- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 28 August 2015 17:05
- Hits: 1124
บล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ตลาดยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยวันนี้น่าจะมีประเด็นเรื่องน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวแรง ขณะที่ราคาหุ้นน้ำมันลดลงลึก จึงน่าจะเป็นเวลาสะสมหุ้น PTT, PTTEP และยังชื่นชอบ BTS (FV@B12), วันนี้จึงเลือก PTT (FV@B360) เป็น Top pick ควบคู่กับ WORK (FV@B45)
SET Index 1,358.03
เปลี่ยนแปลง (จุด) 37.95
มูลค่าซื้อขาย (ล้านบาท) 52,391.81
ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท (ล้านบาท)
นักลงทุนต่างชาติ -1,744.65
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ -99.82
นักลงทุนสถาบันในประเทศ 6,120.27
นักลงทุนรายย่อย -4,275.80
นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยหนุนตลาดอีกครั้ง
งานสัมมนา "นโยบายเศรษฐกิจและทิศทางประเทศไทย" สรุปนโยบายรัฐที่อาจจะช่วยสร้างจิตวิทยาเชิงบวกต่อตลาด คือ
1. แผนระยะ 3 เดือน ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และ SMEs ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ทั้งจากปัญหาภัยแล้งและการส่งออกที่ชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก ทำให้กำลังในการซื้อสินค้าของเกษตรกรที่เป็นประชากรกว่า 50% ของประเทศลดลง ขณะที่การปล่อยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ก็เริ่มชะลอตัว ปล่อยสินเชื่อยากขึ้น ทำให้ธุรกิจขนาดเล็ก (SME) เกิดขึ้นน้อยลง โดยรัฐเตรียมอัดฉีดเงิน 1.2 แสนล้านบาท ผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งกองทุนหมู่บ้าน (5 หมื่นล้านบาท), แจกเงินตำบล (3.62 หมื่นล้านบาท) และเร่งใช้จ่ายโครงการลงทุนขนาดเล็ก (4 หมื่นล้านบาท) ซึ่งน่าจะสร้าง sentiment เชิงบวกต่อหุ้น leasing (SINGER, TK) และ ธุรกิจค้า ส่งและค้าปลีก (CPALL) เป็นต้น
2. แผนระยะกลาง สร้าง Cluster กลุ่มอุตสาหกรรม แบ่งเป็น 6 คลัสเตอร์ ประกอบไปด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี ไอที ดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ และ การเกษตร โดยมุ่งเน้นการดึงผู้ประกอบการไทยและ ต่างประเทศ โดยรัฐพร้อมสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับ และจะขยายเขตนิคมอุตสาหกรรม อาทิ มาบตาพุด และลาดกระบัง และพอร์ตท่าเรือ ซึ่งน่าจะสร้างผลดีต่ออุตสาหกรรมโดยตรงและที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาคก่อสร้าง และ วัสดุอุตสาหกรรม รวมถึงเครื่องจักรที่อาจจะต้องนำเข้าเครื่องจักรใหม่ๆ
3. เดินหน้าแผนระดมทุน การลงโครงสร้างพืน้ ฐาน ภายใต้แบบ PPP (Public Private Partnership) โดยเป็นการเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน เพื่อลดภาระการกู้ยืมของรัฐ โดยเฉพาะโครงการลงทุนในเชิงเศรษฐกิจ ได้แก่ ระบบรถไฟฟ้า ท่าเรือน้ำลึกเป็นต้น รวม 67 โครงการมูลค่าราว 1.41 ล้านล้านบาท (IRR ราว 12.5%) ข้อดีของโครงการ PPP คือ จะผลักดันให้โครงการต่างๆ เกิดเร็วกว่า เดิมที่ต้องใช้เวลานาน คือ ตั้งแต่ศึกษาจนดำเนินโครงการ 1-3 ปี ลดเหลือ 7-8 เดือน ข้อดีอีกประการคือ รัฐสามารถแก้ไขสัญญาการงานได้ กรณีที่มีปัญหา เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐ เช่นที่เกิดขึ้นภายใต้กฏหมายเดิมปี 2535 ทั้งนี้แม้แผน PPP จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่หากรัฐมีความชัดเจน น่าจะสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และเป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มก่อสร้าง (CK, STEC, ITD, UNIQ) วัสดุก่อสร้าง (SCC, TASCO) และ รถไฟฟ้า (BTS)
ราคาน้ำมันฟื้นตัวเร็วกว่าคาด เลือก PTT เป็น Top pick
ราคาน้ำมันดิบเริ่มฟื้นตัวหลังจากที่แตะระดับต่ำสุดที่ ที่ 41.8 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับต่ำใหม่เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่ 43 เหรียญฯ ต่อ บาร์เรล เมื่อกลางเดือน ม.ค. 2558 ซึ่งคาดว่าส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากผลทางด้านจิตวิทยา เนื่องจากเป็นระดับที่ต่ำมาก และ น่าจะกดดันให้ผู้ผลิตและสำรวจน้ำมันบางแห่งที่มีต้นทุนการผลิตที่แพง ต้องออกไปจากตลาด โดยเฉพาะผู้ผลิตน้ำมันชั้นหินดินดาน (Shale oil และ shale gas) และอาจจะทำให้นักค้าน้ำมันกลับเข้ามาเก็งกำไรอีกรอบ นอกจากนี้ น่าจะเป็นผลจากการรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ สัปดาห์ล่าสุดพบว่า ลดลง 5.5 ล้านบาร์เรล เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.62 ล้านบาร์เรล (เป็นการปรับเพิ่มขึ้นเพียงสัปดาห์เดียวหลังจากการลดลง 4 สัปดาห์ ติดต่อกัน โดยตั้งแต่เดือน เม.ย ซึ่งมีปริมาณสต็อกน้ำมันสูงสุด ถึงปัจจุบันสต็อกน้ำมันดิบได้ลดลงกว่า 8.17%) แม้ สต็อกน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นกล่าวคือ สต็อกน้ำมันเบนซินและดีเซล เพิ่มขึ้น 1.4 และ 1.6 ล้านบาร์เรลตามลำดับ หลังจากปรับตัวลดลง 2 สัปดาห์ติดต่อกัน ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐยังชะลอตัวก็ตาม
การที่ราคาน้ำมันดิบโลกได้ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมานั้น หลักๆ เกิดจากที่กลุ่ม OPEC ต้องการจะรักษาส่วนแบ่งตลาดของตนเอง และ ต้องการทำให้ผู้ผลิตรายใหม่ ซึ่งมีต้นทุนที่สูงกว่า ต้องออกจากตลาดไป จึงทำให้ OPEC คงการผลิตอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2558 แม้ราคาน้ำมันดิบจะลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก OPEC ได้ปรับกลยุทธ์ตลาดใหม่ จากอดีตที่จะปรับเปลี่ยนปริมาณการผลิต เพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้ต่ำเกินไป อย่างไรก็ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันจะฟื้นตัวอย่างมั่นคงเพียงใด ขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ขณะนี้นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานของ ASPS ได้ปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบมา 4 รอบแล้ว จนปัจจุบันใช้ค่าเฉลี่ย 53 เหรียญฯ ต่อ บาร์เรล ในปี 2558 และ 65 เหรียญ ฯ ต่อบาร์เรลในปี 2559 และมีการปรับลดประมาณการกำไรปีนี้ของหุ้นน้ำมัน คือ PTT, PTTEP รวมแล้วถึง 23% และ 51% ตามลำดับ ขณะที่ราคาหุ้นน้ำมันลดลงเฉลี่ย ytd -20.06% และ - 33.04% จึงเป็นจังหวะที่แนะนำให้สะสมหุ้น PTT(FV@B360) เนื่องจากมี upside 39% และอาจทยอยสะสม PTTEP(FV@B94) เนื่องจากมี upside ราว 25%
แม้ตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับตัวสูงขึ้น แต่ต่างชาติยังคงขายสุทธิ
แม้วานนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับตัวสูงขึ้นทั้ง 5 ตลาด อย่างไรก็ตามต่างชาติยังคงขายสุทธิทั้ง 5 ตลาดเช่นเดิม โดยมียอดขายสุทธิรวม 638 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 17) หากพิจารณาเป็นรายประเทศ พบว่า เกาหลีใต้ถูกขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 325 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 16) รองลงมาคือ ไต้หวันถูกขายสุทธิราว 201 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยอินโดนีเซียถูกขายสุทธิราว 38 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 17) และฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิราว 27 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 14) ส่วนตลาดหุ้นไทยถูกขายสุทธิราว 49 ล้านเหรียญ หรือ 1,745 ล้านบาท (ขายสุทธิติดต่อกัน 8 วัน โดยมียอดขายสะสมสุทธิรวม 3.3 หมื่นล้านบาท) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิสูงถึง 6,120 ล้านบาท ส่วนทางด้านตราสารหนี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 3,233 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ 1,301 ล้านบาท ส่วนทางค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 35.63 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียงกับวานนี้
การฟื้นตัวคาดว่ายัง ต่างชาติขายหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 16
ดังที่กล่าวไปเมื่อวานนี้ถึงการปรับฐานตลาดน่าจะใกล้สิ้นสุด หลังสะท้อนข่าวร้ายไประดับหนึ่งแล้ว สะท้อนจากประมาณการกำไรสุทธิของตลาดปี 2558 และ 2559 ที่ฝ่ายวิจัยปรับลง 2 ครั้ง ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ปรับลงรวมเฉลี่ยปีละ 12.3% โดยในครั้งล่าสุดหลังประกาศงบงวด 2Q58 ได้ปรับลดกำไรปี 2558 ลงราว 6% ซึ่งมีหลายกลุ่มฯ ที่มีการปรับลง เรียงลำดับจากมากไปน้อยคือ สื่อ-บันเทิง ปรับลด 15.6% พลังงาน ปรับลด 13.1% รับเหมาฯ ปรับลดง 11.8% ชิ้นส่วนฯ ปรับลด 10.3% ธนาคารฯ ปรับลง 9.1% อสังหาฯ ลด 4.8% ค้าปลีก ลด 3.9% ปิโตรฯ ปรับลง 3.5% และ สื่อสาร ลด 2.2% เป็นต้น ตรงข้ามกลุ่มที่มีการปรับประมาณการขึ้น หลักๆ มีเพียง วัสดุก่อสร้าง และส่งออกอาหาร เท่านั้น โดยเพิ่มขึ้นจากเดิม 13% และ 2.4% ตามลำดับ
ในอีกมุมหนึ่งหากย้อนดูการปรับฐานของ SET Index นับตั้งแต่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดเมื่อ 13 ก.พ. 2558 จนถึงปัจจุบัน ดัชนีได้มีการปรับฐานลงมาถึง 18.3% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะปรับลงแรงกว่าตลาด เช่น
- ธนาคารพาณิชย์ ลดลงถึง 28.8% (TMB -29.3%, SCB -23.7%, KBANK -23.3%, KKP -23.2%, KTB -22.6%)
- สื่อ-บันเทิง ลดลง 28.8% (RS -52.1%, MCOT -41.8%, VGI -41.2%, BEC -38.7%)
- พลังงาน ลดลง 25.5% (PTTEP -42.2%, PTT -32.5%, BANPU -28.3%)
- และอสังหาฯ ลดลง 23.8% (RML -50%, ROJNA -47%, QH -40%, PF -37%, SPALI -33%, PS -28%)
ส่วนกลุ่มที่ใกล้เคียงกับตลาด คือ สื่อสาร -18% เกษตร/อาหาร -16.8% ยานยนต์ -15.2% ขนส่ง -15% และรับเหมาฯ -15% ส่วนกลุ่มที่ปรับลดลงน้อยกว่าตลาด ได้แก่ ปิโตรเคมี -13.6% ประกันฯ -7.7% วัสดุก่อสร้าง -6.9% ท่องเที่ยว-โรงแรม -5% ชิ้นส่วนฯ - 4.9% ค้าปลีก -3.7% และกลุ่มที่สามารถปรับขึ้นได้ คือ โรงพยาบาล +0.9%
สำหรับแนวโน้มงวด 3Q58 คาดว่ามีแนวโน้มเพียงทรงตัว จากผลกระทบของเหตุระเบิดแยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่ผ่านมากระทบโดยตรงต่อธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม สายการบินและสนามบิน แต่อาจได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าช่วยหนุนผลกำไรของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจส่งออก โดยเฉพาะ SVI ที่ได้มีการปรับประมาณการกำไรขึ้นจากการที่ลูกค้าทยอยเพิ่มคำสั่งซื้อหลังกลับมาดำเนินการผลิตได้เป็นปกติแล้ว ขณะที่ราคาน้ำมันโลกที่อยู่ในระดับต่ำ มีทั้งกลุ่มที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ กล่าวคือ
กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันระดับต่ำ ได้แก่ ขนส่งทางเรือ : ราคาน้ำมันเตากลับมาอ่อนตัวต่ำสุด ส่งผลบวกต่อผู้ประกอบการเรือคอนเทนเนอร์ โดยเฉพาะ RCL ที่มีการบริหารจัดการกองเรือที่ดี วัสดุก่อสร้าง : ส่งผลบวกต่อ TASCO, VNG
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันระดับต่ำ ได้แก่ : ปิโตรเลียม ปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบในปี 2558 และ 2559 ลงอยู่ที่ 53 และ 65 เหรียญฯต่อบาร์เรล และปรับเพิ่มอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 34 และ 35 บาทต่อเหรียญฯ จากเดิมที่ 33 บาทต่อเหรียญฯ ในปี 2558 และ ตั้งแต่ปี 2559 ตามลำดับ จะส่งผลลบต่อผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มน้ำมันทั้ง PTTEP, PTT เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแปรผันโดยตรงกับราคาน้ำมันดิบที่อ้างอิงในตลาดโลก ปิโตรเคมี : แนวโน้มกำไรสุทธิในงวด 3Q58 จะถูกกดดันจากการขาดทุนสต๊อกน้ำมันของกลุ่มโรงกลั่น กระทบต่อ IRPC, PTTGC และ TOP
นักวิเคราะห์: ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647