- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 22 September 2015 18:32
- Hits: 3414
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"แกว่งรอข่าวใหม่"
Stock Picks-Sep 2015 : Fundamental : CK, INTUCH, KBANK, QH, RATCH
Fundamental Pick -Today: MTLS (ดูรายละเอียดในหน้า 2)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : BJC 8%, PTTEP 7%
Technical View ตลาดเป็นบวกเล็กๆ แต่ควรระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไร
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1400,1410-20 หลุด 1380
SET50 ซื้อค่าบวก 910-920 หลุด 900
Technical Picks- Today : SAWAD, TPOLY, IFEC, TRUE, TIPCO, CHOW, APCS, MAJOR
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปิดขยับขึ้นเล็กน้อย (+2.41 จุดที่ 1392.73) การซื้อขายเป็นไปอย่างซบเซา โดยนักลงทุนรอดูปัจจัยใหม่ และมีความกังวลกับคุณภาพสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะประเด็นหนี้ของ SSI ที่กดดัน 3 ธนาคารผู้ปล่อยสินเชื่อหลัก คือ SCB, KTB และ TISCO พอร์ตบล.นำซื้อสุทธิ สถาบันในประเทศขายสุทธิ ด้านต่างชาติและรายย่อยนั้นซื้อ/ขายสุทธิไม่มาก
ในช่วงนี้ตลาดหุ้นมีความผันผวนไปตามกระแสข่าวในแต่ละวันมาก ซึ่งความอ่อนไหวแบบนี้บ่งชี้ว่านักลงทุนยังคำนึงถึง Downside Risk มาก ระวังการลงทุน และพร้อมลดพอร์ต (ขายหุ้น) เมื่อมีสัญญาณหรือปัจจัยลบเข้ามาเพิ่มเติม สำหรับระยะสั้นมาก Sentiment กลับมาเป็นบวกเล็กๆ จากการรีบาวด์ของตลาดหุ้นสหรัฐและน้ำมันดิบ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะขึ้นต่อเนื่องได้แค่ไหน ส่วนในประเทศยังจับตาคุณภาพสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน ซึ่งเรามองว่าไฟแนนซ์ที่ปล่อยสินเชื่อจำนำจะมีความเสี่ยงด้าน NPL ต่ำกว่าสินเชื่อประเภทอื่น เพราะมีหลักประกันสูงมาก (สินเชื่อจำนำจะปล่อยสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน หรือ LTV ประมาณ 40-60% เท่านั้น) หุ้นที่ DBS วิเคราะห์และแนะนำซื้อในกลุ่มนี้เป็น MTLS (ราคาพื้นฐาน 23 บาท) ส่วน SAWAD เรายังไม่ได้ทำวิเคราะห์พื้นฐานเชิงลึกแต่ระยะสั้นมีสัญญาณทางเทคนิคดี ส่วนภาพตลาดรวมยังคงแนะให้ลงทุนในหุ้น Defensive, หุ้นธุรกิจมั่นคงปันผลสูง และหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นหลัก
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ตลาดเป็นบวกเล็กๆ แต่ควรระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไรระยะสั้น การซื้อเก็งกำไรตามรอบใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1400, 1410-1420 จุด ค่าลบดูไม่ดี ดัชนีหลุด 1380 จุด ควรลดพอร์ตตาม สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจเลือกซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ได้แก่ SIRI, SAWAD, IFEC, TIPCO, TPOLY, CHOW ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและยังถือต่อได้/หาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้น คือ M, SPALI, SAMART, BCP
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
สหรัฐ: ประธานเฟดแอตแลนตาคาดเฟดจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนต.ค.หรือธ.ค.นี้ นายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนตากล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปี 58 นี้ สอดคล้องกับเจ้าหน้าที่เฟด 13 ใน 17 รายในการประชุมเมื่อ 16-17 ก.ย.58 ที่เห็นว่าเฟดน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ 0.25% ทั้งนี้จะมีการประชุม FOMC ครั้งต่อไปในวันที่ 27-28 ต.ค.58
สหรัฐ: ยอดขายบ้านมือสองยังฟื้นตัวจากปีก่อน ยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค.ร่วงลง 4.8%MoM สู่ระดับ 5.31 ล้านยูนิต แต่เพิ่มขึ้น 6.2%YoY
จีน: สถาบันสังคมศาสตร์จีน (CASS) คาดการณ์ว่า GDP ของจีนปีนี้จะเติบโต 6.9% ต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ 7% โดยใน 1H58 เศรษฐกิจจีนขยายตัว 7% แต่ตัวเลขการผลิตในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 3 อ่อนแอลงจึงทำให้การเติบโตใน 2H58 จะลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก
+ จีน: ธุรกิจอีคอมเมิร์ซขยายตัวแข็งแกร่ง 30%YoY ในช่วง 1H58 โดยมีมูลค่า 7.63 ล้านล้านหยวน หรือราว 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยธุรกรรม B2B (การทำธุรกรรมระหว่างภาคธุรกิจด้วยกัน) เพิ่มขึ้น 28.8%YoY สู่ระดับ 5.8 ล้านล้านหยวน ส่วนยอดค้าปลีกทางระบบออนไลน์ซึ่งรวมธุรกิจ B2C (การทำธุรกรรมระหว่างภาคธุรกิจและผู้บริโภค) และ C2C (การทำธุรกรรมระหว่างผู้บริโภคด้วยกัน) พุ่งขึ้น 48.7% สู่ระดับ 1.61 ล้านล้านหยวน โดยธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามชายแดนคิดเป็น 17.3% ของมูลค่าทั้งหมด หรือมีมูลค่า 2 ล้านล้านหยวนใน 1H58
+ ตลาดหุ้นสหรัฐดีดขึ้น ปิดตลาดดัชนี DJIA ปรับขึ้น 125.61 จุด โดยความเห็นของประธานเฟดสาขาแอตแลนตาที่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มแข็งแกร่งและทำให้เฟดน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้
+ ราคาน้ำมันดิบรีบาวด์ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 2 ดอลลาร์ ปิดที่ 46.68 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 1.45 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.92 ดอลลาร์/บาร์เรล หนุนโดยรายงานตัวเลขปริมาณการผลิตน้ำมันดิบรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 ก.ย.58 ลดลง 18,000 บาร์เรล แตะที่ 9.117 ล้านบาร์เรลต่อวัน และเบเกอร์ ฮิวจ์ รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในรอบสัปดาห์ก่อนลดลง 8 แห่งสู่ระดับ 664 แห่ง
- ราคาทองคำอ่อนลงจากแรงขายทำกำไร โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.58 ร่วงลง 5 ดอลลาร์ หรือ -0.44% ปิดที่ 1,132.80 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำคือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
-/+ ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.58 ลดลง แต่ดัชนีคาดการณ์ล่วงหน้า 3 เดือนกระเตื้องขึ้น ทางส.อ.ท.เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.58 ว่าลดลงเป็น 82.4 จาก 83.0 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเดือนที่ 8 จากความกังวลต่อภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ การหดตัวของการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตรที่ประสบปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ทำให้การใช้จ่ายจึงเป็นไปอย่างระมัดระวัง ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางและมีความเสี่ยงสูง ภายใต้ภาวะการแข่งขันที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นฯคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าขยับขึ้นเป็น 102.0 จาก 101.2 ในเดือนก.ค.58 เพราะมีความหวังกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
+/- กลุ่มยานยนต์ : ยอดผลิตที่เพิ่มขึ้นหนุนโดยการส่งออกที่เติบโตดี...แต่ยอดขายในประเทศยังหดตัวต่อเนื่อง ส่งออกเดือนส.ค.58 เติบโต 13.9%YoY เป็น 101,982 คัน มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 23.4%YoY เป็น 52,860 ล้านบาท ส่วนการส่งออก 8M58 เติบโต 5.3%YoY เป็น 780,414 คัน มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 4.5%YoY เป็น 366,982 ล้านบาท สำหรับยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมดในเดือนส.ค.58 เพิ่มขึ้น 13.3%YoY เป็น 159,470 คัน และยอดผลิต 8M58 เติบโต 1.3%YoY เป็น 1.26 ล้านคัน ทั้งนี้ยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือนส.ค.58 ยังซบเซา โดยลดลง 10%YoY และ 8M58 หดตัว 15.1%YoY เป็น 491,960 คัน
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : เรายังคงมีมุมมอง Neutral ต่อกลุ่มยานยนต์ โดยในปีนี้ผู้ผลิตชิ้นส่วนจะถูกกดดันจากผู้ซื้อ หากต้องการมีปริมาณขายที่ดีก็ต้องยอมลดราคาและมาร์จิ้นลง ซึ่งส่วนนี้ทำให้ผลประกอบการของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์อยู่ในภาวะชะลอตัว อย่างไรก็ดี คาดว่าผลประกอบการปี 59 มีโอกาสฟื้นตัวดีขึ้น ในเชิงกลยุทธ์ เป็นการทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุนระยะยาว หุ้นเด่นในกลุ่มเป็น AH, SAT, STANLY
MTLS (ราคาปิด 16.40 บาท ราคาพื้นฐาน 23 บาท) : ยืนยันว่า NPL ยังต่ำมาก ผู้บริหารให้ข้อมูลว่า NPL Ratio บริษัทยังอยู่ในระดับต่ำมากที่ 1.1% ของสินเชื่อรวม ซึ่งระดับดังกล่าวนั้นต่ำหลายบริษัทไฟแนนซ์ในอุตสาหกรรมที่อยู่เท่ากับ 8-12% ของสินเชื่อรวม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีสัดส่วนการปล่อยกู้จำนองสูง ซึ่งสินเชื่อประเภทนี้จะมี LTV ต่ำ (คือมีหลักประกันสูง) ลูกหนี้จึงไม่ยอมให้เป็น NPL
แนวโน้มการเติบโตยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นไปตามการเปิดสาขาใหม่ที่ตั้งเป้าหมายไว้กว่า 300 แห่ง/ปี (กลางส.ค.58 มีสาขารวม 800 แห่ง) โดยเน้นการปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกันสูง เช่น จำนำรถยนต์, จำนำรถจักรยานยนต์, จำนำโฉนด ฯลฯ และยังคงให้สินเชื่อส่วนบุคคล & นาโนไฟแนนซ์กับลูกค้าเก่าที่มีประวัติดี ผู้บริหารตั้งการเติบโตไว้ปีละ 50% ในช่วงปี 58-59 และขยายตัว 40-50% ในปี 60 ฝ่ายวิจัยฯ DBS แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 23 บาท โดยอิงกับ Gordon Growth Model (ROE 20%, Growth 10%, Cost of Equity 11%)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]