- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 08 October 2015 17:17
- Hits: 897
บล.ซีไอเอ็มบี : Thailand Trading Picks(AM)
Technical highlights
SET Index : เสี่ยงถูกขายทำกำไรที่ 1400
ทิศทางตลาด : SET Index ปิดที่ 1393.66 จุด เพิ่มขึ้น 22.97 จุด มูลค่าการซื้อขาย 49,807 ล้านบาท ตลาดเมื่อวานปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่ 1400 จุด หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิคทะลุผ่านแนวโน้มลงที่ 1375 จุดขึ้นมาได้
Daily: ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่ 1400 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมของการปรับตัวเพิ่มขึ้นในรอบที่ผ่านมา ถ้าสามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1425-1430 จุดตามกรอบแนวโน้มขาขึ้นเป็นเป้าหมายขายทำกำไร อย่างไรก็ดี การปรับตัวเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างเร็วในระยะสั้น อาจะมีแรงขายทำกำไรออกมาที่บริเวณ 1400 จุด และมีแนวรับที่ 1380-1385 จุด
กลยุทธ์ :SET Index มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านที่ 1400 จุด หลังจากทะลุผ่านแนวโน้มขาลงที่ 1375 จุดขึ้นมาได้ แต่ในระยะสั้นการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบระดับ 1400 จุด อาจมีแรงขายทำกำไรออกมาในระยะสั้น ถ้าสามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1425-1430 จุด
Most Active Value : แนวรับ แนวต้าน
PTT แนวต้านสำคัญ 270-274 ถ้าทะลุผ่านขึ้นไปได้ เป้าหมาย 293 หรือ 297 267 / 265 270 / 274
PTTEP สัญญาณซื้อ แนวโน้มขึ้นทดสอบ 80.00 และ 81.00 76.50 / 76.00 78.00 / 80.00
ORI มีโอกาสฟื้นตัวที่แนวรับ 8.90 แนวต้าน 9.10 และ 9.40 เป็นจังหวะขาย 8.90 / 8.60 9.10 / 9.20
JAS แนวโน้มขึ้นทดสอบ 6.00 แนวรับ 5.50 5.50 / 5.40 5.60 / 5.70
PTTGC สัญญาณซื้อ แนวโน้มขึ้นทดสอบ 63.00 แนวรับสำคัญ 60.00 60.50 / 60.00 62.00 / 63.00
ADVANC แนวโน้มลงทดสอบ 208-210 แนวต้าน 226-228 224 / 220 226 / 228
SCC สัญญาณฟื้นตัว แนวโน้มขึ้นทดสอบ 500-504 484 / 480 496 / 500
KBANK สัญญาณฟื้นตัว แนวโน้มขึ้นทดสอบ 183-185 177 / 175 180 / 182
TIPCO ทดสอบแนวต้าน 20.00 แนวรับสำคัญ 18.40 19.00 / 18.60 20.00 / 20.40
JWD แนวต้านสำคัญ 14.30 แนวรับ 13.50 และ 13.00 13.50 / 13.00 14.00 / 14.20
Total Access Communication (DTAC TB; THB 56.75) - ซื้อ
แนวต้าน : 60.00 และ 61.50
แนวรับ : 56.50 และ 55.50
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคซื้อทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่อง แต่เครื่องมือทางเทคนิคเกิดสัญญาณขัดแย้งในเชิงบวกต่อเนื่อง
MACD ปรับตัวลดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยในแดนลบ เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มลงเคลื่อนไหวเหนือแนวโน้มขึ้น RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 30
แนะนำซื้อ DTAC โดยมีแนวรับที่ 56.50 และ 55.50 และมีแนวต้านที่ 60.00 และ 61.50 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 54.00 ลงไป
Samart Telcoms (SAMTEL TB; THB 21.50) - ซื้อ
แนวต้าน : 22.50 และ 23.00
แนวรับ : 21.50 และ 21.20
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง หลังจากเคลื่อนไหวออกด้านข้างเพื่อสร้างฐานจากการฟื้นตัวที่ค่อนข้างแรง ทำให้แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นเคลื่อนไหวเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 60
แนะนำซื้อ SAMTEL โดยมีแนวรับที่ 21.50 และ 21.20 และมีแนวต้านที่ 22.50 และ 23.00 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 20.50 ลงไป
Analysts :
Teerasak Tanavarakul +662 657-9231 - [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)
SET...ทยอยขายทำกำไรระยะสั้นเมื่อดัชนีใกล้แนวต้าน 1400 จุด
เมื่อวานนี้ตลาดปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 โดยปิดบวกไป 22.97 จุดหรือ +1.68% โดยมีปริมาณการซื้อขายคึกคัก 49,563 ล้านบาท นำโดยหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ได้อานิสงค์จากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นแรง 4.9% ส่งผลให้ราคาหุ้น PTTEP +10.04%, PTTGC +7.96% และ PTT +5.93% โดยนักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 อีก 1,119 ล้านบาท จากวันก่อนที่ซื้อสุทธิไป 1,210 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่าในช่วงสั้น (จากการที่ค่าเงินดอลลาร์พลิกกับมาอ่อนค่าลง) หลังจากที่ตลาดคลายความกังวลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐว่าอาจเลื่อนออกไปเป็นปีหน้าเนื่องจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรล่าสุดประกาศออกมาอ่อนแอและต่ำกว่าที่ตลาดคาดมาก รวมถึงการที่ IMF มีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลง ก็ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าเฟดจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้และจีนอาจมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อรักษาระดับการเติบโตของ GDP ที่ 7.0% หลัง IMF คาด GDP ในปีนี้ของจีนจะเติบโตแค่ 6.80% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 25 ปี และ 6.30% ในปีหน้า
เมื่อคืนนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 0.72 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 1.5% ปิดที่ 47.81 ดอลลาร์/บาร์เรล แม้ว่าระหว่างวันจะปรับขึ้นไปถึงระดับ 49.7 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ก็ถูกแรงขายทำกำไรลงมาหลังจากที่ EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 3.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 461 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน และปรับตัวขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ ข้อมูลของ EIA ยังระบุว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 76,000 บาร์เรล สู่ระดับ 9.172 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ EIA คาดการณ์ว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐโดยเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ 9.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ 8.8 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2559 จากผลดังกล่าวบวกกับค่าเงินดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่าเล็กน้อยเช้านี้ ทำให้เราประเมินว่าราคาหุ้นกลุ่มพลังงานที่เมื่อวานนี้ปรับตัวขึ้นแรง จะเผชิญกับแรงขายทำกำไรออกมาในวันนี้ แต่คาดว่าจะปรับตัวลงไม่มากนักเนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันยังคงทรงตัวในระดับสูงกว่า 45 ดอลลาร์/บาร์เรลได้และมีแนวโน้มจะปรับขึ้นต่อไปทดสอบระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล ในไตรมาส 4 ที่เป็นช่วงฤดูกาลที่มีความต้องการใช้น้ำมัน Heating oil เพิ่มขึ้น หากราคาหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีมีการปรับฐานลงมาเราแนะนำ ทยอยสะสม TOP และ PTTGC
หลังการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm payroll) ในเดือนก.ย. ของสหรัฐเมื่อวันศุกร์ ออกมาเพิ่มขึ้นเพียง 142,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปเป็นปีหน้า ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลง ทำให้ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นจากระดับ 36.40 บาท/ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์มาอยู่ที่ 35.88 บาท/ดอลลาร์เมื่อวานนี้ เมื่อบวกกับความคาดหวังว่าจีนจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มก็ทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ปลอดภัยเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยจะเห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี (Bond Yield) ปรับขึ้นจาก 1.9929 ในวันศุกร์มาอยู่ที่ 2.0668 เมื่อวานนี้, ดัชนีวัดความผันผวนของตลาด (VIX Index) ปรับลดลงจากระดับ 21.0 ลงมาเหลือ 18.40 และตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า โดย Fund flow ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือนนี้ นำโดยตลาดไต้หวัน +239 ล้านเหรียญ, อินเดีย +221 ล้านเหรียญ, เกาหลีใต้ +168 ล้านเหรียญ, อินโดนีเซีย +90 ล้านเหรียญและไทย +67 ล้านเหรียญ เราประเมินว่าหากค่าเงินดอลลาร์ยังอ่อนค่าลงต่อในระยะสั้นก็จะหนุน fund flow ให้กลับเข้าซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ แต่หากค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าก็จะมีแรงขายส่งผลให้ fund flow ไหลออกได้เช่นกัน
จากการที่นักลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 บวกเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าในช่วงสั้น ทำให้เราคาดว่านักลงทุนต่างประเทศจะยังกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องในระยะสั้นนี้ ดังนั้นเราจึงทำการศึกษาดูหุ้นใน SET50 ซึ่งคาดว่าจะเป็นเป้าหมายในการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ โดยหากพิจารณาราคาหุ้นในช่วง 1 เดือนที่ปรับลดลงมากที่สุด 10 ลำดับแรกประกอบไปด้วย DTAC (-16.3%), WHA (-9.3%), SCC (-6.3%), ROBINS (-5.6%), ADVANC (-5.5%), pTTEp (-5.1%), BH (-4.9%), INTUCH (-4.9%), BA (-4.9%), HMpRO (-4.2%) ซึ่งหากวิเคราะห์จากข้อมูลดังกล่าว บวกปัจจัยพื้นฐานและ upside จากราคาที่เหมาะสมของเรา เราแนะนำซื้อ SCC (มี upside 35% จากราคาเป้าหมายที่ 659 บาท), ADVANC (มี upside 23% จากราคาเป้าหมาย 278 บาท) และ INTUCH (มี upside 17% จากราคาเป้าหมาย 86 บาท) เพื่อเก็งกำไรการกลับเข้าซื้อของนักลงทุนต่างประเทศและการทำ short covering กลับในระยะสั้นนี้
กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ เราแนะนำให้ทยอยขายทำกำไรที่ระดับดัชนี 1400 +/- หากดัชนีปรับตัวขึ้นต่อตามการฟื้นตัวของตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเรายังไม่มั่นใจว่า fund flow ของนักลงทุนต่างประเทศจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องในระยะยาวเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังชะลอตัว, การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง (มีโอกาสที่ตลาดอาจกลับมากังวลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ได้อีก) และเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัวโดยเฉพาะจีนน่าจะกลับมากดดันการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในอนาคต ดังนั้นเราแนะนำนักลงทุนซื้อขายโดยพิจารณาค่าเงินบาทเป็นสำคัญ หากค่าเงินบาทแข็งค่าต่อก็คาดว่าตลาดจะปรับขึ้นต่อได้แต่หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุ 36 บาท/ดอลลาร์ ต้องระมัดระวังแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศที่อาจกดให้ตลาดกลับมาปรับลดลงได้ สำหรับการเก็งกำไรระยะสั้น เราแนะนำหุ้นกลุ่ม ICT อย่าง ADVANC และ INTUCH ที่จะได้ประโยชน์จากข่าวการเร่งประมูล 4G วันนี้เราให้แนวรับที่ 1380-1388และแนวต้านที่ 1400-1410 จุด
Analysts :
Kitichan Sirisukarcha, CFPR, +662 657-9232 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(AM)
Investment Strategy
กลยุทธ์: กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ เราแนะนำให้ทยอยขายทำกำไรที่ระดับดัชนี 1400 +/- หากดัชนีปรับตัวขึ้นต่อตามการฟื้นตัวของตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเรายังไม่มั่นใจว่า fund flow ของนักลงทุนต่างประเทศจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องในระยะยาวเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังชะลอตัว, การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง (มีโอกาสที่ตลาดอาจกลับมากังวลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ได้อีก) และเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัวโดยเฉพาะจีนน่าจะกลับมากดดันการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในอนาคต ดังนั้นเราแนะนำนักลงทุนซื้อขายโดยพิจารณาค่าเงินบาทเป็นสำคัญ หากค่าเงินบาทแข็งค่าต่อก็คาดว่าตลาดจะปรับขึ้นต่อได้แต่หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุ 36 บาท/ดอลลาร์ ต้องระมัดระวังแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศที่อาจกดให้ตลาดกลับมาปรับลดลงได้ สำหรับการเก็งกำไรระยะสั้น เราแนะนำหุ้นกลุ่ม ICT อย่าง ADVANC และ INTUCH ที่จะได้ประโยชน์จากข่าวการเร่งประมูล 4G วันนี้เราให้แนวรับที่ 1380-1388 และแนวต้านที่ 1400-1410 จุด
Themes play :
ADVANC : เราแนะนำซื้อ ADVANC โดยมีราคาเป้าหมาย 278 บาท จากข่าววันนี้ที่ทาง กสทช. กำลังเตรียมประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 2 ใบอนุญาตในวันที่ 11 พ.ย. และเร่งประมูลคลื่นความถี่ย่าน 900 เมกะเฮิรตซ์ ให้เร็วขึ้นจากเดิมกำหนดวันที่ 15 ธ.ค. เพื่อเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดย AIS ต้องการใบอนุญาตสองฉบับ ทั้งความถี่ 1800MHz และ 900MHz ซึ่งบริษัทมีแผนจะให้บริการ 4G บนย่านความถี่ 1800MHz ขณะที่ให้บริการระบบ 2G และ 3G บนความถี่ 900MHz นอกจากนี้ บริษัทเชื่อว่า DTAC และ True จะไม่ยอมให้มีผู้เล่นรายที่สี่เข้าสู่ตลาดและน่าจะเสนอราคาที่ทำให้ Jasmine ไม่สามารถแข่งขันได้ ดังนั้น AIS จึงเชื่อว่าการแข่งขันหลังการประมูลความถี่น่าจะมีสมดุลมากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการจะมีโครงสร้างต้นทุนใกล้เคียงกัน รวมทั้งมีแบนด์วิธเพียงพอสำหรับการให้บริการ 3G และ 4G เต็มรูปแบบ ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับสมมติฐานของเรา และหาก AIS สามารถชนะประมูลใบอนุญาตความถี่สองฉบับ (2x15MHz ของความถี่ 1800MHz และ 2x10MHz ของความถี่ 900MHz) เราเชื่อว่าบริษัทจะสามารถชิงตำแหน่งผู้นาด้านโครงข่ายคืนจาก True รวมทั้งช่วยให้มีส่วนแบ่งตลาดรายได้เพิ่มขึ้น
ประเด็นในสัปดาห์
9 ต.ค. : สหรัฐประกาศตัวเลข Wholesales Inventories MoM เดือนส.ค. โดยตลาดคาด +0.0% จากเดือนก่อนหน้าที่ -0.1%
13 ต.ค. : จีนประกาศตัวเลข Export YoY เดือนส.ค. โดยตลาดคาด -7.0% จากเดือนก่อนหน้าที่ -5.5%
14 ต.ค. : ยุโรปประกาศตัวเลข Industrial production MoM เดือนส.ค. จากเดือนก่อนหน้าที่ 0.6%
14 ต.ค. : จีนประกาศตัวเลข CPI YoY เดือนก.ย. โดยตลาดคาด +1.9% จากเดือนก่อนหน้าที่ +2.0%
14 ต.ค. : สหรัฐประกาศตัวเลข Retail Sales in Advance MoM เดือนก.ย. โดยตลาดคาด +0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่ 0.2%
Fundamental Stock :
PTT : COMPANY NOTE - SPRC จะกลายเป็น upside ในระยะสั้น (คำแนะนำ : ถือ ราคาเป้าหมาย 269 บาท)
Technical Pick :
กลยุทธ์ : SET Index SET Index มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านที่ 1400 จุด อาจมีแรงขายทำกำไรออกมาในระยะสั้น
Total Access Communication (DTAC TB; THB 56.75) - ซื้อ
Samart Telcoms (SAMTEL TB; THB 21.50) - ซื้อ
SET Index : เสี่ยงถูกขายทำกำไรที่ 1400
Retail Research Team