- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 22 October 2015 17:09
- Hits: 5784
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อ/ถือต่อเมื่อ SET ไม่หลุด 1400'
Stock Picks-Oct 2015 : Fundamental : AOT, BBL, CK, CPNRF, LPN
Fundamental Pick -Today: PREB (ดูรายละเอียดในหน้า 3)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : RATCH 29%, SF 16%, BCP 11%, M 10%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แต่ยังมีโอกาสรีบาวด์ก่อนลงต่ำได้
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1420-1430 ต่ำกว่า 1400
SET50 ซื้อค่าบวก 920-930,940 ต่ำกว่า 910
Technical Picks- Today : TCMC, KAMART, LPN, IFEC
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้แกว่งในกรอบแคบ ปิดตลาดดัชนีลดลง 2.83 จุดที่ 1415.80 โดยมีการเลือกซื้อหุ้นเป็นบางตัวที่โดดเด่นในแต่ละอุตสาหกรรม (Selective Buy) โดยตลาดยังไม่มีปัจจัยมหภาคใหม่ๆเข้ามา นักลงทุนต่างชาติและพอร์ตบล.ซื้อขายใกล้เคียงกัน สถาบันในประเทศขายสุทธิและรายย่อยซื้อสุทธิ
วันนี้จับตาผลประชุม ECB ว่าจะมีถ้อยแถลงเกี่ยวกับการขยายโครงการ QE หรือไม่ ซึ่งหากดูจากตลาดเงินพบว่าสะท้อนความหวังในประเด็นนี้เพียงเล็กน้อย (ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขยับแข็งค่าขึ้นแต่ไม่มาก) ส่วนความเห็นของทีมกลยุทธ์เรามองว่าแถลงการณ์ของ ECB น่าจะออกมาในลักษณะว่าพร้อมที่จะใช้มาตรการเพิ่มเติมถ้าจำเป็น อย่างไรก็ดี เราเล็งว่าในที่สุด ECB จะมีการขยายระยะเวลาโครงการ QE ออกไปอยู่แล้วเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปค่อนข้างล่าช้า ส่วนการลดลงของราคาน้ำมันดิบเมื่อคืนนี้อาจกระทบราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานไม่รุนแรง เพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเช้าวันนี้มีรีบาวด์ขึ้น เรายังคงแนะนำให้ทยอยซื้อลงทุนใน PTTEP ซึ่งมี Valuation ที่จูงใจ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหน้า 2) ส่วนผลประกอบการ 3Q58 มองว่าไม่น่าตื่นเต้นนัก แต่ก็เป็นจังหวะในการทยอยซื้อลงทุนในหุ้นที่มีผลประกอบการ Bottom แล้วและมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งในปี 59-60 ซึ่งหุ้นพื้นฐานที่น่าสนใจแนะนำวันนี้เป็น PREB
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แต่ยังไม่ทิ้งโอกาสรีบาวด์ก่อนลงต่ำ การซื้อใหม่ก็แนะนำให้ตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1420-1430, 1440-1450 จุด ค่าลบ/ต่ำกว่า 1400 จุด ดูไม่ดี ควรลดพอร์ตตาม สำหรับผลการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสทำ New High โดยสามารถเลือกซื้อเก็งกำไรระยะสั้น (แต่ไม่บวกไม่เล่น) ที่เข้ามาใหม่ คือ TCMC, KAMART ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วสามารถถือต่อหรือพิจารณา Take Profit เมื่อราคาปรับขึ้นต่อ ได้แก่ HMPRO, ANAN, CWT, TOP, LPN, SAWAD, IFEC, DEMCO, RS
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
วันนี้ (22 ต.ค.58) จับตาผลประชุม ECB ซึ่งนักวิเคราะห์และตลาดติดตามดูว่าประธาน ECB จะมีถ้อยแถลงเกี่ยวกับการขยายวงเงินและระยะเวลาโครงการซื้อพันธบัตรภายใต้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE อีกหรือไม่ สำหรับทีมกลยุทธ์ DBS Retail Research มองว่าน่าจะออกมาในลักษณะว่า พร้อมจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมถ้าจำเป็น
- เครดิต สวิส เล็งปลดพนักงานอย่างน้อย 3,400 คนใน 3 ปีข้างหน้า ทั้งในอังกฤษและสวิตเซอร์แลนด์ หลังกำไรดิ่งลง 24%YoY ใน 3Q58 ปัจจุบันมีพนักงานทั่วโลก 45,000 คนกระจายใน 50 ประเทศ
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : จำนวนที่ปรึกษาทางการเงินที่มีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐเพิ่มขึ้น สู่ระดับ 37.5% ในสัปดาห์ที่แล้ว จากระดับ 36.5% ในสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนผู้ที่ระบุว่าไม่มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 31.3% จากระดับ 31.2% ซึ่งน้อยกว่า และที่ปรึกษาทางการเงินที่คาดว่าตลาดหุ้นจะมีการปรับฐานลดลงเป็น 31.2% จาก 32.3% ในสัปดาห์ก่อนหน้านี้
- ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบ โดยดัชนี DJIA ลดลง 48.5 จุด แต่ยังเหนือ 17,000 จุดได้ ปัจจัยกดดันหลัก คือ แรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบร่วงลง แต่ก็มีปัจจัยพยุงตลาด คือ รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของหลายบริษัท เช่น จีเอ็ม, โบอิ้ง โค เป็นต้น
- สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นมากเกินคาด EIA เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นมากถึง 8 ล้านบาร์เรลเมื่อสัปดาห์ก่อน เป็น 476.6 ล้านบาร์เรล จากที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล ด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API) รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 473 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 3.9 ล้านบาร์เรลเช่นกัน
- ราคาน้ำมันดิบร่วงลง สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ร่วงลง 1.09 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 45.20 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบธ.ค.ลดลง 86 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 47.85 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ราคาทองคำดิ่ง โดยสัญญาตลาด COMEX เมื่อคืนนี้ลดลง 10.4 ดอลลาร์ หรือ -0.88% มาปิดที่ 1167.10 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร ก่อนที่จะมีการประชุม ECB ในวันนี้
เงินดอลลาร์สหรัฐขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ล่าสุดเช้านี้ Dollar Cash Index อยู่ที่ 95.03 จาก 5 วันทำการที่แล้วที่ 93.93 หรือแข็งค่าขึ้นมาประมาณ 1.2%
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
ผู้ว่าการธปท.เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยปี 59 จะเติบโตได้ 3.6-3.7% จากปีนี้ 2.7% โดยเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาจะส่งผลดีในปี 59 มากกว่าปีนี้ สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตในปี 59 คือ ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ, สินเชื่อภาคครัวเรือนระดับสูง ที่จะทำให้การบริโภคภายในประเทศฟื้นตัวได้ช้า ส่วนการลดลงของราคาน้ำมันนั้น ทำให้ไทยมีเกินดุลการค้าเพิ่มเป็น 6% ของ GDP เพราะมูลค่านำเข้าลดลงมาก เมื่อหักด้วยเงินทุนไหลออกสุทธิแล้วก็ยังเป็นเกินดุล ส่วนเรื่องที่ต้องติดตามดูใกล้ชิด คือ การปล่อยสินเชื่อของธ.อ.ส.วงเงิน 1 หมื่นล้านบาทเพื่อให้มีความเสี่ยงเรื่อง NPL น้อยที่สุด
โดยภาพรวมแล้ว ทางทีมกลยุทธ์ DBS Retail Research เห็นว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ระดับ 3.6-3.7% อาจไม่ใช่ Catalyst ที่จะดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะอัตราการเติบโตดังกล่าวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 4.6% (เติบโตสูงสุด คือ อินเดียที่ +8% ในปี 59 และต่ำสุดคือ สิงคโปร์ที่ +2.1% ส่วนประเทศใน TIP คือ ฟิลิปปินส์นั้น +6.1% อินโดนีเซีย +5.2% และไทย +3.7%) อย่างไรก็ตาม อาจมี Fund Flow เข้ามาเก็งกำไร/ลงทุนในบางกลุ่มที่เป็น Key Growth ของเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มที่เกี่ยวกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มสื่อสาร&โทรคมนาคมและวางระบบดิจิตอล เป็นต้น
GDP Forecasts by DBS Group Research
กลุ่มพลังงาน : ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานได้ปรับลดลงล่วงหน้าไปเมื่อวานนี้บ้างแล้ว หลังจากเห็นราคาน้ำมันดิบที่ซื้อขายในตลาดฟิวเจอร์สลดลงในช่วงบ่าย ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้ามีรีบาวด์เล็กน้อยในเช้าวันนี้ ดังนั้นราคาหุ้นกลุ่มพลังงานอาจจะปรับลดลงไม่มากในวันนี้ ทั้งนี้เรายังคงให้ทยอยซื้อสะสมหุ้น PTTEP ซึ่งมี Valuation ที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ P/BV ปี 58-59 ต่ำเพียง 0.7-0.8 เท่า ต่ำกว่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 1.5-1.6 เท่า ขณะเดียวกันมูลค่าหุ้นที่เราประเมินทั้งแบบ Net Asset Value Approach และ Liquidation Approach โดยใช้สมมติฐานที่ค่อนข้าง Conservative ทั้งในแง่ของราคาน้ำมันดิบระยะยาวและการสมมติให้สินทรัพย์และเงินลงทุนบางรายการมีการด้อยค่าลงจากปัจจุบันไปอีก เช่น โครงการมอนทารา, โครงการแคนาดาออยแซนด์ เป็นต้น ซึ่งพบว่ามูลค่าหุ้น PTTEP ยังอยู่ที่ 95+/- บาท/หุ้น ซึ่งใกล้เคียงกับราคาพื้นฐานที่เราให้ไว้ในปัจจุบันที่ 100 บาท/หุ้น
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
[email protected]
Update อุตสาหกรรม & หุ้นในเชิงกลยุทธ์
#Turnover List Watch: คาด JWD และ RCI เข้าข่ายติด cash balance
สัปดาห์นี้จะแปลกคือ ประกาศหลักทรัพย์เข้าเกณฑ์ใช้ cash balance เย็นวันพฤหัสแทนวันศุกร์ เพราะวันศุกร์หยุด หลักทรัพย์ที่คาดว่าต้องใช้ cash balance สัปดาห์หน้าคือ JWD และ RCI
ส่วนหลักทรัพย์ที่กลับมาใช้มาร์จิ้นได้ตั้งแต่สัปดาห์หน้า อาจมีการเก็งกำไรล่วงหน้า แต่ต้องระวังว่าตลาดฯอาจให้ขยายเวลาใช้ cash balance อีกคือ ระดับที่ 1: BSM, BSM-W1 และ MAX สำหรับระดับที่ 2: ไม่มี
# SAMCO (ราคาปิด 4.32 บาท)
SAMCO มั่นใจว่ายอดขายปี 58 จะทำได้ตามเป้าหมายที่ 1.15 พันล้านบาท หลังยอดขายในไตรมาส 3 ทำได้ตามเป้า อีกทั้งเตรียมเปิดโครงการแนวราบใหม่ 2 โครงการในช่วงไตรมาส 4/58 เพิ่มเติม พร้อมเตรียมจัดแคมเปญกระตุ้นการโอนผลักดันรายได้ปีนี้ตามเป้าที่ 1.8 พันล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิปีนี้น่าจะทำได้ดีกว่าปีก่อน ขณะที่วางเป้าหมายปี 59 รายได้เพิ่มขึ้นเป็นราว 2.26 พันล้านบาท หลังมีแผนเปิดทาวน์เฮ้าส์ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง (Aspens)
ผลกระทบ: เป็นบวก ตามข้อมูลบริษัทพบว่าจากกำไรในรอบ 1H58 ที่เป็นเพียง 5 ล้านบาท เทียบกับ y-o-y ที่ 33 ล้านบาท แต่เนื่องจากลักษณะยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ปัจจุบันเป็น 750 ล้านบาทนั้น จะสามารถโอนได้ใน 4Q58 ถึง 600 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนโด S9 เทียบกับ 1H58 ที่ 424 ล้านบาท จึงมีโอกาสสูงที่กำไรปีนี้จะสูงสุดใน 4Q58 และผลักดันให้รายได้ปีนี้ไปถึง 1.8 พันล้านบาท เพิ่มถึง 56% y-o-y ส่วนรายได้ปีหน้าตั้งเป้าไว้ที่ 2.2 พันล้านบาท คิดเป็นการเติบโตอีก 22% y-o-y โดยมี Backlog คอนโดที่เหลือไปโอน 150 ล้านบาท อีกทั้งจะมีแผนเปิดทาวน์เฮ้าส์ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงเป็นโครงการสำคัญที่จะช่วยผลักดันรายได้
คำแนะนำ: เราไม่ได้ทำการวิเคราะห์หลักทรัพย์นี้ (Not Rated) แต่จากการประเมินเบื้องต้นพบว่าหากให้อัตรากำไรสุทธิปีนี้เป็น 10% ปีนี้บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 180 ล้านบาท +80% y-o-y และปีหน้าเป็น 220 ล้านบาท +22% ถือว่าเติบโตดี P/E ปีนี้และปีหน้าเป็น 13.9 และ 11.7 เท่า ตามลำดับ แม้ดูสูงกว่าอุตสาหกรรม แต่หากเทียบในเรื่องการเติบโตที่สูงกว่าอุตสาหกรรม และมีค่า PEG ที่เพียง 0.2 และ 0.5 เท่า ตามลำดับ จึงสมควรมีส่วนเพิ่ม หากกำหนดช่วงราคาพื้นฐานที่ P/E ปี 59 ที่ 14-15 เท่า ราคาพื้นฐานเป็น 5.18-5.55 บาท ยังมี upside 20%-28% จึงเห็นว่าสามารถซื้อเก็งกำได้ ส่วนความเสี่ยงต่อประมาณการรายได้ปี 59 คือ Backlog คอนโดที่จะโอนปี 59 น้อยกว่าปี 58 จึงต้องพึ่งพิงทาวน์เฮ้าส์ที่มาก ดังนั้นทาวน์เฮ้าส์จะขายได้ตามเป้าหมายหรือไม่ และอัตรากำไรของทาวน์เฮ้าส์จะยังดีหรือไม่
นักวิเคราะห์& กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : Tel 7835
[email protected]
# SAFARI (ราคาปิด 2.40 บาท
ตลาดฯกำหนดวันแตกพาร์จาก 5.00 บาท เป็น 1.00 บาท แล้วคือ 27 ต.ค.58 แต่ปัจจุบันยังถูกสั่งพักการซื้อขาย (SET)
ผลกระทบ: ไม่มีทางด้านการซื้อขาย เพราะถูกหยุดการซื้อขายอยู่ (SP) แต่จากราคาปิดสุดท้าย 16 พ.ค.50 ที่ 2.40 บาท พอถึงวันที่ 27 ต.ค.58 ราคาควรจะต่ำลงเป็น 0.48 บาท แต่บริษัทมีเรื่องขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) อยู่ ด้วยสัดส่วน 3 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ที่ราคา 1.00 บาท ขึ้น XR 29 ต.ค.58 และชำระเงิน 16-20 พ.ย.58
คำแนะนำ: แม้จะหยุดการซื้อขายอยู่แต่กิจกรรมการเพิ่มทุนยังดำเนินต่อไป ผู้ถือหุ้นจึงต้องตัดสินใจว่าจะไปเพิ่มทุนไหม แต่ราคาหุ้นเพิ่มทุนก็สูงกว่าราคาหลังแตกพาร์ อย่างไรก็ตามมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value) ณ สิ้น 2Q58 ที่ 6.26 บาท หลังแตกพาร์เป็น 1.25 บาท ยังสูงกว่าราคาหุ้นเพิ่มทุน ด้านกำไรสุทธิ 6M58 ก็ฟื้นตัวขึ้นเป็น 39 ล้านบาท เทียบกับ y-o-y ที่ -74 ล้านบาท นั่นคือ ผู้ที่ตัดสินใจเพิ่มทุน จะต้อง Bet กับราคาหุ้นเมื่อตลาดฯให้หุ้นกลับมาซื้อขายใหม่นั้นจะสูงกว่าเทียบกับราคาหุ้นเพิ่มทุนที่ 1 บาทหรือไม่ และมีต้นทุนการถือหุ้น (carrying cost) ด้วยว่าจะอีกนานแค่ไหนกว่าจะได้กลับมาซื้อขาย
นักวิเคราะห์& กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : Tel 7835
[email protected]
#EASON (ราคาปิด 3.26 บาท)
มีโอกาสบุ๊กกำไรขายหุ้นบริษัทลูกในไตรมาส 3 ในเบื้องต้น จากข้อมูลในหมายเหตุประกอบงบการเงินสิ้นไตรมาส 2 คาดว่าจะมีกำไรในเบื้องต้นจะอยู่ที่ 1.935 ล้านบาท แม้ว่าจะเป็นมูลค่าที่ไม่มาก แต่ก็เป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นและช่วยลดผลขาดทุนจากบริษัทลูกนี้ได้ และเป็นบวกต่อผลประกอบการโดยรวมที่บริษัทลูกดังกล่าวมีผลขาดทุนมาต่อเนื่อง
กำไรสุทธิใน 1H58 กำไร 27.48 ล้านบาท คิดเป็น 41% ของปี 2557 แม้ว่าจะชะลอตัวลง แต่ถือว่าโดยรวมบริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ค่อนข้างดี ROE เฉลี่ยที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 15% อัตรากำไรสุทธิประมาณ 10% บริษัทซื้อขายที่ P/E 13 เท่าและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอประมาณ 6% มีหนี้สินต่ำ ไม่เคยขาดทุน ราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับอดีต
แนะนำซื้อเก็งกำไร แนวโน้มทางเทคนิค หากยังไม่หลุดต่ำกว่า 3.10 คาดว่าการพักฐานยังไม่นาน และมีโอกาสกลับมาเป็นการแกว่งตัวขึ้นได้ โดยประเมินแนวต้านในระยะสั้นที่ 3.80
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์: พงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ : Tel 7825
[email protected]
# PREB (ราคาปิด 13.10 บาท, ราคาพื้นฐาน 17.40 บาท)
ปี 59 กำไรจะเติบโตก้าวกระโดด ประมาณการว่าปี 58 กำไรสุทธิจะทรงตัว เพราะมีเฉพาะรายได้งานรับเหมาก่อสร้างโครงการอาคารสูง สำหรับ 1H58 บริษัทมีกำไรสุทธิ 118 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 5.6% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่อนไปทางสูงของบริษัท (อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยย้อนหลัง 4 ปีอยู่ที่ 4.7% สำหรับปี 59 บริษัทจะมีรับรู้รายได้จากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (The Tempo Grand สาทร-วุฒากาศ) เข้ามา ซึ่งเราให้สมมติฐานอัตรากำไรสุทธิ 5.6% เท่ากับที่ทำได้ใน 1H58 พบว่ากำไรสุทธิปีหน้าจะเพิ่มขึ้นถึง 58% เป็น 490 บาท (EPS : 1.58 บาท/หุ้น)
แนวโน้มปี 60 ยังสดใส โดยจะรับรู้รายได้จากโครงการ The Tempo สาทร-วุฒากาศ และอื่นๆเข้ามาเพิ่มอย่างก้าวกระโดดอีก (จากรับรู้ 272 ล้านบาทในปี 57 เป็น 1.28 พันล้านบาทในปี 59 และเป็น 2.9 พันล้านบาทในปี 60)
จะนำบริษัทลูกเข้า MAI บริษัทมีแผนจะนำบริษัทย่อย Built Land เข้าจดทะเบียนในตลาด MAI ในปี 59 โดยจะให้สิทธิจองซื้อกับผู้ถือหุ้น PREB ก่อน (ให้ Pre-emptive Right)
แนะนำซื้อลงทุน ณ ราคาปัจจุบัน ซื้อขายที่ P/E ปี 59 ต่ำเพียง 8.4 เท่า และมี Dividend Yield ประมาณ 4.5% ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิเติบโตอย่างมีนัยสำคัญมาก ฝ่ายวิจัยฯ DBS ประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 17.40 บาท โดยอิงกับ P/E ปี 59 ที่ 11 เท่า ซึ่งราคาหุ้นมี Upside จากราคาปัจจุบันถึง 32%
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
[email protected]
# CEI (ราคาปิด 1.09 บาท)
บริษัทจะทยอยขายอสังหาริมทรัพย์ในมือ เพื่อรวบรวมไว้ใช้ขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานทางเลือกทั้งโซลาร์ฟาร์ม และโซลาร์รูฟ ขณะที่ยังเดินหน้าธุรกิจหลักเดิม คือ เทรดดิ้งพัดลม ด้วยการเปิดโชว์รูมแห่งใหม่ย่านศรีนครินทร์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วมทุนกับพันธมิตรที่คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่งวดไตรมาส 3/59 จึงเชื่อว่าผลประกอบการจะพลิกมีกำไรในปี 59 (ม.ค.-ธ.ค.59) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับงวดปีบัญชีใหม่จากเดิมที่สิ้นสุดก.ค. มาเป็นปีปฏิทินตามปกติ (Aspens)
ผลกระทบ: CEI เป็นหลักทรัพย์ที่ออกไปทางการเก็งกำไรในเรื่องการกลับมาฟื้นตัว พิจารณาได้จากงบปี 58 (สินสุด ก.ค.58) เป็นขาดทุนสุทธิถึง 138 ล้านบาท เทียบกับ y-o-y กำไรสุทธิ 8 ล้านบาท สิ่งที่น่าสนใจคือ ในที่สุดแล้วบริษัทจะเข้าร่วมประมูลทำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (solar farm) จากหน่วยงานราชการและสหกรณ์การเกษตรจำนวน 100 MW สำเร็จหรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาความจริงจังมีการไปซื้อที่ดินไว้ล่วงหน้าแล้วคือ เชียงใหม่มี 1,500 ไร่ ลำพูนมี 700 ไร่ แต่เชียงรายกำลังสรรหาที่ดินอยู่ รวมทั้งเงินลงทุนที่จะมาจากการขาย บริษัทย่อยที่เชียงใหม่ คลังสินค้าและคอนโด ว่าจะสำเร็จหรือไม่ มิฉะนั้นจะต้องพึ่งพิงเงินกู้เป็นจำนวนมาก และเกิดดอกเบี้ยจ่าย
คำแนะนำ: เราไม่ได้ทำการวิเคราะห์หลักทรัพย์นี้ (Not Rated) แต่คาดว่าอาจมีการเก็งกำไรในเรื่องที่ว่าจะได้งาน solar และการขายสินทรัพย์ เพราะบริษัทคาดว่าจะสามารถบันทึกกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ามาถึง 50-60 ล้านบาท บริษัทคาดว่าปี 59 จะกลับมามีกำไร เพราะได้บันทึกรายการด้อยค่าที่มากแล้วในปี 58 จะเริ่มมีกำไรจากธุรกิจเทรดดิ้งพัดลม ธุรกิจไฟฟ้าบนหลังคาที่ร่วมทุนกับ WIN 1 MW และมีคอนโดที่ร่วมทุนกับพันธมิตรในนามบ.แลนด์มาร์ค จำกัด ซึ่งปัจจุบันทำคอนโดที่สัตหีบ สำหรับราคาปิดวานนี้เป็น 1.09 บาท ส่วนมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น ณ งวดปี 58 เป็น 0.67 บาท แต่นักลงทุนที่เข้าไปเก็งกำไรควรตระหนักถึงความเสี่ยงว่าจะประมูลโรงไฟฟ้า solar ได้สำเร็จหรือไม่ เพราะมีผู้ประกอบการหลายรายให้ความสนใจในการเข้าไปช่วงชิงงานดังกล่าว
นักวิเคราะห์& กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : Tel 7835 [email protected]