- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 01 October 2015 18:00
- Hits: 2610
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ยังควรระวังการแกว่ง
Stock Picks-Oct 2015 : Fundamental : AOT, BBL, CK, CPNRF, LPN
Fundamental Pick -Today: AOT
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : M 45%, AAV 20%, LH 15%, DTAC 13%, HMPRO 12%
Technical View ภาพตลาดค่อนไปทางลบ และควรระวังการแกว่งลง
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1360-1370 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 880,900 ค่าลบ
Technical Picks- Today : ANAN, SAMTEL, NUSA, SIM, CENTEL, STAR, TIPCO, BIGC
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยสิ้นไตรมาส 3/58 ปิดที่ 1349 จุดลดลง 10.3%QoQ และลดลง 9.9%YTD เนื่องจากขาดปัจจัยบวกทางด้านพื้นฐานกระตุ้น นักลงทุนต่างชาติลดพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยจากต้นปีถึงเมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสะสม 1.08 แสนล้านบาท สถาบันในประเทศและรายย่อยเป็นกลุ่มที่ซื้อสุทธิสะสม ส่วนพอร์ตบล.ขายสุทธิสะสมประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท
ตลาดหุ้นสหรัฐ & ยุโรปปรับขึ้นปิดสิ้นไตรมาส 3 แต่ไม่ได้มีปัจจัยบวกใหม่ที่มีนัยสำคัญเข้ามาหนุน ดังนั้นจึงควรระวังการแกว่งหรืออ่อนตัวตามมา ทั้งนี้ตลาดหุ้นมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัว วิตกผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยล่าช้า โดยเฉพาะภาคส่งออกที่ถูกกระทบจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าซบเซา (ซึ่งส่งออกคิดเป็น 55-60% ของจีดีพีไทย และส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ SME) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังมีแรงกดดันจากปัญหาการด้อยค่าของคุณภาพสินทรัพย์และการตั้งสำรองค่าเผื่อฯเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาคท่องเที่ยวยังไปได้ดี ธปท.คาดการณ์ว่าปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้น 18.5% และ 22.2% ในปี 58-59 ตามลำดับ นำโดยนักท่องเที่ยวจีน หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อลงทุนวันนี้เป็น AOT สำหรับหุ้น Top Picks ของเดือนต.ค.ยังเน้น Defensive และปันผลสูงซึ่งประกอบด้วย AOT, BBL, CK, CPNRF, LPN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดค่อนไปทางลบ และยังไม่ทิ้งโอกาสที่จะแกว่งลง สำหรับการรีบาวด์จะมีแนวต้านระยะสั้น 1360-1370 จุด การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี อาจหมายถึงการร่วงต่อแบบมีระยะทาง สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี สามารถเลือกซื้อเก็งกำไรระยะสั้น (แต่ไม่บวกไม่เล่น) ได้แก่ ANAN, SAMTEL, NUSA, SIM, CENTEL, STAR, TIPCO, BIGC
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : การจ้างงานภาคเอกชนเพิ่มตามคาด ADP เปิดเผยว่าภาคเอกชนสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
+ สหรัฐ : สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ด้วยคะแนนเนียง 277 ต่อ 151 เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาลหรือชัตดาวน์ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวจะเป็นการให้อำนาจรัฐบาลสหรัฐในการใช้จ่ายงบประมาณตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. จนถึงวันที่ 11 ธ.ค.58
สหรัฐ : เฟดกล่าวว่าอยู่ระหว่างดำเนินการลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นและเป็นภาระกับสถาบันการเงินขนาดเล็ก ที่เฟดกำกับดูแลอยู่ในปัจจุบัน แต่ในการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานเฟดเมื่อคืนนี้ไม่ได้ระบุถึงนโยบายการเงินและทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ
- ยูโรโซน : อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนก.ย.ติดลบครั้งแรกในรอบ 6 เดือน โดยดัชนีราคาผู้บริโภคในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรปรับตัวเป็น -0.1%YoY จาก +0.1%YoY ในเดือนส.ค.58 โดยมาจากราคาพลังงานที่ลดลงถึง 8.9%YoY สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมอาหารและพลังงาน) เป็น +0.9%YoY เท่ากับเดือนก่อนหน้า เงินเฟ้อที่ติดลบทำให้ตลาดกลับมากังวลภาวะเงินฝืดในยูโรโซนอีกครั้ง
เยอรมนี : ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.แผ่วลงจากเดือนก่อนแต่เติบโตได้ YoY และมีแนวโน้มไปได้ดี ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.58 ลดลง 0.4%MoM ซึ่งแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่ดีที่ปรับขึ้นได้ 2.5%YoY แนวโน้มคาดว่าจะไปได้ดี เพราะตลาดแรงงานเยอรมนีแข็งแกร่ง อัตราค่าจ้างแรงงานปรับตัวสูงขึ้น
+ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นแรง โดยดัชนี DJIA พุ่งขึ้น 235.57 จุด (+1.47%) หนุนโดยภาคแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ การคาดการณ์ว่า BOJ ของญี่ปุ่นจะใช้นโยบายผ่อนคลายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป หลังผลผลิตภาคอุตสาหกรรมอ่อนตัวลงในเดือนส.ค.58
ราคาน้ำมันดิบแกว่งแคบ ปิดตลาดสัญญา WTI ส่งมอบพ.ย.ลดลง 14 เซนต์ และ BRENT เพิ่มขึ้น 14 เซนต์ ปิดที่ 45.09 และ 48.37 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ EIA เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบรอบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 457.92 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล
แต่...สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับลงจำกัดเพราะได้รับแรงหนุนจากรายงานของ EIA ที่ระบุว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐในสัปดาห์ก่อนลดลง 40,000 บาร์เรล สู่ระดับ 9.096 ล้านบาร์เรล/วัน
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 11.6 ดอลลาร์ หรือ -1.03% ปิดที่ 1,115.2 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์จากข้อมูลเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่ง
ปัจจัยในประเทศ & Theme เด่น
Wealth Perspective Equity - เดือนตุลา : แกว่งรอข่าวใหม่ โดยในการลงทุนยังคงเน้นลงทุนในหุ้น Defensive & ปันผลสูง
หุ้น Top Picks เดือนก.ย.อ่อนลงน้อยกว่าตลาด โดยหุ้นที่เราเลือก (CK, INTUCH, KBANK, QH, RATCH) ราคาอ่อนตัวลง (Equal Weight) 1.4% จากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ SET Index ร่วงลง 2.4% หุ้น Top Picks ที่ปรับขึ้นสวนตลาด คือ CK, QH, RATCH
ประเมินว่าตลาดหุ้นยังมีปัจจัยหนุน จาก 1) ความหวังว่าเศรษฐกิจปี 59 จะเติบโตในอัตราที่สูงขึ้นจากปีนี้ หลังเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าสู่ระบบตั้งแต่ต้นปี 59 เป็นต้นไป, 2) ภาคท่องเที่ยวของไทยยังไปได้ดี เหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์ส่งผลกระทบจำกัดมาก คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเติบโตได้แข็งแกร่งทั้งในปี 58 และในปี 59, 3) ค่าเงินบาทอ่อนเป็นบวกกับกลุ่มส่งออก แต่เป็นบางบริษัทเพราะบางบริษัทได้รับปริมาณสั่งซื้อ (Order) ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซา การอ่อนค่าของเงินบาทจึงไม่ช่วยมากนัก, 4) ธปท.ประเมินว่าการอ่อนค่าของเงินหยวนคาดว่าจะกระทบกับการส่งออกของไทยจำกัด เนื่องจากสินค้าส่งออกและตลาดส่งออกไม่ได้ทับซ้อนกันมาก และค่าเงินบาทก็อ่อนค่าไปพร้อมๆ กันเงินหยวนเช่นกัน, 5) สินทรัพย์ทางเลือกลงทุนประเภทอื่นให้อัตราผลตอบแทนที่ไม่จูงใจนัก และบางสินทรัพย์มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในการซื้อขายด้วย
สำหรับปัจจัยเสี่ยง/ไม่แน่นอน ประกอบด้วย 1) เศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะภาคการผลิต ที่ชะลอตัวลงมาก กดดันราคาน้ำมัน ถ่านหิน โลหะ ธัญพืช และค่าระวางเรือ ด้านเศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่นก็ฟื้นตัวช้า โดยปัญหาผู้อพยพอาจกดดันเศรษฐกิจยุโรปในระยะต่อไป, 2) ความกังวลเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเข้ามากดดันเป็นระยะๆ เพราะตลาดก็ประเมินผลกระทบต่อตลาดเงินและตลาดทุนได้ไม่แน่ชัดว่าในช่วงเวลาที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยจริงแล้วจะเป็นอย่างไร, 3) มูลค่าส่งออกของไทยยังติดลบต่อเนื่อง โดย 8M58 หดตัว 4.92% และเป็นเดือนที่มูลค่าส่งออกตกต่ำกว่า 1.8 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ (โดยอยู่ที่ 1.77 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ) นับว่าอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด, 4) แนวโน้มกำไร 3Q58 ชะลอตัว QoQ เพราะ a) กลุ่มพลังงานมีขาดทุนในสต็อกหลังราคาน้ำมันดิบร่วงต่อจากวิตกปัญหาอุปทานล้นเกิน และ b) การบริโภคและลงทุนในประเทศฟื้นตัวช้ากว่าคาด และ 5) ปัญหาการเมือง, โรคระบาด, ภัยธรรมชาติ เป็นต้น
ประเมินเป้าหมาย SET Index ทาง Quant Team DBSV Thailand ประเมินค่า Median ของ SET Index ในช่วงที่เหลือของปีนี้อยู่ที่ 1330 จุด และในช่วง 12 เดือนข้างหน้าเท่ากับ 1390 จุด
กลยุทธ์ : เน้นลงทุนในหุ้น Defensive & ปันผลสูง รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ และเกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวที่ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง หลักทรัพย์ Top Picks สำหรับเดือนต.ค.58 ประกอบด้วย AOT, BBL, CK, CPNRF และ LPN
ความเชื่อมั่นทางธุรกิจปัจจุบันยังต่ำ แต่แนวโน้ม 3 เดือนข้างหน้าดีขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนส.ค.58 ทรงตัวต่ำที่ 46.4 ทั้งนี้ดัชนีที่ต่ำกว่า 50 หมายถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงจากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ดัชนีคาดการณ์ใน 3 เดือนข้างหน้าดีขึ้นเป็น 52.1 จากเดือนก่อนที่ 49.9
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
[email protected]
Update อุตสาหกรรมและหุ้นรายบริษัท
AOT (ราคาปิด 281 บาท, ราคาพื้นฐาน 366 บาท-DCF) : ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนเราชอบบริษัท เนื่องจากธุรกิจมั่นคงโดยเป็นผู้ประกอบการสนามบินรายเดียวของไทย และมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเติบโตในปี 58/59 จะมาจากการเปิดให้บริการอาคาร 2 ของสนามบินดอนเมืองในเดือนพ.ย.58 และส่วนของสนามบินภูเก็ตในปี 59 ซึ่งจะทำให้กำลังการรองรับผู้โดยสารของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 83.5 เป็น 95 ล้านคน/ปี และจาก 95 เป็น 101 ล้านคน/ปี หรือเพิ่มขึ้น 14% และ 21% จากปัจจุบัน ตามลำดับ
สำหรับปี 59-60 คาดว่าการเติบโตจะมาจากการเปิดให้บริการอาคาร 3 ของสนามบินดอนเมือง ซึ่งจะช่วยให้กำลังรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นราว 10 ล้านคน/ปี หรืออีก 10% ส่วนในระยะยาว การขยายตัวมาจากการเปิดให้บริการสุวรรณภูมิเฟส 2 ซึ่งมีทั้งหมด 5 สัญญา มูลค่าเงินลงทุนรวม 6.3 หมื่นล้านบาทจะประกาศ TOR ในปลายปี 58 และเริ่มก่อสร้างสัญญาแรกมี.ค.59 และเริ่มก่อสร้างสัญญาสุดท้ายมิ.ย.59 ระยะเวลาก่อสร้างราว 36 เดือน (คาดแล้วเสร็จประมาณ 2Q62) ส่วนนี้จะทำให้บริษัทมีกำลังรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 35 ล้านคน/ปี (จาก 45 ล้านคน/ปีเป็น 80 ล้านคน/ปี)
การเติบโตที่แข็งแกร่งของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 58-59 (ธปท.คาดการณ์จำนวนนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 58 เติบโต 18.5% เป็น 29.4 ล้านคน (จาก 24.8 ล้านคนในปี 57) และขยายตัวอีก 22.2% เป็น 30.3 ล้านคนในปี 59 นอกจากนั้นการเปิด AEC ก็ช่วยกระตุ้นความต้องการใช้สนามบินในระยะยาวด้วย
ฝ่ายวิจัยฯ DBS แนะนำซื้อลงทุน โดยให้ราคาพื้นฐาน 366 บาท (DCF, WACC 12% และ Terminal Growth 3%) ทั้งนี้แม้ว่า Valuation ในเทอม P/E ของบริษัทจะดูสูง (ปี 58-59 อยู่ที่ 25 และ 21 เท่า ตามลำดับ) แต่บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยเป็นเงินสดสุทธิ จึงทำให้ EV/EBITDA อยู่ในระดับที่ยังน่าสนใจลงทุน (ปี 58-59 อยู่ที่ 15 และ 13 เท่า ตามลำดับ)
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
[email protected]
SENA: แจ้งรายละเอียดการเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม (right issue) สัดส่วนหุ้นเดิม 3.335:1 หุ้นใหม่ที่ราคาขาย 2.10 บาทต่อหุ้น XR 12 ต.ค.58 จ่ายเงิน 3-9 พ.ย.58
ความเห็น: เป็นไปตามคาดทั้งในเรื่องสัดส่วนและราคา เพราะก่อนหน้าแจ้งการเพิ่มทุนเป็นแบบทั่วไป ( general mandate) ไม่มีรายละเอียด วานนี้จึงทราบเป็นทางการว่าสัดส่วนและราคาเป็นเท่าใด หากจองหมดจะได้รับเงิน 551 ล้านบาท ส่วนใหญ่เพื่อใช้ลงทุนโครงการโซล่าฟาร์ม ซึ่งจะใช้เงินทุนทั้งหมดประมาณ 3.3 พันล้านบาท ที่เหลือจากเงินเพิ่มทุน ประมาณ 2.7 พันล้านบาท จึงจะมาจากการกู้ โดยก่อนหน้าบริษัทวางแผนมีสัดส่วนเงินกู้ต่อทุนประมาณ 25%:75% แม้จะมี dilution effect 23% และ ดอกเบี้ยจ่ายเกิดขึ้น แต่เทียบกับกำไรที่จะเพิ่มเข้ามาเราคิดว่าจะคุ้มค่ากับบริษัท แม้เราคาดว่ากำไรปีนี้อยู่ในเกณฑ์ลดลงเล็กน้อย 3% y-o-y ตามภาวะที่อยู่อาศัยที่ไม่สดใสนัก แต่คาดว่าปีหน้าจะพลิกกลับมามีกำไรเติบโตถึง 31% y-o-y เพราะรับรู้กำไรจากธุรกิจโซล่าฟาร์มและโซล่ารูฟท็อป จะมีกำไรเพิ่มถึง 89 ล้านบาท คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานประเมินด้วย P/E ปี 59 ที่ 8 เท่า SENA เป็นบริษัทปันผลดี ปี 58 และ 59 คาดว่าผลตอบแทนปันผลเป็น 4.8% และ 6.3% ตามลำดับ
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา
[email protected]
+ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : ITD,STEC,NWR,UNIQ,CK ยื่นซองประมูลรถไฟทางคู่ ฉะเชิงเทรา-แก่งคอย สัญญาที่ 1 มูลค่า 9.9 พันล้านบาท มีเอกชนยื่นจำนวน 6 ราย ได้แก่ STEC, ITD, กิจการร่วมค้าทีซีจอยแวนเจอร์ บริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอ็นจิเนียริ่ง (1964), UNIQ และ กิจการร่วมค้า ซีเคซีเอช (CK ร่วมกับบริษัท ช.ทวีก่อสร้าง จำกัด) สัญญาที่ 2 มูลค่า 598.6 ล้านบาท มียื่น 4 ราย ได้แก่ ITD, กิจการร่วมค้าทีซี จอยเวนเจอร์ม บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด และ NWRตามกำหนดการ รฟท.จะประกาศชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติในวันที่ 26 ต.ค. 58 และจะเปิดให้ทำการเสนอราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ในวันที่ 5 พ.ย. 58 (Aspen)
ความเห็น: เป็นบวก ถือเป็นการงานเมกระโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่งานแรกๆในปีนี้ที่เป็นรูปธรรมแล้ว ถือเป็นนิมิตรหมายอันดี ในเรื่องวัฏจักรขาขึ้น (Up cycle) ของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง งานต่อๆไปให้ติดตามการเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ สุวรรณภูมิเฟส 2 มอร์เตอร์เวย์ และอื่นๆ ซึ่งอาจมีการขายซองแต่ประมูลจริงบางงานอาจเกิดในปี 59 สังเกตได้ว่าสัญญา 2 มีรายใหญ่เข้าประมูลน้อยกว่าสัญญา 1 คาดว่าเป็นเพราะสัญญา 2 มูลค่างานน้อย จึงได้รับความสนใจต่ำกว่า ด้าน หลักทรัพย์แนะนำ ซื้อคือ CK, STEC และ UNIQ แนะนำ ถือ สำหรับ NWR ส่วน ITD ไม่ได้ทำการวิเคราะห์ (not rated) แต่คาดว่าจะมีโอกาสได้รับงานก่อสร้างที่มากเช่นกัน
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา
[email protected]
- ADVANC: นำข้อพิพาทให้ชำระผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มเติมให้ทีโอทีเข้าอนุญาโตฯ วานนี้บริษัทได้รับหนังสือแจ้งขอให้ชำระผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มเติมจากการแก้ไขข้อตกลงแนบท้ายสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างบริษัท กับ บมจ.ทีโอที ครั้งที่ 6 ปี 44 เรื่องการปรับลดส่วนแบ่งรายได้ระบบเติมเงินและครั้งที่ 7 ในปี 45 เรื่องการหักค่าใช้จ่ายในการโรมมิ่ง รวมเป็นมูลค่าประมาณ 7 หมื่นล้านบาท โดยอ้างว่าการแก้ไขสัญญานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในวานนี้นี้บริษัทได้ทำหนังสือโต้แย้งไปยังทีโอที และได้ดำเนินการนำข้อพิพาทดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ เป็นหมายเลขคดีดำเลขที่ 78/2558
ความเห็น: เป็นลบ เพราะเชื่อว่าการที่ราคาหุ้นอ่อนตัวลงในระยะนี้นอกจากข่าวแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ที่จะออกมาไม่สดใสแล้ว ก็เป็นเรื่องนี้ที่นักลงทุนกังวลว่าบริษัทจะต้องไปจ่ายเงินชดเชยให้กับทีโอที และเป็นเงินจำนวนมากถึงประมาณ 7 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่เคยเข้าสู่กระบวนการของศาลมาก่อน ส่วนคำตัดสินของศาลครั้งก่อนเป็นเรื่องนักการเมืองที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ถือว่าเป็นคนละเรื่องกัน ทาง ADVANC จึงเริ่มนำข้อพิพาทดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการเป็นครั้งแรก หากคำตัดสินถูกชี้ว่ามีความผิด ก็คาดว่าเรื่องนี้ในที่สุดแล้วจะเข้าสู่กระบวนการทางศาล และต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะมีคำตัดสินออกมา แต่การที่ทีโอที เริ่มดำเนินการเรื่องนี้ ก็จะเป็นข่าวลบที่จะยืดเยื้อต่อไป คงคำแนะนำ ถือ ADVANC ราคาพื้นฐานเป็น 225 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธีส่วนคิดลดกระแสเงินสดสุทธิ ( DCF)
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา
[email protected]