- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 25 September 2015 18:06
- Hits: 20721
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"เลือกเก็งกำไร/ลงทุนเป็นรายบริษัท"
Stock Picks-Sep 2015 : Fundamental : CK, INTUCH, KBANK, QH, RATCH
Fundamental Pick -Today: CENTEL (ดูในหน้า 5)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : KTC 16%, IVL 12%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบ แต่มีสิทธิเด้งสั้นก่อนลงต่ำต่อ
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1380,1390-1400 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 900,910-920 ค่าลบ
Technical Picks- Today : SAWAD, NUSA, ANAN, TOP, CENTEL, BLA, MC, AJD
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้แกว่งในแดนลบแต่ไม่มาก ปิดตลาดดัชนี -2.82 จุดที่ 1372.35 โดยปัจจัยกดดันหลักยังเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา แต่ก็มีแรงซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยพยุง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2.3 พันล้านบาท สถาบันในประเทศขายสุทธิ 4.7 พันล้านบาท (รวม Big Lot หุ้น SCC 9.14 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 491.67 บาท/หุ้น ซึ่งคาดว่า SCB เป็นผู้ขายออกไป 9.07 ล้านหุ้นเพื่อนำกำไรไปรองรับการตั้งสำรองฯกรณี SSI กลายเป็น NPL) รายย่อยซื้อสุทธิ 7 พันล้านบาท ส่วนพอร์ตบล.ซื้อขายพอกัน
ตลาดหุ้นยังไม่ทิ้งความผันผวน โดยความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว (โดยเฉพาะจีนที่ภาคการผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง) และเฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังคงมีอยู่ และล่าสุดประธานเฟดก็ส่งสัญญาณว่าสหรัฐน่าจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ และจะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนในประเทศยังไม่มีประเด็นใหม่มากนัก รัฐบาลกำลังเร่งกระตุ้นเรื่องการลงทุนให้คืบหน้าและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งเป็นบวกกับกลุ่มก่อสร้าง โดยเฉพาะผู้รับเหมาก่อสร้าง (ซึ่งหุ้นเด่นเชิงกลยุทธ์เป็น CK, UNIQ และ SYNTEC) ส่วนเรื่อง NPL ของกลุ่มสถาบันการเงินได้ Price-in เข้าไปในตลาดและราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องไปพอควรแล้ว เชิงกลยุทธ์แนะนำซื้อเก็งกำไรระยะสั้นใน SCB (เล่นเด้ง) แนะนำซื้อลงทุนใน KBANK (มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี) และ TCAP (ราคาต่ำกว่า BVS & ปันผลสูง) กลุ่มท่องเที่ยวยังไปได้ดี ธุรกิจโรงแรมกำลังจะเข้าสู่ช่วง High Season ในไตรมาส 4 ปีนี้และไตรมาส 1 ปีหน้า หุ้นเด่น คือ CENTEL
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ แต่มีสิทธิเด้งสั้นก่อนลงต่ำต่อ การซื้อเก็งกำไรตามรอบใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1380-1390, 1400-1410 จุด ค่าลบดูไม่ดี ควร Wait & See หรือลดพอร์ตตาม สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจเลือกซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ได้แก่ SAWAD, CENTEL, TOP ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและยังถือต่อได้/หาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้น คือ PYLON, IFEC, SPALI, JMART
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
/- สหรัฐ : ประธานเฟดส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ โดยเป็นการให้ความเห็นในการกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองแอมเฮิร์สท์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ในหัวข้อ "Inflation Dynamics and Monetary Policy" โดยนางเยลเลนระบุว่าเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่คาดถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในช่วงที่เหลือของปีนี้ และหลังจากนั้นน่าจะมีการคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้เฟดเหลือการประชุมอีก 2 ครั้งในปีนี้ คือ วันที่ 27-28 ต.ค.58 และ15-16 ธ.ค.58
สหรัฐ : ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนชะลอตัวตัวน้อยกว่าคาด รายงานระบุว่ายอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค.58 ลดลง 2%MoM ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ -2.5%MoM ส่วนของเดือนก.ค.มีการปรับลดการเติบโตเป็น 1.9%MoM (รายงานเดิม 2.2%MoM)
+ สหรัฐ : ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค.เพิ่ม 5.7%MoM และพุ่งขึ้น 21.6%YoY เป็น 5.52 แสนยูนิต ดีกว่าคาดการณ์ของตลาด ส่วนยอดขายเดือนก.ค.ถูกปรับลดลงเป็น 5.22 แสนยูนิต นับว่าตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐมีการฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3/58 สำหรับราคากลางของบ้านใหม่อยู่ที่ 292,700 ดอลลาร์ในเดือนส.ค.58
สหรัฐ : ภาคแรงงานแข็งแกร่ง จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ก่อนเพิ่ม 3 พันราย เป็น 2.67 แสนราย นับว่าภาคแรงงานยังแข็งแกร่ง และผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานใหม่อยู่ในระดับต่ำกว่า 3 แสนรายมาเป็นเวลากว่า 6 เดือนแล้ว ซึ่งเป็นตัวชี้ที่ดีมากของภาคแรงงานสหรัฐ
- ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลดลง โดยดัชนี DJIA ปรับลง 78.57 จุด และการซื้อขายซบเซาหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐผันผวน และข่าวแผนปลดคนงานของบริษัทแคทเทอร์พิลลาร์ อิงค์ 10,000 คน จากปัจจุบันจนถึงปี 2561 เพื่อลดค่าใช้จ่ายประจำปีลง 1.5 พันล้านดอลลาร์ ก็กดดันหุ้นในกลุ่มค้าปลีกด้วย หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพร่วงลง หลังจากนางฮิลลารี คลินตัน ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐได้ออกมาโจมตีบริษัทเวชภัณฑ์ที่กำหนดราคาสูงเกินไป หุ้นกลุ่มการเงินปรับลงเนื่องจากความวิตกกังวลว่าอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำจะทำให้ศักยภาพในการทำกำไรของธนาคารลดน้อยลง
ราคาน้ำมันขยับขึ้นแต่ไม่มาก สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ปิดเพิ่มขึ้น 43 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 44.91 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ปิดเพิ่มขึ้น 42 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 48.17 ดอลลาร์/บาร์เรล นักลงทุนมีการกลับเข้ามาซื้อเก็งกำไรแต่ยังมีแข็งแกร่งนัก เพราะความกังวลเรื่องอุปทานล้นเกินยังคงมีอยู่ (มีรายงานปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 ก.ย. 58 เพิ่มขึ้น 19,000 บาร์เรล สู่ระดับ 9.136 ล้านบาร์เรลต่อวัน)
+ ราคาทองคำพุ่งขึ้นแรง โดยสัญญาตลาด COMEX ส่งมอบธ.ค.58 ปิดเพิ่มขึ้น 22.30 ดอลลาร์ ที่ 1153.80 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงกองทุนทองคำขนาดใหญ่ของโลกมีการเพิ่มน้ำหนักการถือครองทองคำมากขึ้นในสัปดาห์ก่อน
ปัจจัยในประเทศ & Theme เด่น
+ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : รัฐบาลเร่งเสนอครม.ให้พิจารณาโครงก่อสร้างขนาดใหญ่ 5 แห่ง มูลค่า 2 แสนล้านบาทภายในสิ้นปี 58 ซึ่งโครงการประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู สีเหลือง สีน้ำเงินส่วนขยาย และโรงไฟฟ้าขยะ 2 แห่ง
หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มีแนวคิดให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนกับรัฐ (PPP) ในสัดส่วนมากกว่า 17% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งขณะนี้ตัวเลขอยู่ที่ราว 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อรักษาวินัยทางการคลังของรัฐบาล ไม่ให้ก่อหนี้สินมากเกินไป (เพดานก่อหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ 60% ของ GDP โดยขณะนี้อยู่ในประมาณ 40% ต้นๆ)
ล่าสุด STEC ได้งานใหม่ 1.6 พันล้านบาท เป็นงานก่อสร้างสำนักงบประมาณ และคาดว่าจะได้รับงานใหม่เข้ามาอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเริ่มเห็นความคึกคักในงานประมูลต่างๆ มากขึ้น ยังผลให้กลุ่มนี้จะมีเรื่องราวทางบวกเข้ามาหนุนเป็นระยะๆ
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : เรายังชื่นชอบกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนไปเรื่อยๆในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ทั้งจากโครงการลงทุนภาครัฐและการขยายธุรกิจของภาคเอกชน ทำให้ Core Profit ของกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตได้ดีขึ้น หลายบริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่มแล้ว เช่น CK ซึ่งทำให้ความสามารถในการทำกำไรบริษัทดีขึ้น หุ้นที่โดดเด่นในกลุ่มนี้เป็น CK, UNIQ ส่วนผู้รับเหมาฯกลาง-เล็กเป็น SYNTEC ส่วนผู้รับเหมาโครงสร้างเหล็กเป็น BJCHI และ TTCL
ตลาดคาดการณ์ว่า SCB ขายหุ้น SCC ให้สำนักงานทรัพย์สินฯ ไปเมื่อวานนี้ โดยขายออกไปใน Big Lot จำนวน 9.07 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยของการขาย Big Lot อยู่ที่หุ้นละ 491.67 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาของ SCC เมื่อวานนี้ที่ 476 บาทอยู่ 3.3% และสูงกว่าราคาซื้อขายต่ำสุดของ SCC เมื่อวานนี้ที่ 452 บาทอยู่ 8.8%
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : ราคาหุ้นที่อ่อนลงสะท้อนแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/58 ที่จะอ่อนตัวเมื่อเทียบ QoQ และความกังวลเรื่องการขายหุ้นของ SCB ไปพอควรแล้ว โดยราคาหุ้นลงมาที่แนวรับแรกที่เราให้ไว้เมื่อวานนี้ที่ 460-450 บาทไปเรียบร้อยแล้ว
ในเชิงปัจจัยพื้นฐานแนะนำซื้อ SCC โดย DBS ให้ราคาพื้นฐาน 580 บาท ทั้งนี้คาดว่าธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างในประเทศจะเติบโตดีขึ้นในปี 59 หลังโครงการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนเดินหน้ามากขึ้น นอกจากนั้นบริษัทยังมีโรงงานซีเมนต์ในต่างประเทศที่จะเปิดดำเนินการเพิ่มด้วย ซึ่งส่วนนี้จะช่วยให้ปริมาณขายซีเมนต์ในปี 59-60 เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ส่วนธุรกิจปิโตรเคมียังมี Spread ที่ดีแม้ว่าใน 2H58 จะอ่อนลง HoH ก็ตาม
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค[email protected]