WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

FSS copyบล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

SET พักตัวช่วงสั้นแล้ว ยังลุ้นบวกต่อได้ ดังนั้นซื้อแล้วเน้นถือ!!

  กลยุทธ์ : หลังจาก SET ได้ปรับพักตัวย้อนลงบ้างในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ซึ่ง FSS คาดว่าเป็นการพักตัวเพียงช่วงสั้นและมีกรอบลบจำกัด ซึ่งวานนี้ยังมีแรงซื้อกลับเข้ามาช่วยพยุงตลาดและหนุนให้ดีดกลับขึ้นได้ด้วย ทำให้เรายังคาดว่า SET จะแกว่งบวกต่อเนื่องได้อีก เพื่อลุ้นเข้าใกล้ระดับดัชนีเป้าหมายปีนี้ที่ FSS ประเมินไว้แถว 1450 จุดได้ในที่สุด ดังนั้นหลังจากเลือกหุ้นกลับเข้าซื้อช่วง SET เป็นลบไปแล้ว แนะนำให้เน้นถือต่อเนื่องไว้ก่อนได้

 หุ้นเด่นทางเทคนิค : QH, PYLON, SAWAD(buy back)
  แนวโน้ม : SET เริ่มพลิกกลับมาแกว่งบวกได้ช่วงบ่ายวานนี้ หลังตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวได้ดีขึ้นอีกครั้ง จากการที่ประธานคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน(NDRC) ออกมาแสดงความมั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจจีนว่ายังมีเสถียรภาพและมีแนวโน้มเชิงบวก นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็เริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้บ้าง จึงทำให้ลดแรงกดดันในหุ้นกลุ่มพลังงานลงด้วย ขณะที่เช้านี้ยังมีแรงหนุนต่อเนื่อง จากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปส่วนใหญ่สามารถปิดเป็นบวกได้ดี เพราะนักลงทุนกลับเข้าช้อนซื้อเก็งกำไร เพื่อลุ้นคาดการณ์ที่ว่า ECB อาจจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมเดือนหน้า รวมทั้งนักลงทุนเริ่มมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอีกครั้ง หลังยอดขายบ้านมือสองเดือน ส.ค.ของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เริ่มกลับมาแกว่งบวกได้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้ขยับขึ้นสูงมาก แต่ก็เป็น sentiment เชิงบวกให้กับ SET ทำให้ FSS คาดว่า SET ยังมีสิทธิขยับบวกต่อได้ตามคาด


  แนวรับ 1390-1387 , 1384-1380 จุด
  แนวต้าน 1394-1398 , 1400-1403 จุด
  Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$561 ล้าน ส่วนใหญ่เป็นการไหลออกจากไต้หวัน US$355 ล้าน และเกาหลีใต้ US$190 ล้าน แต่ไหลเข้าฟิลิปปินส์ และไทย US$15.2 ล้าน และ 1.7 ล้าน ตามลำดับ แนวโน้มกระแสเงินทุนยังมีทิศทางไหลออก หลังมีข้อมูลชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งขึ้น และน่าจะทำให้ Fed ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้

ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
  (-) SSI แจ้งหยุดผลิตเหล็กแท่งแบน (slab) ของโรงถลุงเหล็ก SSI UK (SSI ถือ 100%) ชั่วคราวเพื่อปรับปรุงฐานะการเงิน ทั้งนี้ SSI ซื้อโรงถลุงดังกล่าวมาตั้งแต่ ส.ค. 2010 จากบริษัทในกลุ่ม Tata Steel แต่ขาดทุนมาตลอดเพราะราคาเหล็กตกต่ำ ล่าสุดงวด 1H15 SSI UK ขาดทุนถึง 5 พันล้านบาท ส่วน SSI ขาดทุน 1 พันล้านบาท ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของ SSI (ในงบการเงินรวม) ติดลบเป็นครั้งแรก 1.8 พันล้านบาท (Book value -0.06 บาท/หุ้น) เราคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงและเป็นการดีกว่าที่ SSI UK จะหยุดดำเนินการถาวรและ SSI ขายสินทรัพย์นี้ออกไปเพราะเหล็กยังอยู่ในภาวะ oversupply อย่างน้อย 2 ปี การตัดขายสินทรัพย์เป็นการปลดภาระแต่ไม่ได้ทำให้ SSI จะพลิกกลับมากำไรในเร็ววัน ก่อนหน้านี้เราแนะนำขาย SSI อยู่แล้วและคิดว่ายังไม่น่าเสี่ยงซื้อนขณะนี้
  (-) ผลกระทบจาก SSI ปัจจุบัน SSI ถูกจัดชั้นเป็น NPL แล้ว หลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ ธนาคารทั้ง 3 แห่งที่ปล่อยสินเชื่อคือ TISCO 4.4 พันล้านบาท KTB และ SCB แห่งละประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จะตั้งสำรองเต็มจำนวนและไม่ประเมินหลักประกัน เราคาดว่ากำไรใน 3Q15 ของ TISCO และ KTB จะถูกกระทบมากที่สุดราว 70% Q-Q และส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิปี 2015 ราว 20% ส่วน SCB กระทบน้อยสุดเพราะมีกำไรจากการขายเงินลงทุนบางส่วนมาชดเชย ทำให้จะกระทบกำไรสุทธิปีนี้เพียง 5% ส่วน NPL ของแต่ละธนาคารคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.2% โดย TISCO เพิ่มขึ้นมากสุด 1.6% ส่วน SCB และ KTB ไม่ถึง 1% ขณะที่ Coverage ratio ของ TISCO จะเหลือน้อยสุด 82% ส่วน SCB ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใน 110% และ KTB 105% ซึ่งทุกธนาคารจะทยอยตั้งสำรองหนี้สูญส่วนเกินในปีหน้า อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไม่มีธนาคารใดต้องเพิ่มทุน เพราะกระทบเงินกองทุนเฉลี่ยเพียง 0.5%
  (0) ยังไม่ถึงเวลาซื้อ TISCO, SCB, KTB แม้ว่าราคาหุ้นทั้ง 3 ตัวจะปรับลงมามากแล้ว และเมื่อเราปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2016 พบว่า SCB มี upside มากที่สุด กว่า 20% จากราคาเป้าหมายปีหน้า 175 บาท ส่วน KTB มี upside 7% จากราคาเป้าหมายปีหน้า 19 บาท และ TISCO มี upside 4% จากราคาเป้าหมายปีหน้า 38 บาท แต่คิดว่ายังไม่ถึงเวลาซื้อหุ้นทั้ง 3 ตัวแม้กระทั่ง SCB เพราะเชื่อว่ากระแสข่าว SSI จะยังกดดันราคาหุ้นอีกระยะหนึ่ง เห็นได้จากช่วง พ.ค. 2012 ที่ SSI ขอยืดชำระหนี้เงินกู้เป็นครั้งแรก ราคาหุ้นทั้ง 3 แบงก์ยังปรับลงต่ออีกเฉลี่ย 8-10% อีก 20-25 วันนับจากวันที่ SSI แจ้งตลาดฯ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นปรับลงมาแล้วเฉลี่ย 10-19% (vs. SET -6%) เราเห็นว่า TMB (ราคาเป้าหมายปีหน้า 2.80 บาท) และ KBANK (ราคาเป้าหมายปีหน้า 219 บาท) ยังน่าสนใจและเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในระยะนี้

  (+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาพลิกกลับมาบวกได้หลังจากร่วงแรงในวันก่อนหน้า โดยนักลงทุนตอบรับเชิงบวกหลังประธาน FED สาจาแอตเลนตาระบุว่าแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯแข็งแกร่งขึ้น
  (+) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาส่วนใหญ่ปรับตัวในแดนบวกได้เข่นกันหลังร่วงติดต่อกัน 2 วันทำการก่อนหน้า อย่างไรก็ตามประเด็นที่ต้องจับตาคือการประชุม ECB ในเดือนหน้า
  (+) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ปรับตัวค่อนมาในแดนบวกได้เช่นกันจากบรรยากาศการลงทุนที่ผ่อนคลายมากขึ้น
  (-) ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องโดยล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 35.85-36.00 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน ต.ค. ปิดที่ 46.68 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 2.00 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบที่ลดลงจากจำนวนแท่นขุดเจาะที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
  ราคาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปิดที่ 1,132.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 5.00 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นหลังประธาน FED สาขาแอตแลนตาส่งสัญญาณว่า FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้
ปัจจัยที่ต้องติดตาม

21-23 ก.ย. - ญี่ปุ่น: ตลาดหุ้นปิดทำการ
22 ก.ย. - ยูโรโซน: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ก.ย.)
23 ก.ย. - ไทย: KOOL เริ่มเทรดวันนี้ (ราคา IPO 1.80 บาท)
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Composite PMI (ก.ย.)
24 ก.ย. - ไทย: ดุลการค้า (ส.ค.)
- ตลาดหุ้นมาเลเซีย และ อินโดนีเซียปิดทำการ
- ฟิลิปปินส์: ธนาคารกลาง (BSP) ประชุม
- สหรัฐ: คำสั่งซื้อสินค้าคงทน (ส.ค.), ยอดขายบ้านใหม่ (ส.ค.) 
25 ก.ย. - ไทย: ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (ส.ค.)
- สหรัฐ: 2Q15 GDP – ตัวเลขสุดท้าย (ตลาดคาด +3.7%)
28 ก.ย. - ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ฮ่องกง ไต้หวัน ปิดทำการ
- สหรัฐ: Pending Home Sales, Personal spending and income (ส.ค.)
29 ก.ย. - ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดทำการ
- อินเดีย: ธนาคารกลาง (RBI) ประชุม
30 ก.ย. - ไทย: ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน ส.ค.
- สหรัฐ: การจ้างงานภาคเอกชน (ก.ย.)

Contact person : Somchai Anektaweepon 
Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!