- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 21 October 2015 18:22
- Hits: 2257
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"เลือกซื้อ/ถือต่อ"
Stock Picks-Oct 2015 : Fundamental : AOT, BBL, CK, CPNRF, LPN
Fundamental Pick -Today: RS (ดูรายละเอียดในหน้า 3)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : SPALI 33%
Technical View ภาพตลาดเริ่มเป็นลบเล็กๆ แต่ยังมีโอกาสรีบาวด์ก่อนลงต่ำได้
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1430-1440 ต่ำกว่า 1400
SET50 ซื้อค่าบวก 920-930,940 ต่ำกว่า 910
Technical Picks- Today : SAWAD, JTS, JMART, TOP, CENTEL, WORK, TPAC, RS
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้แกว่งในกรอบแคบ ปิดตลาดลดลง 1.47 จุดที่ 1416.91 โดยการเลือกซื้อหุ้นใกนลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงานบางตัว เช่น PTT, TOP ช่วยพยุงตลาดเอาไว้ นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิอีก 1.1 พันล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิแต่ไม่มาก (ราว 170 กว่าล้านบาท) ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิ
ตลาดหุ้นแกว่งไปตามข่าวรายบริษัท เพราะยังไม่ได้มีปัจจัยใหม่ๆในระดับมหภาคเข้ามา ผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไม่ได้มี Surprise แม้ว่าจะมีดี/แย่กว่าคาดบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย นักลงทุนยังคงเลือกซื้อเก็งกำไรผลประกอบการ 3Q58 และเก็งกำไรหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งในปี 59 ซึ่งเรามองว่ากลุ่มพลังงานทางเลือก, ทีวีดิจิตอล, ธุรกิจวางระบบสื่อสารและโทรคมนาคม, สินเชื่อจำนำ, ท่องเที่ยว เป็นต้น จะมีกำไรเติบโตก้าวกระโดดได้เพราะมาจากฐานที่ขาดทุนหรือกำไรที่ต่ำมาก ส่วนบริษัทที่มีฐานกำไรสุทธิสูงอยู่แล้วจะเติบโตไม่มาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัว ส่วนกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะเป็นการเก็งกำไรตาม Story โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวเปิดประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ หรือชนะประมูลงาน ปัจจัยอื่นๆ ที่ติดตาม คือ ราคาน้ำมันดิบและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ สำหรับหุ้นพื้นฐานที่น่าสนใจแนะนำวันนี้เป็น RS
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แต่ยังไม่ทิ้งโอกาสรีบาวด์ก่อนลงต่ำ การซื้อใหม่ก็แนะนำให้ตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1430-1440, 1450 จุด ค่าลบ/ต่ำกว่า 1400 จุด ดูไม่ดี ควรลดพอร์ตตาม สำหรับผลการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสทำ New High โดยสามารถเลือกซื้อเก็งกำไรระยะสั้น (แต่ไม่บวกไม่เล่น) ที่เข้ามาใหม่ คือ LPN, DEMCO, RS, SAWAD ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วสามารถถือต่อหรือพิจารณา Take Profit เมื่อราคาปรับขึ้นต่อ ได้แก่ HMPRO, ANAN, IFEC, CWT, TOP, JMART หุ้นที่หลุด List คือ NCH, CBG
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
สหรัฐ : ประธานเฟดไม่ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติม ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่กรุงวอชิงตันในต้นสัปดาห์นี้ โดยนางเยลเลนได้กล่าวถึงบทบาทที่สำคัญของสำนักงานสถิติแรงงาน แต่ไม่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐหรือนโยบายการเงิน
+ สหรัฐ : ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านพุ่งขึ้น 6.5% ในเดือนก.ย. สู่ระดับ 1.21 ล้านยูนิต ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 1.15 ล้านยูนิต
- สหรัฐ : เรดบุ๊ค รีเสิร์ช เปิดเผยดัชนีค้าปลีก -0.1%MoM ช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนต.ค.58 ซึ่งแย่กว่าเป้าหมายที่ +0.1% ด้านยอดขายที่มีการปรับค่าตามฤดูกาล +1.2%YoY ต่ำกว่าตัวเลขเป้าหมายที่ +1.5% ทั้งนี้ดัชนีค้าปลีกจอห์นสัน เรดบุ๊ค ทำจากยอดขายของร้านค้าที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลดลงเล็กน้อย โดยดัชนี DJIA อ่อนลง 13.43 จุด เนื่องจากมีแรงกดดันจากผลดำเนินงานของบจ. ทั้งนี้ ไอบีเอ็มเปิดเผยรายได้ลดลงต่อเนื่องกัน 14 ไตรมาส แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดมีปัจจัยหนุนจากตัวเลขภาคที่อยู่อาศัยที่ดีเกินคาด และผลกำไรของบางบริษัท เช่น เวอไรซอน, ยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์, แคทเทอร์พิลลาร์, โดเวอร์ คอร์ป ออกมาดีเกินคาด
ราคาน้ำมันแกว่งในกรอบแคบ ปิดตลาดสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบพ.ย.ลดลง 34 เซนต์ ปิดที่ 45.55 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ ปิดที่ 48.71 ดอลลาร์/บาร์เรล นักลงทุนจับตาดูสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐที่จะรายงานออกมา ซึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด ส่วนรายงานสัปดาห์นี้ประเมินไว้ว่าจะเพิ่ม 3.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งต้องดูว่าออกมาจริงเป็นไปอย่างที่คาดการณ์หรือไม่ นอกจากนั้นยังติดตามผลการประชุมกลุ่มโอเปกและตัวแทนนอกกลุ่มโอเปกวันที่ 4 ธ.ค.นี้ ที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย ในเบื้องต้นคาดว่ากลุ่มโอเปกจะไม่ปรับเปลี่ยนแผนการผลิตน้ำมันดิบ แม้ว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม (ปัจจุบันกลุ่มมีนโยบายการผลิตที่ 30 ล้านบาร์เรล/วัน)
/+ ราคาทองคำขยับขึ้น โดยสัญญาตลาด COMEX ส่งมอบธ.ค.เพิ่ม 4.7 ดอลลาร์ ปิดที่ 1177.50 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+ กลุ่มพลังงาน : PTT ลงนามนำเข้า LNG จากปิโตรนาส มาเลเซียราว 1 ล้านตัน/ปี เพื่อเสริมความมั่นคงด้านพลังงานและรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน PTT มีสัญญานำเข้า LNG ระยะยาวจากการ์ต้า 2 ล้านตัน/ปี และจาก Shell Eastern Trading (PTE) LTD & BP Singapore PTE. Limited อีกรายละ 1 ล้านตันต่อปี รวมแล้ว 4 ล้านตัน/ปี ขณะที่ PTT ผลิตก๊าซ LNG ระยะแรกมาบตาพุดอยู่ 5 ล้านตัน/ปี และจะขยายระยะที่ 2 เพิ่มอีก 5 ล้านตัน/ปี และระยะที่ 3 เพิ่มอีก 5 ล้านตัน/ปี
KBANK : กำไรสุทธิ 3Q58 เป็นไปตามคาด โดยเท่ากับ 1.0 หมื่นล้านบาท ลดลง 12%QoQ และ 19%YoY เนื่องจากตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามระดับของ NPL Ratio ที่ปรับเพิ่มขึ้นสู่ 2.62% ในสิ้นก.ย.58 จาก 2.39% และ 2.24% ในสิ้นมิ.ย.58 และสิ้นปี 57 ตามลำดับ ด้าน Coverage Ratio สิ้นก.ย.58 เท่ากับ 131.6% ลดลงจากสิ้น 2Q58 และสิ้นปี 57 ที่ 138.1% และ 141.4% ตามลำดับ ด้าน CAR แข็งแกร่งที่ 17.73% (เป็นขั้นที่ 1 เท่ากับ 14.61%)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เรายังให้ KBANK เป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แม้ว่าธนาคารจะมีฐานสินเชื่อ SME ที่ใหญ่ แต่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าคุณภาพดี รวมถึงบริหารจัดการ NPL ได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้การเพิ่มขึ้นของ NPL ไม่ได้รุนแรง ขณะเดียวกันมีโครงสร้างรายได้ที่สมดุลระหว่างรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ทำให้มี ROE สูง ธนาคารประเมินว่าระดับ NPL Ratio สูงสุดน่าจะอยู่ที่ 2.7-2.8% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่สูงมาก ฝายวิจัยฯ DBS ยังคงคำแนะนำซื้อ โดยให้ราคาพื้นฐาน 220 บาท
BBL : กำไรสุทธิ 3Q58 อยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท ดีกว่าคาดเล็กน้อย โดยกำไรสุทธิดังกล่าวเพิ่มขึ้น 13%QoQ แต่ลดลง 5%YoY ด้านสินเชื่อ 3Q58 เติบโตเพียง 1.1%QoQ เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ธนาคารพยายามหารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยและควบคุมต้นทุนดำเนินงานเพื่อให้มีกำไรในระดับดี (ซึ่งใน 3Q58 มีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ามาช่วยหนุน) ส่วน NPL Ratio ณ สิ้นก.ย.58 เท่ากับ 2.8% สูงขึ้นจาก 2.5% ในสิ้นมิ.ย.58 นับว่าไม่ได้เพิ่มรุนแรง ด้าน CAR สิ้นก.ย.58 เท่ากับ 18.6% (ขั้นที่ 1 เท่ากับ 16.6%)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เราชอบ BBL ที่มีความมั่นคง และยังไม่เห็นความเสี่ยงที่จะเกิด NPL จากลูกค้ารายใหญ่ ธนาคารมีเงินลงทุนที่สามารถใช้บริหารผลประกอบการให้มีเสถียรภาพได้ งบดุลแข็งแกร่ง รวมทั้งมีธุรกิจต่างประเทศช่วยสนับสนุนด้วย ด้าน Valuation ก็จูงใจ โดยราคาปัจจุบัน 166 บาท ซื้อขายที่ P/BV ปีนี้ที่ 0.87 เท่า แนะนำซื้อลงทุน ฝ่ายวิจัยฯ DBS ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 198 บาท เทียบเท่ากับ P/BV ปีนี้ที่ 1.04 เท่า
BBL : Trailing P/BV
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
[email protected]
Update อุตสาหกรรม & หุ้นในเชิงกลยุทธ์
#ตลาดประกาศหลักทรัพย์ที่ติด Trading Alert เพิ่มเติม
เป็นระดับที่ 1 เริ่มใช้ cash balance ตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค.-10 พ.ย. 58 ได้แก่ FVC, FVC-W1, UREKA, UREKA-W1 โดยทั้งสองบริษัทได้ชี้แจงต่อตลาดฯแล้วว่า ยังไม่มีพัฒนการสำคัญใดๆ
ความเห็น: ปกติแล้วการเก็งกำไรจะลดลง เมื่อต้องใช้บัญชีเงินสดเท่านั้นในการซื้อ (cash balance) แต่ก็ไม่เป็นกับทุกหลักทรัพย์ หากกระแสความนิยมในการเก็งกำไรยังมีอยู่ แม้ต้องใช้บัญชีเงินสดในการซื้อ ก็ไม่เป็นอุปสรรค สำหรับระยะเวลาการบังคับใช้เป็นเพียง 3 สัปดาห์ จะน้อยกว่าหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ตอนปลายสัปดาห์ที่ติดถึง 6 สัปดาห์
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : Tel 7835
[email protected]
# กลุ่มทีวีดิจิตอล...แนวโน้มเติบโตสูงในปี 59
มีโอกาสที่ทีวีดิจิตอลจะเพิ่มอัตราค่าโฆษณา หลังจากเรทติ้งการชมรายการดีขึ้นเป็นลำดับ เราคาดว่าอัตราการค่าโฆษณาในปี 59 ของทีวีดิจิตอลมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้ 5,000-10,000 บาท/นาที จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 2-3 หมื่นบาท/นาที
คาดรายได้และกำไรของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 59 แม้ว่าเม็ดเงินที่ใช้ในการโฆษณาทั้งระบบจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากก็ตาม (เป็นการแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากผู้ประกอบการดั้งเดิม คือ ช่อง 3, 5, 7, 9 ซึ่งมีอัตราค่าโฆษณาสูงกว่ามาก)
หุ้นเด่นคือ RS, WORK ซึ่งมีจำนวนผู้ชมรายการผ่านทีวีดิจิตอลมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีเรทติ้งเป็นอันดับต้นๆ ของทีวีดิจิตอล โดย WORK สามารถขึ้นมาอยู่ใน Ranking ที่คู่คี่กับทีวีดั้งเดิมได้ด้วย
ในระยะสั้นราคาหุ้น RS ดูมี Upside มากกว่า WORK โดยในส่วนของ RS นักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรสุทธิปี 59 จะเติบโตกว่าเท่าตัว แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน Consensus อยู่ที่ 13.5 บาท มี Upside จากราคาปิดเมื่อวานที่ 12.20 บาทอยู่ 11% ส่วน WORK คาดการณ์ว่ากำไรปี 59 จะขยายตัว 40-50% แต่ราคาหุ้นในตลาดเต็มมูลค่าเมื่อเทียบกับราคาพื้นฐานของนักวิเคราะห์
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค [email protected]