- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 11 September 2015 18:21
- Hits: 5141
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"แกว่งแคบ รอดูเฟดเรื่องขึ้นดอกเบี้ย"
Stock Picks-Sep 2015 : Fundamental : CK, INTUCH, KBANK, QH, RATCH
Fundamental Pick -Today: VNG
(ดูรายละเอียดหน้า 2)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : WHA 24%, EGCO 16%, HMPRO 15%, BA 10%, MINT 8%
Technical View ภาพตลาดแกว่ง แบบมีโอกาสรีบาวด์สั้นๆ ก่อนลงต่ำตามมาได้
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1410,1420 ต่ำกว่า 1380
SET50 ซื้อค่าบวก 920,930 ต่ำกว่า 900
Technical Picks- Today : BBL, VNG, STEC, BCP, BRR,
CEI, CPF, GLOBAL
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยแกว่งในวัน แต่ปิดตลาดทรงตัวที่ 1396.16 จุด โดยนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนการประชุมเฟดและกนง.สัปดาห์หน้า เช่นเดียวกับหลายตลาดหุ้นในภูมิภาคที่เป็นเช่นนี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาติซื้อสุทธิแต่มูลค่าไม่ได้สูงมาก ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิ
สำหรับวันนี้คาดว่า ดัชนีมีโอกาสแกว่งในกรอบแคบ ด้วยปัจจัยเดิมๆ ที่ยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่เด่นชัดเข้ามาส่งผลกระทบ Focus ของตลาดฯยังมุ่งไปที่ผลการประชุมของเฟดว่าจะส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 16-17 ก.ย.58 นี้แล้ว ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐมีความความขัดแย้งกันคือ ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง เฟดควรขึ้นดอกเบี้ยสกัด แต่อัตราเงินเฟ้อที่ยังต่ำ เฟดก็ไม่ควรรีบขึ้นดอกเบี้ย และจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากไป ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่น สำหรับจีน ตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ส.ค.58 ต่ำสุดในรอบหกปี และญี่ปุ่นยอดคำสั่งซื้อเครื่องจักร ก.ค.58 ลดเกินคาด 3.6% มีแนวโน้มว่าดัชนีฯจะเป็นลักษณะ sideway down เพราะเมื่อมีความไม่แน่นอน นักลงทุนมักจะขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงไปก่อน โดยเช้านี้ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ปรับตัวลง อย่างไรก็ตามดัชนีฯมีโอกาสรีบาวด์สวนขึ้นได้บ้าง จากปัจจัยในประเทศที่มี ครม.ชุดใหม่ที่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจไทย หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น VNG
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้ "แกว่ง" แบบยังมีโอกาสรีบาวด์สั้นๆต่อก่อน แล้วจึงลงต่ำตามมาได้ กลยุทธ์คือ เก็งกำไร ทางที่ดีคือ ซื้อตามเมื่อหลักทรัพย์นั้นเป็นค่าบวก แนวต้าน 1410-1420 แต่สัญญาณจะดูแย่ หากต่ำกว่า 1380 ให้ Stop Loss
สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ได้แก่ SYNEX, AJD, SAWAD, BR, BBL, SIRI, VNG, BRR, CEI ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้ว สามารถหาจังหวะขายทำกำไรได้ คือ M, BCP, GLOBAL
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
/- อังกฤษ : คณะกรรมการ BOE มีมติ 8 ต่อ 1 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% และส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 59 แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงและมีความปั่นป่วนในตลาดเงินทั่วโลก แต่ธนาคารกลางอังกฤษยังคงมุมมองด้านเศรษฐกิจและนโยบายไว้อย่างเดิม แต่ก็ยอมรับว่าความเสี่ยงขาลงมีมากขึ้น ทั้งนี้ BOE ยังคงวงเงินโครงการ QE ไว้เท่าเดิมที่ 3.75 แสนล้านปอนด์ หรือราว 5.76 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ)
-/ สหรัฐ: เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อไร เฟดจะประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐมีความขัดแย้งกันคือ ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง เฟดควรขึ้นดอกเบี้ยสกัด แต่อัตราเงินเฟ้อที่ยังต่ำ เฟดก็ไม่ควรรีบขึ้นดอกเบี้ย และจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากไป ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังน่าเป็นห่วง
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ: ปรับขึ้นเล็กน้อย ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจที่มีความขัดแย้งกัน คือ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วลดลง 3 แสนราย ขณะที่ดัชนีนำเข้าและส่งออกปรับตัวลง สาเหตุเพราะดอลลาร์แข็งค่า และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง
ดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้น 76.83 จุด หรือ 0.47% ปิดที่ 16,330.40 จุด ดัชนี S&P 500 บวก 10.25 จุด หรือ 0.53% ปิดที่ 1,952.29 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 39.72 จุด หรือ 0.84% ปิดที่ 4,796.25 จุด
+ ราคาน้ำมันดิบ: ปรับขึ้นได้ โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์เกี่ยวกับการผลิตน้ำมันดิบที่ลดลงในสหรัฐและการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์ก แม้ว่ามีการเปิดเผยปริมาณสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ปิดปรับขึ้น 1.77 ดอลลาร์ แตะที่ 45.92 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน ปิดเพิ่มขึ้น 1.31 ดอลลาร์ ที่ 48.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
กลุ่มโอเปกรับอินโดนีเซียกลับเข้าเป็นสมาชิก ทำให้เพดานการผลิตของกลุ่มเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณการผลิตของแต่ละสมาชิกไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้อินโดนีเซียมีปริมาณการผลิตที่ 8 แสนบาร์เรล/วัน ส่วนเพดานการผลิตของกลุ่มโอเปกที่รวมอินโดนีเซียแล้วจะเป็น 30.8 ล้านบาร์เรล/วัน (ก่อนรวมอยู่ที่ 30 ล้านบาร์เรล/วัน) โดยคาดว่าจะรวมอินโดฯตั้งแต่ 4 ธ.ค.58 เป็นต้นไป
+ ราคาทองคำ : เพิ่มขึ้นดี สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดปรับขึ้น 7.30 ดอลลาร์ ที่ 1,109.30 ดอลลาร์/ออนซ์ จากแรงซื้อชดเชย ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาดูสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
-/ ADB เตรียมปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 58 ลงอีกรอบ จากปัจจุบันที่ 2.9-3.0% เนื่องจากเศรษฐกิจภายในยังฟื้นตัวช้า การส่งออกมีแนวโน้มติดลบ แต่ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 59 จะเติบโตดีขึ้นเป็น 4.2% ซึ่งมาจากแรงกระตุ้นภาครัฐเป็นหลัก รวมทั้งคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตในอัตราที่ดีขึ้นในปี 59 สำหรับ DBS Group Research เราคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.8% ในปี 58 และขยายตัว 3.7% ในปี 59
+/ ยุทธ์ศาสตร์ปลุกเศรษฐกิจฐานราก นายกฯเป็นประธานคิกออฟ 20 ก.ย.58 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ใช้แรงขับเคลื่อน 5 ด้าน 1) ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ 2) ฐานทรัพยากรและพลังงานชุมชน 3) สถาบันการเงินเพื่อเกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน 4) สังคมเข้มแข็งและพลังพลเมือง และ 5) การสื่อสารเพื่อความเข้มแข็งของฐานราก เม็ดเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก 1.3 แสนล้านบาท
บอร์ด กทค.เล็งเคาะประมูลคลื่น 900 วันที่ 15 ธ.ค. เคาะราคาตั้งต้น 12,864 ล้านบาท ที่เลื่อนเวลามา จากเดิมเปิดประมูลใกล้ 1800 เดือน พ.ย. เนื่องจากต้องการให้เกิดการแข่งขันมากขึ้นกว่าจัดประมูลเวลาเดียวกัน โดยคลื่นนี้มาจากการคืนของ AIS ที่จะสิ้นสุดสัมปทาน 30 ก.ย.58 ทั้งนี้ กสทช.จะมีการลงมติ 16 ก.ย.นี้
+/ บาทกลับมาแข็งค่าเล็กน้อย ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 35.98 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ถือว่าดีกลับตลาดหุ้นในเรื่องเงินไหลออกน้อยลง แต่ต้องรอพิจารณาว่าจะเป็นเพียงระยะสั้น หรือเริ่มจะปรับฐาน หลังจากอ่อนค่าลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
+ VNG (ราคาปิด 13.20 บาท) : ได้รับประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าและการขยายกำลังการผลิต ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากการส่งออกประมาณ 70% ของรายได้รวม จึงได้รับผลดีจากการอ่อนค่าของเงินบาท และใน 3Q58 มีกำลังการผลิตแผ่นพื้นลามิเนตเพิ่มขึ้น (บริษัทขยายกำลังผลิตจาก 6 เป็น 10 ล้านตรม./ปี เริ่มกำลังการผลิตส่วนเพิ่มตั้งแต่ 3Q58 เป็นต้นไป) และแม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งจะสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน แต่คาดว่าผลดีจะมากกว่าและทำให้กำไรใน 3Q58 ยังคงแข็งแกร่ง เราประมาณการว่าผลประกอบการปี 58 บริษัทจะฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดการณ์กำไรสุทธิไว้ที่ 1.46 พันล้านบาท (EPS : 0.93 บาท/หุ้น) เติบโต 94%YoY จากกำไรสุทธิ 751 ล้านบาทในปี 57 ส่วนแนวโน้มกำไรปี 59 ยังเติบโตได้ดี จากการรับรู้รายได้จากกำลังการผลิตเพิ่มของแผ่นพื้นลามิเนตเต็มปี และมีกำลังการผลิต MDF Board เพิ่ม ซึ่งส่วนนี้ Switch มาจากสายการผลิต Particle Board ที่มีมาร์จิ้นต่ำกว่า สำหรับการลงทุนในโรงไฟฟ้าชีวมวล 9.9 MW อยู่ระหว่างรอเปิดประมูลใบอนุญาต ซึ่งบริษัทมีความพร้อมทั้งด้านเงินลงทุน เทคโนโลยี และวัตถุดิบ (ใช้เปลือกไม้และขี้เลื่อยจากโรงงานสุราษฎร์ธานีของตัวเอง) แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 15.40 บาท อิงกับ P/E ปี 59 ที่ 15 เท่า
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]