- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 07 October 2015 16:57
- Hits: 1001
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
SET ยังขึ้นต่อได้แต่ก็มีสิทธิผันผวนและอ่อนตัว จึงน่าซื้ออ่อน…
กลยุทธ์ : หลัง SET รีบาวด์ขึ้นมาพอควรแล้วทำให้มีสิทธิแกว่งพักตัวลงก่อนได้ แต่คาดกรอบปรับตัวยังจำกัดและลุ้นขึ้นต่อได้อีกช่วงหน้า ดังนั้นถ้าจะเลือกหุ้นซื้อเพิ่มให้รอทยอยซื้อช่วง SET อ่อนตัว แต่ซื้อแล้วน่าเน้นถือต่อเนื่อง
หุ้นเด่นทางเทคนิค : ITD, KCE, SAWAD(short)
แนวโน้ม : แม้ว่า SET จะยังรีบาวด์ขึ้นต่อวานนี้ แต่ก็เริ่มแกว่งตัวผันผวนและอ่อนตัวลงในระหว่างวัน จากแรงขายทำกำไรระยะสั้นที่มีออกมากดดันมากขึ้นหลังดัชนีดีดขึ้นมาแรงพอควรในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ขณะที่เช้านี้ตลาดหุ้นเอเชียเริ่มเปิดปรับตัวลงกันหลายแห่ง เพราะแม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนนี้จะยังปิดเป็นบวกได้ แต่ก็เป็นการย้อนลงมาปิดบวกเพียงเล็กน้อย จากช่วงต้นชั่วโมงที่ดัชนีดาวโจนส์ขยับบวกขึ้นไปก่อนถึงเกือบ 100 จุด เนื่องจาก IMF ได้มีการปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีนี้ลง รวมทั้งตัวเลขยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐยังพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือนกดดันด้วย ทำให้ FSS คาดว่า SET มีโอกาสที่จะมีรอบปรับพักตัวลงก่อนได้ในเร็วๆ นี้ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ซื้อในลักษณะไล่ราคาช่วงบวกมากนัก อย่างไรก็ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกก็ทำให้นักลงทุนยังค่อนข้างวางใจว่าเฟดน่าจะยังไม่ขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วนัก และการพุ่งขึ้นถึงเกือบ 5% ของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ก็น่าจะช่วยหนุนราคาหุ้นกลุ่มพลังงานได้บ้าง ทำให้เรายังเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว SET จะยังขยับขึ้นต่อและผ่านขึ้นไปหาจุดสูงสุดของรอบล่าสุดแถว 1400 จุดที่เกิดในเดือน ก.ย.หรือเข้าใกล้ระดับดัชนีเป้าหมายตามพื้นฐานของปีนี้ที่เราประเมินไว้ที่ 1450 จุดได้ SET อ่อนตัวจึงยังน่าเลือกหุ้นซื้อ
แนวรับ 1368-1365 , 1363-1358 จุด
แนวต้าน 1372-1374 , 1377-1380 จุด
Fund Flow วานนี้กระแสเงินไหลเข้าภูมิภาคหนาแน่น US$277 ล้าน ไหลเข้าทุกประเทศยกเว้นเวียดนาม เม็ดเงินไหลเข้าเกาหลีและไต้หวันมากที่สุดที่ US$113.7 ล้าน และ US$69.4 ล้าน ตามลำดับ สำหรับกลุ่ม TIP ไหลเข้ารวม US$94 ล้านโดยเป็นการไหลเข้าไทยมากที่สุด US$69.4 ล้าน กระแสเงินทุนไหลกลับมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงหลังคาดการณ์ Fed จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ แต่การปรับลดคาดการณ์ GDP โลกของ IMF สู่ระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2009 อาจส่งผลต่อทิศทางของกระแสเงินทุนให้ผันผวนขึ้นอีก
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(+) บรรยากาศการลงทุนสดใสเพราะคาดหวัง Fed ยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ และ ECB, BOJ อาจมี QE เพิ่ม ตลาดจับตาการประชุม BOJ วันที่ 2 ซึ่งจะเสร็จสิ้นวันนี้ รวมถึงการประชุม ECB พรุ่งนี้ ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจของญี่ปุ่นและยูโรโซนที่ยังอ่อนแอและเงินเฟ้อต่ำ แต่ค่าเงินเยนและยูโรกำลังถูกกระทบจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ทำให้ตลาดคาดหวังว่า ECB และ BOJ อาจมี QE เพิ่มเติม ความหวังที่จะมี QE ทำให้เกิดแรงเก็งกำไรในหุ้น Commodity โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นโลกยังไม่พ้นความเสี่ยง พรุ่งนี้ตลาดหุ้นจีนจะกลับมาเปิดเทรด และอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าจีนจะรายงาน GDP 3Q15 ซึ่งมีแนวโน้มแย่ลง ขณะที่ปลายเดือนนี้มีการประชุม Fed รออยู่
(0) ADVANC แจ้งว่า CFO (คุณพงษ์อมร นิ่มพูลสวัสดิ์) ลาออก มีผล 31 ธ.ค. แม้จะเป็นตำแหน่งสำคัญแต่เราเชื่อมั่นว่าไม่มีผลกระทบกับบริษัท เพราะ ADVANC เป็นองค์กรที่เดินด้วยตัวระบบ ไม่ได้ขึ้นกับตัวบุคคล ส่วนราคาหุ้นที่ปรับลงมานับตั้งแต่มีข่าวว่าบริษัทต้องจ่าย 7 หมื่นล้านบาทให้ TOT กรณีแก้สัมปทาน ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของอนุญาโตตุลากาล เราคาดว่าจะใช้เวลาเป็นปีกว่าจะรู้ผล ล่าสุดมีประเด็นเรื่องกรรมสิทธิ์ของเสา ที่ผู้บริหาร TOT บางท่านต้องการให้โอนเสาสัมปทาน 13,197 ต้นให้ TOT แทนที่จะตั้ง JV ร่วมกันกับ ADVANC เพื่อให้เช่าใช้โครงข่าย เราเชื่อว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะได้ข้อสรุปที่ดี แต่ถ้าในกรณีแย่ ADVANC โอนเสาสัมปทานให้ TOT และกลับไปเช่าเสา จะต้องเสียค่าเช่าเพิ่มปีละกว่า 2 พันล้านบาท เมื่อรวมกับค่าปรับ 7 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 24 บาท/หุ้น ขณะที่หุ้นปรับลงมาแล้ว 25 บาท สะท้อนแล้ว เรายังคิดว่าเป็นโอกาสในการสะสม โดยยังคงราคาเป้าหมายปีหน้า 310 บาท
(+) EPG พรุ่งนี้บริษัทจะพานักวิเคราะห์ไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตฉนวนยาง ชิ้นส่วนรถยนต์ และศูนย์วิจัยของบริษัทที่จ.ระยอง EPG เป็นหนึ่งไม่กี่บริษัทในไทยที่ลงทุนทางด้าน R&D และสามารถสร้างสินค้าให้มีความแตกต่างจากคู่แข่ง ทำให้รักษาการเติบโตได้แม้ในยามเศรษฐกิจขาลง เราคาดกำไรสุทธิ 2Q16 (ก.ค.- ก.ย. 2015) ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง +10% Q-Q, +124% Y-Y นอกจากนี้ EPG ยังได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และต้นทุนเม็ดพลาสติกที่จะยังอยู่ในระดับต่ำไปจนถึงปีหน้าเป็นอย่างน้อย ยังคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 12 บาท
(0) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากภาวะตลาดที่ผันผวน หลัง IMF ปรับลดคาดการณ์การขยายตัว GDP โลกปีนี้ รวมถึงยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐที่พุ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี
(+) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการจากนักลงทุนมีมุมมองเป็นบวกว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศเดินหน้าใช้นโยบายการเงินต่อไป
(0) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ปรับตัวในกรอบแคบตามตลาดหุ้นสหรัฐฯหลังจากพุ่งขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2 วันก่อนหน้า
(0) ค่าเงินบาทแกว่งทรงตัว ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 36.20-36.36 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ย. ปิดที่ 48.53 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 2.27 ดอลลาร์/บาร์เรล หลัง EIA ระบุว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลดลงในเดือน ก.ย. และคาดการณ์ว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐจะปรับตัวลดลงไปจนถึงช่วงกลางปี 2016ราคาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปิดที่ 1,146.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ขยับขึ้น 8.80 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนยังมีมุมมองว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ย. ที่ออกมาน่าผิดหวัง และสถานการณ์เศรษฐกิจโลก อาจทำให้ FED ยังไม่ตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
1-7 ต.ค. - จีน: ตลาดการเงินปิดทำการ เนื่องในวันชาติ
7-ต.ค. - ไทย: ORI เริ่มเทรด (ราคา IPO 9 บาท)
- ญี่ปุ่น: ธนาคารกลาง (BOJ) ประชุม
8-10 ต.ค. - ประชุม World Bank-IMF ที่ประเทศเปรู
8-ต.ค. - สหรัฐ: ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์
- อังกฤษ: ธนาคารกลาง (BOE) ประชุม
- ยูโรโซน: ธนาคารกลาง (ECB) ประชุม
9-ต.ค. - ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และไต้หวัน ปิดทำการ
- สหรัฐ: รายงาน Fed Minutes ของวันที่ 16-17 ก.ย.
10 ต.ค. - จีน: ยอดสินเชื่อเดือน ก.ย.
12 ต.ต. - ไทย: TISCO ประกาศผลประกอบการ 3Q15
- สหรัฐ: ตลาดการเงินปิดทำการ เนื่องในวัน Columbus Day
13-ต.ค. - ไทย: SCI เริ่มเทรด (ราคา IPO 5.90 บาท)
- จีน: ดุลการค้า (ก.ย.)
- ยูโรโซน: ZEW Survey Expectations (ต.ค.)
14-ต.ค. - ตลาดหุ้นมาเลเซีย และอินโดนีเซียปิดทำการ
Contact person : Somchai Anektaweepon Register : 002265 Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch