล่าวคือ การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ BOE ในช่วง ส.ค. 49 – พ.ย.50 พบว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วง 2548 ถึงต้นปี 2549 (GDP Growth กระเตื้องจาก 1.9% งวด 1Q48, 2.5% งวด 2Q48, 3 .3% งวด3Q48 , 4.3% งวด 4Q48, 4% งวด 1Q49, 3.1% งวด 2Q49, 2.2% งวด 3Q549,1.4% งวด 4Q49) และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.1% (แม้ลดลงจาก 2.5 % ปี 2548) ทำให้ BOE ปรับขึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้ง จาก 4.75 % เป็น 5.75 %
ตลาดหุ้น FSTE 100 vs ดอกเบี้ยนโยบายฯ
ที่มา : Bloomberg
และวานนี้ สหรัฐ รายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจมีสัญญานการฟื้นตัวล่าช้า ทางด้านตลาดแรงงาน พบว่ายอดผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรก สำรวจถึง 31 ต.ค. อยู่ที่ระดับ 276,000 ราย สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 262 ,000 ราย (คิดเฉลี่ย 4 สัปดาห์ เพิ่มขึ้น 3,500 ราย สู่ระดับ 262,750 ราย) เช่นเดียวกับยอดการจ้างงานภาคเอกชนเดือน ต.ค. อยู่ที่ 182,000 แสนราย ลดลงเทียบกับเดือน ก.ย. ที่ 200,000 ราย ขณะที่ยอดสั่งซื้อสินค้าจากโรงงาน เดือน ก.ย. ลดลง 1% จากเดือน ส.ค. (เป็นการหดตัวต่อเนื่องเดือนที่ 2) ซึ่งอาจจะสวนทางกับ ดัชนี PMI ภาคบริการ เพิ่มขึ้น 54.8 ดีขึ้นจาก 54.4 เดือน ก.ย. ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อ ล่าสุดอยู่ที่ 0% น่าจะทำให้ FED ต้องใช้ความระมัดระวังในการขึ้นดอกเบี้ย โดยเป็นไปได้ที่จะขึ้นดอกเบี้ยต้นปี 2559
ในช่วง 1 เดือนเศษที่ผ่านมา พบว่าตลาดหุ้นอังกฤษให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ซึ่งนับว่าต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วเกือบทุกแห่ง โดยเฉพาะในยุโรปด้วยกัน กล่าวคือ ตลาดหุ้นเยอรมันให้ผลตอบแทน 15% ฝรั่งเศสให้ผลตอบแทน 14.6% สเปน 11% ยกเว้นอิตาลี่ให้ผลตอบแทน 7.2% และเช่นเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 12% เนื่องจากตลาดผ่อนคลายต่อการชะลอขึ้นดอกเบี้ย และขณะนี้ได้ปรับขึ้นมาใกล้กับจุดสูงสุดเดิมแล้ว ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐมี upside จำกัด ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป เชื่อว่าการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินที่มีอยู่ รวมถึงการยืดระยะเวลาการขึ้นดอกเบี้ยต่ำออกไปอีกระยะหนึ่ง จะทำให้ตลาดหุ้นยุโรปยังมีช่องว่างขยับขึ้น ได้ หากพิจารณาระดับดัชนีปัจจุบันกับระดับ High เดิมก่อนหน้า เช่น ตลาดหุ้นเยอรมันปัจจุบันอยู่ที่ 10,887 จุด ยังห่างจากจุดสูงสุดเดิม ราว 12,200 จุด มี upside ราว 10% และตลาดหุ้นอังกฤษ ปัจจุบันอยู่ที่ 6,364 ขณะที่จุดสูงสุดเดิมอยู่ 7100 จึงมี upside 11%
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัวครั้งแรกรอบ 10 เดือน
วานนี้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ) อยู่ที่ระดับ 73.4 เทียบกับฟื้นตัวจาก 72.1 เดือน ก.ย. หรือ เพิ่มขึ้น 1.8%mom เป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน) และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีความเชื่อมั่น เศรษฐกิจโดยรวม เพิ่มขึ้น 1.6%mom ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ 1.9%mom และ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต 1.7%mom สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และคาดว่าน่าจะเห็นสัญญานการฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งนี้เป็นผลจากเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทุกระดับ ตั้งแต่รากหญ้า และ SMEs รวมถึงผลักดันโครงการลงทุนตามแผน โดยรวมมหาวิทยาลัยหอการค้าคาดการณ์ GDP Growth ตลอดปีนี้จะอยู่ที่ 2.7 - 2.8% และในปี 2559 เท่ากับ 3.5 – 4% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สอดคล้องกับ ASPS (ประเมินในปี 2558 ไว้ที่ 2.7% และในปี 2559 เท่ากับ 3.8%) โดยสรุปคาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดในงวด 3Q58 และน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในงวด 4Q58 และน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องในปี 2559 ซึ่งถือเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยน่าจะดีต่อหุ้นกลุ่มเช่าซื้อ/ลิสซิ่ง (ติดตามอ่านรายละเอียด Equity Talk วันนี้)
ต่างชาติยังคงซื้อหุ้นภูมิภาค แต่เลือกขายบางประเทศเล็กน้อย
วานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 167 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) แต่เป็นการขายสุทธิอยู่ 2 ประเทศ คือ เกาหลีใต้และฟิลิปปินส์ แต่ขายสุทธิเล็กน้อยราว 2 ล้านเหรียญ และ 1 ล้านเหรียญ ตามลำดับ ส่วนที่เหลืออีก 3 ประเทศต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 147 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5) ตามมาด้วยอินโดนีเซียถูกซื้อสุทธิราว 5 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5) และไทยต่างชาติซื้อสุทธิราว 19 ล้านเหรียญ หรือ 660 ล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ต่างกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิราว 365 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 5,518 ล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิราว 956 ล้านบาท ในส่วนของค่าเงินบาทล่าสุดทรงตัวอยู่ที่ 35.57 บาท/ดอลลาร์
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
คาดการณ์หุ้นเข้า SET50, SET100 ใน 1H59 แนะนำ PLANB (FV@B8)
เนื่องจากเข้าใกล้ช่วงเวลาที่จะปรับเปลี่ยนหุ้นที่ เข้า – ออก หุ้นในกลุ่ม SET50-SET100 โดยจะใช้ข้อมูลรอบ 1 ปี สิ้นสุดเดือน พ.ย. 2558 และเริ่มนำไปใช้คำนวณในต้นปี 2559 อย่างไรก็ตามขณะนี้ข้อมูลที่ใช้คำนวณอาจจะยังไม่ครบทั้ง 100% (สิ้นสุดเดือน ต.ค.)แต่ในเบื้องต้นนักวิเคราะห์ของ ASPS พอจะสรุปรายชื่อหุ้น พร้อมทั้งกำหนดกลยุทธ์ได้ดังนี้
หุ้นที่คาดว่าน่าจะถูกคัดเลือกเข้า SET50 มี 4 บริษัท: TASCO, SUPER, STEC และ MTLS แต่เนื่องจากราคาหุ้นเต็มมูลค่าเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเทียบกับมูลค่าพื้นฐานปี 2558 แนะนำชะลอการลงทุนหุ้นดังกล่าวออกไปก่อน
หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดออกจาก SET50: GLOW, RATCH, M และ THCOM กลยุทธ์ระยะสั้นแนะนำขายหรือ Switch GLOW, RATCH, M เนื่องจากมีโอกาสหลุดทั้ง SET50 และ SET100 ในรอบถัดไป ส่วนหุ้น THCOM ยังโอกาสหลุด/ไม่หลุด 50/50 นักลงทุนที่มีหุ้นอยู่สามารถถือลุ้นต่อหรือ Switch ไปหุ้นตัวอื่นได้ (คำนวณมูลค่าตลาดเฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา อยู่ลำดับที่ 51 ซึ่งน้อยกว่า MTLS ซึ่งอยู่ใน ลำดับที่ 50 อยู่เล็กน้อย) บวกกับราคาหุ้นมี upside สูงถึง 65% (เมื่อเทียบกับมูลค่าพื้นฐานปี 2558) แล้วธุรกิจยังมีแนวโน้มการเติบโตโดดเด่นในช่วงที่เหลือของปี และดีต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
หุ้นที่คาดว่าน่าจะถูกคัดเลือกเข้า SET100 มี 15 บริษัท: TASCO, SUPER, MTLS, GPSC, PTG, EPG, CHG, VNG, PLANB, IFEC, GL, WORK, PLAT, SAMTEL และ SCN ส่วนใหญ่ราคาหุ้นจะมี upside จำกัด และฝ่ายวิจัยมิได้ทำการศึกษา อย่างไรก็ตามยังมีหุ้นที่น่าสนใจ และมี upside คือ WORK และ PLANB(FV@B8) ที่ทางฝ่ายวิจัยเลือกเป็น Top Pick
หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดออกจาก SET100: GLOW, RATCH, M, GLOBAL, U, TICON, MC, SF, SGP, ERW, DEMCO, SAPPE, ASP, MONO และ LOXLEY พบว่าบางบริษัทราคาหุ้นเกินมูลค่าพื้นฐาน ยกเว้นบางหุ้นที่ยังน่าสนใจลงทุน และมี upside สูง คือ SF, ERW ยังแนะนำถือต่อไปสำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ หรือ รอซื้อสะสม เมื่อราคาย่อตัวเช่นกัน
จากผลการศึกษาข้างต้นพบว่า หุ้นส่วนใหญ่ที่ถูกคาดการณ์เข้า SET50, SET100 มีราคาเกินมูลค่าพื้นฐานแล้ว กลยุทธ์การลงทุนแนะนำทยอยสะสมหุ้นเป็นรายตัวและเลือก PLANB(FV@B8) เป็น Top Pick เนื่องจากมีโอกาสถูกคัดเลือกเข้า SET100 และหากมองในมุมปัจจัยพื้นฐาน รายได้ของ PLANB จะทยอยเพิ่มขึ้นจากการจับมือกับ Hello Bangkok โดยเป็นตัวแทนขายแต่เพียงผู้เดียว ส่งผลให้กำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ข่าวร้ายของ ITD กดดัน CK แต่เป็นโอกาสสะสม CK
วานนี้หุ้นในกลุ่มรับเหมาฯ ปรับตัวลงหนักในช่วงท้ายตลาด นำโดย ITD ลดลงมากถึง 6.67% ตามมาด้วย CK ลดลง 2.65% และ STEC ลดลง 1.96% การปรับลดลงแรงเนื่องมากจากกระแสข่าว ITD ไม่ผ่านการตรวจคุณสมบัติงานประมูลรถไฟทางคู่เส้นฉะเชิงเทรา-คลอง 19 - แก่งคอย รวมทั้งเลื่อนการตรวจคุณสมบัติบริษัทเอกชนที่จะเข้าประมูลเป็นวันที่ 9 พ.ย. จากเดิม 5 พ.ย. ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ประกาศเลื่อนไปตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยการประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ เส้นทางฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย (สัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2) ไปเป็น 9 พ.ย.นี้ ส่งผลให้ขั้นตอนของการทำ e-Auction ในวันที่ 5 พ.ย. ต้องเลื่อนออกไปด้วย ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเดือน ธ.ค. แต่ต้องรอการกำหนดวันที่ชัดเจนอีกครั้ง
ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าว เชื่อว่าเป็นเพียง sentiment เชิงลบช่วงสั้นเท่านั้น โดยที่ยังไม่มีเหตุใดที่มีน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญต่อปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัทในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยฝ่ายวิจัยยังคงชอบ CK (FV@B33) ที่มีความพร้อมทั้งด้านประสบการณ์ทำงานและฐานะการเงินที่แข็งแกร่งมากสุด ล่าสุดได้มีการเซ็นสัญญางานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณรถไฟสายสีน้ำเงินช่วงเตาปูน-บางซื่อ และมีรอเซ็นงาน Improve Communication System รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และงาน Maintenance Service รถไฟฟ้าสายสีม่วงและสีน้ำเงิน ซึ่งทั้ง 3 งานนี้ มีมูลค่ารวม 3,846 ล้านบาท อีกทั้งยังมีประเด็นสนับสนุนจากบริษัทลูก คือ BEM ซึ่งเกิดจากการควบรวมระหว่าง BECL และ BMCL ที่พร้อมเข้าร่วมลงทุนในลักษณะ PPP กับภาครัฐ เป็นแรงหนุนสำคัญต่อธุรกิจของ CK
หุ้นที่แนะนำใน Market talk