- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 27 August 2015 16:49
- Hits: 991
บล.ซีไอเอ็มบี : Thailand Trading Picks(PM)
SET Index : ทดสอบแนวต้าน
SET Index : 1345.30 ดัชนีเช้านี้เปิดดีดขึ้นต่อเนื่อง ตามทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น SET ส่งสัญญาณบวกหลังยืนเหนือ 1340 จุด คาดดัชนีมีแนวโน้มปรับขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ระดับ 1350-1360 จุด และมีแนวรับระยะสั้นบริเวณ 1340 และ 1330 จุด
แนวต้าน : 1350 และ 1360
แนวรับ : 1340 และ 1330
KTB = 18.00 / 18.70, SCC = 460 / 470, PTT = 252 / 260, AQ = 8.75 / 9.65, JAS = 4.96 / 5.20
Asia Metal (AMC TB; THB 1.79) - ซื้อ
แนวต้าน : 1.85 และ 1.89
แนวรับ : 1.77 และ 1.75
ราคาหุ้นฟื้นตัวต่อ หลังผ่านเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นที่ 1.78 บาท คาดว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มแกว่งขึ้นต่อ หากราคายืนเหนือ 1.80 ได้แข็งแกร่ง
RSI สัญญาณบวก แนะนำซื้อ AMC โดยมีแนวรับระยะสั้น 1.77 และ 1.75 และมีแนวต้านระยะสั้น 1.85 และ 1.89 เป็นจุดขายทำกำไรเบื้องต้น
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 1.72 ลงไป
Tapaco (TAPAC TB; THB 5.25) - ซื้อ
แนวต้าน : 5.45 และ 5.60
แนวรับ : 5.20 และ 5.15
ราคาหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่อง หลังยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 75 วันที่ 5 บาทได้ คาดราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นต่อ หากราคาทะลุผ่าน 5.25 บาทได้
RSI เกิดสัญญาณปรับตัวขึ้น
แนะนำซื้อ TAPAC โดยมีแนวรับที่ 5.20 และ 5.15 และมีแนวต้านที่ 5.45 และ 5.60 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 5.05 ลงไป
Analysts :
Pornvilai Santusatharom +662 657-9230 - [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)
SET...คาดฟื้นตัวตามตลาดสหรัฐที่ฟื้นตัวแรง
แม้เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่จะมีการรีบาวน์ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 หลังเริ่มคลายความกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนบวกกับการที่ธนาคารกลางจีนได้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อยับยั้งการปรับลดลงแรงของตลาดหุ้น (A-shares) ที่ปรับลดลง 15% ใน 2 วันแรกของสัปดาห์นี้ โดยมีการลดดอกเบี้ย 0.25% และลด RRR ลงอีก 0.5% แต่ที่สุดแล้วตลาดหุ้นจีนก็ยังคงปรับลดลงต่ออีก 1.27% เมื่อวานนี้ เมื่อบวกกับตลาดยุโรปที่เปิดตลาดมาลดลงต่อก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยที่ระหว่างวันรีบาวน์ขึ้นมา +9.4 จุด มาที่ระดับ 1,333.3 จุด ก็ไม่สามารถยืนได้ ถูกแรงเทขายทำกำไรปลายตลาดจนปิด -3.8 จุดหรือ -0.29% ปิดที่ 1,320.08 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขาย 45,889 ล้านบาท ลดลงจากวันก่อนหน้าที่ 60,200 ล้านบาท แต่กลับมีแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศออกมาสูงถึง 4,443 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อนที่ขายสุทธิออกไป 3,312 ล้านบาท ส่งผลให้สัปดาห์นี้นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิออกมาแล้วถึง 12,530 ล้านบาท (เดือนสิงหาคมขายสุทธิ 41,718 ล้านบาทและนับจากต้นปีขายสุทธิไปกว่า 83,810 ล้านบาท)
หากพิจารณา fund flow ในตลาดหุ้นเอเชียในสัปดาห์นี้ที่มีความกังวลการปรับลงแรงของตลาดหุ้นจีนเราจะพบว่านักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นออกมาทั่วทั้งเอเชียนำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่ถูกขายสุทธิออกมา -3,784 ล้านเหรียญ (MTD -4,940 ล้านเหรียญ), รองลงมาเป็นตลาดเกาหลีใต้ -1,620 ล้านเหรียญ (MTD -3,245 ล้านเหรียญ), ตลาดอินเดีย -1,071 ล้านเหรียญ (MTD -1,681 ล้านเหรียญ), ตลาดไทย -352 ล้านเหรียญ (MTD -1,176 ล้านเหรียญ) ตามมาด้วยตลาดไต้หวัน -322 ล้านเหรียญ, ตลาดฟิลิปปินส์ -198 ล้านเหรียญและตลาดอินโดนีเซีย -139 ล้านเหรียญ โดยหากพิจารณาจากต้นปีจะพบว่าตลาดหุ้นไทยถูกขายออกมามากที่สุด -2,416 ล้านเหรียญ รองลงมาเป็นอินโดนีเซีย -413 ล้านเหรียญและฟิลิปปินส์ -125 ล้านเหรียญ ในขณะที่ตลาดหุ้นที่ยังคงมีการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศมากที่สุดยังเป็นตลาดญี่ปุ่น +24,197 ล้านเหรียญ, อินเดีย +5,384 ล้านเหรียญและไต้หวัน +3,258 ล้านเหรียญ
โดยประเด็นที่นักลงทุนต่างประเทศเร่งขายหุ้นทั่วเอเชียออกมานอกจากกังวลกับเศรษฐกิจจีนแล้วยังมีเรื่องของการอ่อนค่าลงของสกุลเงินหยวนของจีนที่ไปกดดันให้แต่ละประเทศในเอเชียต้องพยายามรักษาการอ่อนค่าของสกุลเงินประเทศตนเองเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันส่งออกสินค้า เมื่อบวกกับการที่ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าตามคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้และเศรษฐกิจสหรัฐที่ฟื้นตัวดี ก็ยิ่งเร่งให้นักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นออกจากประเทศในเอเชียที่ค่าเงินมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (หากค่าเงินอ่อนค่าลงจะทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน) ดังนั้นหากค่าเงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มแข็งค่า บวกกับค่าเงินหยวนหากอ่อนค่าลงต่อ เราก็คาดว่าตลาดหุ้นในเอเชียจะเผชิญแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศต่อเนื่องซึ่งยังเป็นความเสี่ยงหลักที่สำคัญในช่วงนี้
อย่างไรก็ตามเช้านี้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลงช่วงสั้นจากการที่ นายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ยังไม่เหมาะสมที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเผชิญความเสี่ยงจากภาวะปั่นป่วนในตลาดโลกระยะนี้ นายดัดลีย์ระบุว่า แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.มีความเป็นไปได้น้อยลงกว่าเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน คำกล่าวของนายดัดลีย์เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าความวิตกเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินของสหรัฐ อย่างไรก็ดี นายดัดลีย์ยังคงเปิดช่องสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมของเฟดในวันที่ 16-17 ก.ย. โดยระบุว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเพิ่มเติมที่เฟดได้รับเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ รวมทั้งการปรับตัวของตลาดการเงินระหว่างประเทศ จากผลดังกล่าวทำให้ตลาด DJIA ฟื้นตัวแรง 619 จุดหรือ +3.95% เมื่อวานนี้ ซึ่งน่าจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นเอเชียเช้าวันนี้
แม้ว่าเมื่อวานนี้สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะรายงานสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงมากถึง 5.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในช่วง 1 สัปดาห์นับตั้งแต่เดือนมิ.ย. และลดลงมากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล บวกกับค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงจากการคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. แต่ปรากฎว่าราคาน้ำมันดิบ WTI ยังคงปรับลดลงต่ออีก 0.71 ดอลลาร์/บาร์เรลหรือ -1.81% มาปิดที่ 38.6 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะอุปทานที่ล้นตลาด บวกกับความกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกและมีการบริโภคน้ำมันเป็นอันดับต้นๆ ของโลก อาจส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันในอนาคตปรับตัวลดลงได้ จากผลดังกล่าวเราคาดว่าจะเป็นปัจจัยที่กดดันหุ้นกลุ่มพลังงานต่อเนื่องในสัปดาห์นี้
เราคาดว่าตลาดในวันนี้จะรีบาวน์ได้ตามการฟื้นตัวของตลาดหุ้นทั่วโลกไปที่ระดับ 1330-1340 จุด แต่การปรับขึ้นของตลาดจะถูกจำกัดจากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศและความผันผวนของตลาดหุ้นจีน ดังนั้นการเก็งกำไรควรเป็นระยะสั้นภายในวัน ส่วนระยะกลางเราแนะนำหาจังหวะขายทำกำไรหรือขายตัดขาดทุนหากดัชนีฟื้นตัวไปเกินระดับเป้าหมายปลายปีของเราที่ 1350 จุด เนื่องจากเรายังมองตลาดมี downside risk จากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง วันนี้เราให้แนวรับที่ 1310-1315 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1330-1335 จุด
Analysts :
Kiatkong Decho +662 657-9236 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(PM)
Morning Market Summary...
SET ช่วงเช้าปิดที่ระดับ 1,345.30 จุด เพิ่มขึ้น 25.22 จุด (+1.91%) มูลค่าการซื้อขาย 23,488.23 ล้านบาท หุ้นไทยเช้านี้ดีดขึ้น ตามตลาดต่างประเทศที่ปรับตัวขึ้น หลังเฟดส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้ามีน้อยลง บ้านเราเช้านี้มีแรงซื้อนำในกลุ่มธนาคาร สื่อสาร รับเหมา โดยมีแรงหนุนจากมาตรการของภาครัฐ
Afternoon Perspective...
แนวโน้มตลาดภาคบ่าย ให้ปิดเหนือ 1340 จุด เพื่อให้ภาพระยะสั้นดูดีต่อเนื่อง ปัจจุบัน SET กลับมายืนเหนือ 1340 จุด ซึ่งเป็นระดับเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันได้ ซึ่งโดยธรรมชาติ จะทำให้เกิดสัญญาณ Follow buy ต่อเนื่อง สำหรับการเก็งกำไรระยะสั้น โดยจะมีแนวต้านถัดไปที่ 1358 จุด หากผ่านได้ก็มีโอกาสที่จะเริ่มมองเป้ายาวๆที่ 1388 จุดได้ โดยเป้าหมายหลักยังอยู่ในกลุ่ม Domestic play ที่คาดหมายว่าจะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งเบื้องต้นกองทุนหมู่บ้านจะเป็นจุดเริ่มต้น โดยเราคาดว่าหุ้นที่เกี่ยวข้องกับภาคเศรษฐกิจต่างจังหวัด เช่นกลุ่ม ค้าปลีก วัสดุก่อสร้าง ไฟแนนท์ จะกลับมาอยู่ในความสนใจของนักลงทุนอีกรอบ โดยเราชอบ CPALL ROBINS MAKRO GLOBAL TK THANI GCAP SCC DRT DCC
Fundamental Picks & Technic (PM) ...
Turnover List preview (Cash Balance) : คาดหลักทรัพย์ที่มีโอกาสติด Cash Balance สัปดาห์หน้า : AQ, HPT, IFEC, TNPC* (* ดูรายละเอียดของเงื่อนไขในบทวิเคราะห์ และกรณีหุ้นแม่ติด ฯ Warrant ทุกตัวของหุ้นนั้นจะติดตามด้วย)
Asia Metal (AMC TB; THB 1.79) - ซื้อ
Tapaco (TAPAC TB; THB 5.25) - ซื้อ
Analysts :
Teerawut Kanniphakul +66(2) 657 9233 - [email protected]/ [email protected]