- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 31 August 2015 18:20
- Hits: 1775
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เล่นสั้น ซื้อตามค่าบวก, หลุด 1355 ดูไม่ค่อยดี'
Stock Picks-Aug 2015 : Fundamental : INTUCH, KBANK, QH, RATCH, SCC ส่วน Dark Horse คือ CK, GL
Fundamental Pick -Today: -
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : M 63%, BJC 22%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกแต่น้อยลง และอาจพลิกเป็นลบได้
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1380,1400 ต่ำกว่า 1355
SET50 ซื้อค่าบวก 900,920 ต่ำกว่า 880
Technical Picks- Today : SCC, CPN, DTAC, BAFS, CPALL, SAPPE, BIGC, MAJOR
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ปิด +7.91 จุด ที่ 1365.94 มูลค่าซื้อขายปานกลาง 4.5 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการปรับขึ้นตามภูมิภาคและการรีบาวด์ของราคาน้ำมันดิบ หนุนโดยตัวเลข GDP ประจำ 2Q58 ของสหรัฐที่เติบโตแข็งแกร่งเกินคาด แต่การซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน โดยมีแรงขายทำกำไรระหว่างวันสลับออกมาต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อ 1.2 พันล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 3 พันล้านบาท ส่วนสถาบันในประเทศนำซื้อ 3.9 พันล้านบาท ด้านพอร์ตบล.ซื้อสุทธิเล็กน้อย
สำหรับสัปดาห์นี้ ตลาดจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ คือ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงาน ซึ่งอาจมีน้ำหนักต่อการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด (ปัจจุบันนักวิเคราะห์ประเมินว่าโอกาสที่เฟดจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยเดือนก.ย.58 มีราว 1 ใน 3 ส่วนอีก 2 ใน 3 คาดว่าจะปรับขึ้นหลังจากนั้น และบางส่วนมองว่าจะเริ่มปรับขึ้นต้นปี 59 เลย) สำหรับค่าเงิน ในระยะสั้นดูนิ่งขึ้น ทำให้ความวิตกกังวผลผ่อนคลายลง อย่างไรก็ดี ระยะสั้นมากควรระวังแรงขายทำกำไรที่จะสลับออกมา และทำให้ตลาดมีโอกาสแกว่งได้ ดังนั้นในการซื้อขายรอบสั้นควรดูว่าไม่ให้หลุดแนวฟิวเตอร์ทางเทคนิคที่ 1355 จุดไว้ด้วย
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกแต่น้อยลง และสามารถพลิกเป็นลบได้ด้วย การซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1380, 1400 จุด การอ่อนตัวจนหลุด 1355 จุดให้ Wait & See หรือลดพอร์ตตาม สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ได้แก่ SCC, CPN, DTAC, BAFS, CPALL, SAPPE, BIGC, MAJOR
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- เศรษฐกิจโลก : Moody's ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 59 เป็นเติบโต 2.8% (จากเดิม 3%) โดยในส่วนของสหรัฐปรับลดเป็น 2.6% (เดิม 2.8%) เพราะได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงิน US$ ส่วนของยูโรโซนคงไว้ที่ 2% ส่วนของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีลดลงจากส่งออกที่ชะลอตัว ด้านเศรษฐกิจบราซิลและรัสเซียคาดการณ์ว่าจะติดลบ 1% และ 1.5% ตามลำดับ
+ สหรัฐ : โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเดือนก.ย.มีน้อยลง ประธานเฟดสาขามินเนอาโพลิสเห็นว่าเฟดยังไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ นอกจากว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเป็นการกล่าวย้ำความเห็นที่ออกไปก่อนหน้าเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ว่าเฟดไม่ควรรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ควรผ่อนคลายนโยบายต่อไปท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งความเห็นดังกล่าวนี้สอดคล้องกับประธานเฟดสาขานิวยอร์กที่ได้ออกมากล่าวไว้ก่อนหน้าด้วย
สหรัฐ : การใช้จ่ายและความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำกว่าคาด การใช้จ่ายผู้บริโภคก.ค.58 เพิ่มขึ้น 0.3%MoM น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4%MoM และดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายของผู้บริโภคสหรัฐประจำเดือนส.ค.58 ลดลงเป็น 91.9 ต่ำกว่า 92.9 ซึ่งเป็นตัวเลขเบื้องต้นของเดือนส.ค. และต่ำกว่าระดับ 93.1 ของเดือนก.ค. อันเนื่องมาจากความวิตกต่อภาวะผันผวนในตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวก/ลบเล็กน้อย ปัจจัยหนุน คือ กระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.58 แต่ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดก็จำกัดช่วงบวกของตลาด รวมทั้งนักลงทุนรอบสั้นก็มีการขายทำกำไรออกมาด้วย
+ ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นต่อ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบต.ค.พุ่งขึ้น 2.66 ดอลลาร์ ปิดที่ 45.22 ดอลลาร์/บาร์เรล และสัญญา BRENT เพิ่มขึ้น 2.49 ดอลลาร์ ปิดที่ 50.05 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยตัวเลข GDP Growth ประจำ 2Q58 ที่ +3.7% เป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญ รวมทั้ง สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางก็เป็นปัจจัยหนุนด้วย (มีรายงานว่ากองทัพซาอุดิอาระเบียได้เคลื่อนพลข้ามเขตแดนเข้าไปทางตอนเหนือของเยเมนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดความขัดแย้งกับกลุ่มกบฎฮูตีในช่วงต้นเดือนมี.ค.58)
+ ราคาทองคำปรับขึ้นราว 1.02% โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.ปรับขึ้น 11.4 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,134 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยนักลงทุนได้เข้าซื้อสัญญาทองคำอีกครั้งหลังตัวเลขด้านผู้บริโภคเติบโตน้อยกว่าคาด และสถานการณ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียกับเยเมนน่าเป็นห่วงมากขึ้น
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ หุ้นใน SET50 ที่ราคายังต่ำกว่า BVS ซึ่งนักวิเคราะห์ในตลาดได้ประเมินราคาเป้าหมายและคำแนะนำการลงทุนไว้เป็นดังนี้
หุ้นใน SET50 ที่ P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า
Stock Target Price No. of Rec BVS Close P/BV
(Bt) (Bt) Price (Bt) (x)
TCAP 37.10 Buy 8, Hold 4 44.9 29.25 0.65
PTTEP 106.90 Buy 11, Hold 3, Sell 2 106.9 81.00 0.76
TPIPL 3.20 Buy 4 2.8 2.34 0.83
BANPU 24.80 Buy 6, Hold 6 25.1 21.20 0.84
BBL 188.30 Buy 6, Hold 4 175.8 167.50 0.95
Source : SET, IAA Consensus, DBS Vickers
ทั้งนี้หุ้นที่มี P/BV ต่ำกว่า 1 เท่าข้างต้น และ DBS ทำการวิเคราะห์โดยแนะนำซื้อลงทุน คือ PTTEP, BBL หุ้นที่แนะนำถือ เป็น TCAP, BANPU ส่วน TPIPL เรายังไม่ได้ทำการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐาน
+ BECL มีกำไรจากการขายหุ้น BMCL ให้กับ CK 10% ประมาณ 1 พันล้านบาท (ขายที่ราคา 1.79 บาท/หุ้น, ต้นทุน 1.14 บาท/หุ้น) โดยจะบันทึกเข้ามาใน 3Q58 (ทำดีลเดือนก.ค.58) ซึ่งตลาดยังไม่ได้ให้น้ำหนักกับปัจจัยนี้นัก สำหรับการเลื่อนควบรวมระหว่าง BECL กับ BMCL เป็นไม่เกิน 1 เม.ย.59 ได้สะท้อนเข้ามาในตลาดแล้ว ซึ่งเรามองว่าการควบรวมนี้เป็นเรื่องดีในระยะยาว เพราะเป็นการนำจุดแข็งของแต่ละบริษัทมาก่อให้เกิดประโยชน์ โดย BECL มีเงินสดอยู่มากแต่ไม่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ขณะที่ BMCL มีหนี้สินมากและมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมาก ซึ่งหนี้ที่สูงก็ฉุดผลประกอบการของบริษัทมาโดยตลอดในช่วงที่ผ่านมา เมื่อควบรวมกิจการแล้วเสร็จ บริษัทใหม่ก็จะมีโอกาสเติบโตได้ดีต่อเนื่องบนฐานะการเงินที่แข็งแรง (BMCL ได้เข้าไปบริหารการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสีน้ำเงิน ซึ่งจะช่วยเสริมผลประกอบการตั้งแต่ปี 59 และปี 61 ตามลำดับ) ทางฝ่ายวิจัยฯ DBSV ให้ราคาเป้าหมาย BECL ไว้ที่ 42.50 บาท
+ ธุรกิจค้าเหล็กไปได้ดีกว่าธุรกิจผลิตเหล็ก...หุ้นเด่น TMT (จ่ายปันผลสูง) กลุ่มผู้ผลิตเหล็กขั้นกลางยังประสบปัญหาอุปสงค์และราคาตกต่ำในตลาดโลกกดดันอย่างมาก ทำให้ผลประกอบการไม่สดใสและบางบริษัทขาดทุน แต่สำหรับผู้ค้าเหล็กในประเทศยังอยู่ในสถานะที่ดี เพราะเป็นการซื้อมาขายไป ผนวกกับการให้บริการครบวงจรกับผู้ค้าส่ง โมเดอร์นเทรด และลูกค้าต่างๆ ทำให้ได้มาร์จิ้นที่ดีขึ้น การใช้เหล็กในประเทศปีนี้ไม่ได้เติบโตมาก แต่ยอดขายบางบริษัทขยายตัวได้ดีเพราะได้ส่วนแบ่งการตลาดจากรายเล็กๆ เข้ามา เช่น TMT ซึ่งมาจากการที่บริษัทให้บริการกับลูกค้าอย่างครบวงจร รวมถึงการบริหารจัดการสินค้าคงคลังให้ด้วย ทำให้ยอดขายในปีนี้จะเติบโตได้ 10% และมีอัตรากำไรขั้นต้นกว่า 7% ซึ่งเป็นเกณฑ์ดีของธุรกิจ ฐานะการเงินดี จ่ายปันผลสูงต่อเนื่อง คาดการณ์เงินปันผลปีนี้ที่ 0.68 บาท/หุ้น คิดเป็น Yield 7.9% (จ่ายปีละ 1 ครั้ง) แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 11.20 บาท อิงกับ P/E ปี 58 ที่ 12 เท่า
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]