- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 07 September 2015 17:52
- Hits: 4652
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"เลือกซื้อเก็งกำไร/ถือเหนือ 1360"
Stock Picks-Sep 2015 : Fundamental : CK, INTUCH, KBANK, QH, RATCH
Fundamental Pick -Today: TCAP (ดูรายละเอียดหน้า 2)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : THAI 32%, KTB 22%, EGCO 21%, TICON 16%, IRPC 16%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ และควรระวังการแกว่งตัว
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1380-1390 ต่ำกว่า 1360
SET50 ซื้อค่าบวก 900-910 ต่ำกว่า 880
Technical Picks- Today : KBANK, TTCL, MK, HANA, HMPRO, IVL, NPP, BCH
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นอ่อนไหวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ & เศรษฐกิจโลก และโอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมาก โดยไม่ว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐจะออกมาดีหรือไม่ดีก็มีสิทธิทำให้ตลาดผันผวนเสมอ โดยหากออกมาดีมากๆ ก็กลัวว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง แต่เมื่อออกมาแย่กว่าคาดก็กังวลว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง ทำให้ราคาโภคภัณฑ์โดยเฉพาะน้ำมันดิบอ่อนแอต่อไป ส่วน QE ของยุโรปและญี่ปุ่นมีประสิทธิผลไม่มากเท่ากับของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม โดยเศรษฐกิจยุโรปและเงินเฟ้อยังฟื้นตัวช้า ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัวใน 2Q58 และทาง ECB ยังประกาศยืนยันว่าพร้อมที่จะใช้ QE เพิ่มเติมจาก 1.1 ล้านล้านยูโรอีกถ้าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก นับได้ว่าในช่วงนี้ปัจจัยภายนอกมีบทบาทกับตลาดโดยรวมมากทีเดียว ส่วนปัจจัยภายในมีน้ำหนักน้อยกว่า แต่ก็ถูกจับตามองว่าเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นได้หรือไม่หลังอีดฉีดมาตรการใหม่ๆ เข้ามา
สำหรับ DBS มองว่าในช่วง 3Q-4Q58 เศรษฐกิจภายในไม่แย่ลงหรือกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยก็ดีแล้ว เพราะผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะมี Lag Time อย่างน้อย 3-6 เดือน ซึ่งน่าจะไปเห็นผลดีตั้งแต่ 1Q59 เป็นต้นไป โดยภาพรวมแล้ว ในเดือนก.ย.58 เรายังแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนในหุ้นและเน้นบริหารความเสี่ยงให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถือครองเงินสดให้มากขึ้น (การเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนรอบสั้นแบบหวัง Gap กำไรไม่มากก็ถือว่าอยู่ในข่ายนี้) หรือปรับสถานะของพอร์ตให้มีค่า Beta ต่ำลงด้วยการเพิ่มสัดส่วนลงทุนในหุ้น Defensive
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ และควรระวังการแกว่งตัว การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1380, 1390-1400 จุด การอ่อนตัวจนหลุด 1360 จุดให้ Wait & See หรือลดพอร์ตตาม สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ได้แก่ BIGC, TTCL, ERW ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและยังสามารถถือต่อได้คือ AJD, CK, SYNEX, LIVE แต่ ASIMAR, CPALL ได้หลุดจาก List แล้ว
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงแรง หลังผิดหวังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร โดยดัชนี DJIA ปรับลดลง 272.38 จุด ทั้งนี้ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.58 เพิ่มขึ้น 173,000 ตำแหน่ง ลดลงจาก 245,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. (ปรับเพิ่มจากรายงานครั้งก่อนที่ 231,000 ราย) และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 5.1% ซึ่งต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย51 และลดลงจาก 5.3% ในเดือนก.ค.58
- ราคาน้ำมันดิบลดลงเล็กน้อย โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบต.ค.ปิด -70 เซนต์ ที่ 46.05 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ปิด -1.07 ดอลลาร์ ที่ 49.61 ดอลลาร์/บาร์เรล ตัวเลขจ้างงานสหรัฐที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจว่าจะชะลอตัวลง
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดปรับลง 3.10 ดอลลาร์ ที่ 1,121.40 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดยังไม่ชัดเจนหลังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.ออกมาต่ำกว่าคาด
รัสเซีย : มีข่าวว่าได้เพิ่มกำลังทหารในซีเรีย กระทรวงต่างประเทศรัสเซียเมินเฉยต่อข้อกังวลของสหรัฐ ในข้อกล่าวหาว่ารัสเซียเสริมกำลังทหารในซีเรีย ที่ทางรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ คือ นายจอห์น แคร์รี่ มองว่าอาจทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น
ประชาชนมีการอพยพจากประเทศที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจเข้าไปในประเทศขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น เช่น ผู้อพยพจากซีเรียเข้าไปในออสเตรเลีย, ผู้อพยพจากประเทศขนาดเล็กในยุโรปเข้าไปเยอรมนี โดยมีการคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีผู้อพยพเข้าเยอรมนีไม่น้อยกว่า 8 แสนคน ซึ่งหากมีจำนวนผู้อพยพมากเกินไปก็อาจส่งผลกระทบต่อฐานะเศรษฐกิจของประเทศปลายทางได้
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
/- การใช้จ่ายภาครัฐช่วง 11M ของปีงบประมาณ 58 อยู่ในเกณฑ์ดี แต่การลงทุนภาครัฐล่าช้า แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าวว่า การเบิกจ่ายภาครัฐในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณ 58 (สิ้นสุดก.ย.58) คิดเป็น 85% ของงบประมาณ 2.57 ล้านล้านบาท โดยมีความล่าช้าในส่วนของงบลงทุน ที่เบิกจ่ายไปได้เพียง 2.4 แสนล้านบาท หรือ 57% ของงบลงทุน 4.2 แสนล้านบาท ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐทำได้ดี 1.95 ล้านล้านบาท คิดเป็น 91% ของวงเงินใช้จ่ายรวม 2.15 ล้านล้านบาท โดยหลักเป็นค่าใช้จ่ายประจำ
+ TCAP : มีผลขาดทุนจากการขาย SCIB มากลับรายการภาษีได้อีก 5.8 พันล้านบาท (หลังกลับรายการนี้มาตั้งสำรองฯพิเศษ 1.8 พันล้านบาทไปแล้วใน 2Q58) เราคาดว่าธนาคารจะทยอยดำเนินการต่อเพื่อให้มี Coverage ratio ที่สูงราว 110-120% (สิ้นมิ.ย.58 อยู่ที่ 98%) แนวโน้ม 2H58 ไม่แย่ลง เพราะสถานการณ์ของกลุ่มยานยนต์ในประเทศค่อนข้างนิ่งแล้ว สินเชื่อโดยรวมจะหดตัวเพราะระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ ราคาปัจจุบัน 29.75 บาท มี P/BV เท่ากับ 0.7 เท่า และให้ Dividend Yield ปีนี้สูงที่ 5.6% ปีหน้า 6.3%
กระทรวงการคลังเตรียมเสนอครม.ลดหย่อนภาษีให้ SME เหลือ 10% จากปัจจุบันที่ 15% ในส่วนของกำไรที่เกิน 3 แสนบาทขึ้นไป ซึ่งขณะนี้ฐานภาษีรายได้ของ SME อยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท หากลด 5% ก็คิดเป็น 1.5 พันล้านบาทซึ่งกระทบรัฐบาลไม่มาก อย่างไรก็ตาม มีนักธุรกิจอาวุโสบางท่านมองว่ากระตุ้นไม่ถูกจุด เพราะสิ่งที่ SME ต้องการคือตลาดและกำลังซื้อเพื่อให้มียอดขายเพิ่มขึ้น รวมถึงความช่วยเหลือในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้สินค้ามี Value added สูงขึ้นและมีมาร์จิ้นที่ดีขึ้น
/+ ภาคเอกชนหนุนให้รัฐบาลกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเสนอให้พิจารณาลดหย่อนค่าธรรมเนียมและภาษีให้กับการซื้อที่พักอาศัยราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้ปานกลาง-ต่ำ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงก็จะเป็นบวกกับบริษัทที่มีฐานลูกค้าระดับดังกล่าวมากๆ เช่น LPN, SPALI, PS, LALIN, SENA เป็นต้น
การเมือง : ความไม่แน่นอนลากยาวออกไปหลังสปช.มีมติไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญ (ไม่รับ 135, รับ 105 งดออกเสียง 7) โดยคสช.จะต้องตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ 21 คนเข้ามาร่างรัฐธรรมนูญภายใน 30 วัน และทำการร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน แล้วนำร่างฯไปทำประชามติภายใน 45 วันหลังร่างฯแล้วเสร็จ โดยถ้าประชามติผ่านก็จะเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง แต่ถ้าไม่ผ่านก็ทำแบบเดิมซ้ำอีก ดังนั้นการเลือกตั้งจะเลื่อนออกไปอีกอย่างน้อย 7-8 เดือนเป็นประมาณกลางปี 60 ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบบ้าง โดยเฉพาะกับนักลงทุนต่างชาติที่รอให้ไทยมีการเลือกตั้งก่อนแล้วค่อยตัดสินใจลงทุน ส่งผลให้เศรษฐกิจจะฟื้นได้ช้าลง
ส่วนในระยะสั้นตลาดจับตา นโยบายและการดำเนินการในเรื่องต่างๆ มากกว่า เช่น มาตรการ 1.3 แสนล้านบาทที่ออกมาจะกระตุ้นให้ GDP ปีนี้เติบโตได้ถึง 3% หรือไม่ การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐจะคืบหน้าเร็วขึ้นและกระตุ้นให้การลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวพลิกฟื้นกลับมาได้เร็วแค่ไหน เป็นต้น ซึ่งในมุมมองของ DBS Retail Research เห็นว่าในช่วง 3Q-4Q58 เศรษฐกิจภายในที่ไม่แย่ลงหรือกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยก็ถือว่าดีแล้ว เพราะผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผู้มีรายได้น้อย 1.3 แสนล้านบาทและการเร่งลงทุนภาครัฐนั้นต้องมี Lag Time อย่างน้อย 3-6 เดือน ซึ่งก็จะเห็นผลดีตั้งแต่ 1Q59 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ในเดือนพ.ย.58 ก็จะมีการเปิดประมูล 4G เข้ามาเป็น Catalyst ให้กับกลุ่มสื่อสารและวางระบบไอซีทีก่อน
ESTAR (ราคาปิด 0.85 บาท, Market Cap 4.27 พันล้านบาท) : มีกระแสข่าวว่านักลงทุนต่างประเทศสนใจเข้าซื้อบริษัท โดยขณะนี้กำลังตรวจสอบฐานะการเงินก่อนตัดสินใจ (ทันหุ้น 7 ก.ย.58) สำหรับผลประกอบการและฐานะการเงินบริษัท ณ สิ้นมิ.ย.58 ทาง ESTAR มีรายได้รวมในงวด 6M58 เท่ากับ 239 ล้านบาท มีผลขาดทุนสุทธิ 41 ล้านบาท โดยมีสินทรัพย์รวม 7.1 พันล้านบาท มีหนี้สิน 2.6 พันล้านบาท สัดส่วน D/E เท่ากับ 0.6 เท่า และมี Book Value เท่ากับ 0.87 บาท/หุ้น บริษัทคาดว่าผลประกอบการ 2H58 จะดีขึ้นเพราะมีโครงการที่จะโอนรับรู้รายได้คือ StarView มูลค่า 3.8 พันล้านบาทเข้ามา
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]