- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 23 September 2015 18:29
- Hits: 3029
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ระยะสั้น...แกว่งลง'
Stock Picks-Sep 2015 : Fundamental : CK, INTUCH, KBANK, QH, RATCH
Fundamental Pick -Today:LPN
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : CPF & BJCHI 13%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ ควรระวังการแกว่ง
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1390,1400-10 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 900-910 ค่าลบ
Technical Picks- Today : CK, SPALI, VNG, LPN, TIPCO, CHOW, APCS, TFI
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : VGI (จาก Fully Valued เป็น ถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลง 13.41 จุด ปิดที่ 1379.32 นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (ควันหลงจากกรณีหนี้ SSI เป็น NPL) หุ้นก๊าซและน้ำมัน รวมถึงหุ้นสื่อสารหลักลดลง พอร์ตบล.พลิกกลับเป็นขายสุทธิ จากซื้อสุทธิไปเมื่อวันก่อนหน้า ขณะที่สถาบันในประเทศและต่างชาติซื้อ/ขายสุทธิไม่มาก ส่วนรายย่อยซื้อสุทธิ
ในระยะสั้นตลาดยังคงผันผวนไปตามข่าวรายวัน โดยพื้นฐานเชิงลึกมีความกังวลกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและผลกระทบต่อตลาดเงิน & ตลาดทุนเมื่อเฟดเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริง เพราะดูเหมือนว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ก็อาจสร้างความปั่นป่วนในระยะสั้นได้ ส่วนข่าวรายวันที่เข้ามากระทบตลาดหุ้นโลกวันนี้เป็นเรื่องของบริษัทโฟล์คสวาเกน เอจี ที่แจ้งข้อมูลเท็จว่าปล่อยมลพิษน้อยเกินจริง ซึ่งอาจนำไปสู่การตรวจสอบค่ายรถยนต์ทุกค่ายในสหรัฐและสหภาพยุโรป หุ้นกลุ่มยานยนต์จึงพากันร่วงทั่วโลก ซึ่งส่วนนี้อาจเป็น Sentiment ทางลบกับ KCE ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ในรถยนต์ที่เน้นส่งออกไปยุโรปในระยะสั้น ด้านในประเทศเป็นความกังวลว่าการเปิดประมูล 4G ยังจะเดินหน้าต่อตาม Schedule หรือไม่ ซึ่งส่วนนี้เป็นปัจจัยจิตวิทยาทางลบต่อหุ้นในกลุ่มสื่อสาร โดยภาพรวมยังคงแนะให้ลงทุนในหุ้น Defensive, หุ้นธุรกิจมั่นคงปันผลสูง และหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นหลัก หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น LPN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ ควรระวังการแกว่งลง ซื้อเก็งกำไรตามรอบใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1390, 1400, 1410 จุด ค่าลบดูไม่ดี ควร Wait & See หรือลดพอร์ตตาม สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจเลือกซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ได้แก่ CK, SPALI, VNG, LPN, TFI ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและยังถือต่อได้/หาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้น คือ TIPCO, CHOW, APCS, MAX, SAWAD
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- จีน : ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในจีนเดือนก.ย.ร่วงแตะ 51.3 จาก 56.0 ในเดือนส.ค. โดยหลักมาจากการลดลงของความเชื่อมั่นผู้บริหารธุรกิจขนาดใหญ่ และคาดการณ์ดัชนีในอนาคตอ่อนตัวเป็น 52.1 ในเดือนก.ย.ต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มสำรวจในปี 50
จีน : CBRC ทบทวนมาตรการเรื่องการบริหารสภาพคล่องธ.พ. โดยจะมีผลบังคับใช้ 1 ต.ค.58 ทั้งนี้หลังปรับปรุงคณะกรรมการกำกับการธนาคาร (CBRC) ได้กำหนดให้สัดส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามเกณฑ์ (LCR) ควรอยู่ที่อย่างน้อย 100% ภายในปี 61 ส่วนในระยะการปรับเปลี่ยน LCR ควรอยู่ที่ระดับ 70% ภายในสิ้นปี 58, 80% ภายในสิ้นปี 59 และ 90% ภายในสิ้นปี 60 ทั้งนี้ CBRC เรียกร้องให้ธนาคารที่มีระดับ LCR สูงเกิน 100% อยู่แล้ว ยังคงรักษาประสิทธิภาพในการดำเนินงานต่อไป
- สหรัฐ : เฟดสาขาริชมอนด์ระบุว่าดัชนีภาวะธุรกิจภาคการผลิตร่วงลงเป็น -5 ในเดือนก.ย. หลังอยู่ที่ 0 ในเดือนส.ค. ขณะที่เดือนก.ค.อยู่ที่ 13 ซึ่งแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ -2
- บริษัทโฟล์คสวาเกน เอจี อาจถูกปรับถึง 6.5 แสนล้านบาทกรณีแจ้งข้อมูลเท็จว่าปล่อยมลพิษน้อยเกินจริง ทางการสหรัฐระบุว่าโฟล์คสวาเกนได้ติดตั้งซอฟท์แวร์ในรถยนต์ดีเซลเกือบ 5 แสนคันเพื่อทำให้ดูเหมือนว่ามีการปล่อยไอเสียน้อยกว่าความเป็นจริง โดยหากพบว่าบริษัทมีความผิดจริงก็จะถูกทางการสหรัฐปรับเป็นเงินจำนวน 37,500 ดอลลาร์ต่อคัน ซึ่งรวมกันแล้วเป็นเงินกว่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 650,000 ล้านบาท ซึ่งข่าวนี้ฉุดหุ้นกลุ่มรถยนต์ทั้งในยุโรปและสหรัฐร่วงลงแรง เพราะมองว่าสหรัฐจะขยายการตรวจสอบไปยังผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ด้วย และสหภาพยุโรปอาจมีการตรวจสอบทุกค่ายผลิตรถยนต์เช่นกัน
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : ข่าวนี้นอกจากกระทบกับหุ้นกลุ่มยานยนต์ในยุโรปและสหรัฐแล้วยังอาจจะเป็นปัจจัยจิตวิทยาทางลบกับหุ้น KCE ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ด้านยานยนต์ส่งออกไปยุโรปด้วย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่แท้จริงยังไม่ชัดเจน
- ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลง โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 179.72 จุด เพราะนักลงทุนกังวลกับเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาและตลาดหุ้นยุโรปร่วงแรง (ดัชนี DAX ดิ่ง 3.8%) หลังมีข่าวว่าบริษัทโฟล์คสวาเกน เอจี แจ้งข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการปล่อยมลพิษจากรถยนต์ให้ดูดีเกินจริง
ราคาน้ำมันดิบแกว่งในกรอบแคบ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 85 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 45.83 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 16 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 49.08 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาในตลาดน้ำมัน และนักลงทุนยังกังวลกับปัญหาอุปทานล้นเกินในตลาด
- ราคาทองคำร่วงเพราะการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 8.00 ดอลลาร์ หรือ 0.71% ปิดที่ 1,124 ดอลลาร์/ออนซ์ .80
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
/- กลุ่มสื่อสาร : การเปิดประมูล 4G จะสะดุดหรือไม่? สหภาพแรงงาน TOT ยื่นหนังสือรมว.ไอซีทีเพื่อคัดค้านการเปิดประมูล 4G คลื่น 900 MHz ขอให้เร่งรัดการทวงเงินชดเชยจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานกับ AIS จำนวน 7.2 หมื่นล้านบาท หลังศาลปกครองมีคำพิพากษาว่าการปรับแก้ไขสัญญาระหว่าง TOT กับ AIS ครั้งที่ 6 และ 7 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ที่มา : โพสต์ทูเดย์ & แนวหน้า 23 ก.ย.58)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : ข่าวนี้เป็นลบต่อ Sentiment การลงทุนในกลุ่มสื่อสาร โดยก่อให้เกิดความกังวลว่าการเปิดประมูล 4G จะเป็นไปตามแผนได้หรือไม่ ส่วนแนวทางหลังจากนี้น่าจะเป็นเรื่องกระบวนการศาล ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะมีคำตัดสินว่า AIS ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยหรือไม่
ในเชิงกลยุทธ์ เรายังคงให้น้ำหนัก Neutral กับกลุ่มสื่อสาร โดยแนะนำถือ ADVANC, DTAC แนะนำซื้อ SAMART (คาดกำไรปี 59 ฟื่นตัวดีขึ้น โดยหลักมาจาก SAMTEL), INTUCH (มูลค่าหุ้นยังต่ำกว่า Market NAV และจ่ายปันผลสูง) ทั้งนี้ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจผันผวนจากความไม่แน่นอนเรื่องการประมูล 4G
+ ครม.ไฟเขียวแนวทางส่งเสริมการลงทุนซุปเปอร์คลัสเตอร์ 6 กลุ่ม...ต้องยื่นขอ BOI ภายในสิ้นปี 59 และเริ่มดำเนินการภายในสิ้นปี 60 ทั้งนี้ 6 กลุ่ม ประกอบด้วย ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์โทรคมนาคม ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดิจิตอล และอาหาร กำหนดพื้นที่ลงทุนเป้าหมาย 9 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่ และภูเก็ต โดยผู้ประกอบการจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและอื่นๆ บนเงื่อนไขว่าผู้ประกอบการที่จะขอรับสิทธิประโยชน์คลัสเตอร์ต้องมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา/สถาบันวิจัย/Center of Excellence ที่อยู่ในคลัสเตอร์ เพื่อพัฒนาบุคลากรและยกระดับเทคโนโลยี รวมทั้งต้องยื่นขอส่งเสริม BOI ภายในสิ้นปี 59 และเริ่มดำเนินการภายในสิ้นปี 60
AOT : ได้รับประโยชน์จากการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมคัดกรองผู้โดยสารต่างประเทศจำกัดมาก โดยในส่วนที่เรียกเก็บ 35 บาท/เที่ยว/คนนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นของผู้รับเหมาดำเนินการคัดกรองฯ คือ SAMART ส่วนที่ AOT ได้รับ 2 บาท/เที่ยว/คน บริษัทจะมีต้นทุนในการว่าจ้างเจ้าหน้าที่เพิ่ม ส่วนกำไรที่ได้รับจริงนั้นเพียง 0.17 บาท/เที่ยว/คน เท่านั้น เมื่อคูณด้วยผู้โดยสารต่างประเทศ 60 ล้านคน/ปี จะคิดเป็นกำไรที่เข้ามาเพิ่มเพียง 10.2 ล้านบาท/ปีเท่านั้น
ฝ่ายวิจัยฯ DBS คาดกาณณ์กำไรสุทธิปี 58/59 ของบริษัทไว้ที่ 1.85 หมื่นล้านบาท) อย่างไรก็ตาม เรายังคงคำแนะนำซื้อ AOT (ราคาพื้นฐาน 366 บาท) โดยประเมินว่าการขยายสนามบินดอนเมืองอาคาร 2 และ 3 จะช่วยหนุนการเติบโตในระยะสั้น โดยเพิ่มกำลังการรองรับผู้โดยสารได้ในปี 59-60 ปีละประมาณ 8-10% และโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 จะหนุนการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาว
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]