- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 19 August 2015 18:59
- Hits: 2142
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"อาจแกว่งลงก่อน...แต่มีลุ้นเด้งตามมา"
Stock Picks-
Aug 2015 : Fundamental : INTUCH, KBANK, QH, RATCH, SCC ส่วน Dark Horse คือ CK, GL
Fundamental Pick -Today: KBANK
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, SNC, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : PTTGC 13%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบ แต่การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1380-1390 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 900-920 ค่าลบ
Technical Picks- Today : BBL, KBANK, GL, BCP
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ROJNA(จาก FULLY VALUED เป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ดัชนีตลาดหุ้นไทยดิ่งลง 36.13 จุด ปิดที่ 1372.61 มูลค่าซื้อขาย 8 หมื่นกว่าล้านบาท โดยมีแรงขายออกมาในแทบทุกกลุ่ม กลุ่มที่ร่วงลงมากสุดเป็นกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม & อาหาร การบิน ส่วนกลุ่มอื่นเป็นการปรับลงตาม Market Risk ที่เพิ่มขึ้น หุ้นที่ Perform ดี คือ กลุ่ม Defensive และปันผลสูง พวกธุรกิจสาธารณูปโภค, Property Fund, REIT เป็นต้น ปัจจัยกดดันคือ เหตุการณ์ระเบิดสี่แยกราชประสงค์เมื่อเย็นวานนี้ และเหตุระเบิดที่สาทรในวันนี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 6.9 พันล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 1.2 พันล้านบาท ส่วนรายย่อยซื้อสุทธิ 1.8 หมื่นล้านบาท
ในระยะสั้นนักลงทุนระมัดระวังการลงทุนมาก เพราะเพิ่งเกิดเหตุการณ์ระเบิดกลางเมือง จึงยังระแวงว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในพื้นที่อื่นอีกหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีเรื่องลบไปอีกระยะหนึ่งก็จะค่อยๆกลับสู่ภาวะปกติ (แต่คงไม่ได้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น) ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรี เรามองว่ายังเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ Sentiment ดีขึ้นได้ เมื่อพิจารณาจากรายชื่อตามโผที่เป็นกระแสข่าวในตลาด เพราะบุคคลส่วนใหญ่เป็นที่ยอมรับของนักลงทุน ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง-ยาว ยังคงแนะนำให้ถอยรับหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีเป็น Step ทั้งนี้คาดว่าถ้ารัฐบาลสามารถจุดพลุเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐสำเร็จ หุ้นในกลุ่ม Domestic Play จะเริ่มฟื้นตัวได้ใน 1H59 เป็นต้นไป (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมหน้า 2) หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น KBANK ส่วนการเก็งกำไรรอบสั้น แนะนำให้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคประกอบ ซึ่งเป็นดังด้านล่างนี้
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ แต่การซื้อใหม่ให้เน้นตามด้วยค่าบวก เพราะค่าลบของดัชนีและหุ้นจะดูไม่ดี โดยมีสิทธิลงไปที่แนวรับใหม่ 1360-1350 จุด ส่วนการรีบาวด์มีแนวต้านระยะสั้น 1380-1390 (1400) จุด สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น BBL, KBANK, SCB ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ M, TVO, WIIK, SYNEX หุ้นที่หลุด List เป็น BTC, CENTEL
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+/+ สหรัฐ : ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 0.2%MoM สู่ระดับ 1.21 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.50 แต่ตัวเลขการขออนุญาตก่อสร้างบ้านลดลง 16.3%MoM ในเดือนก.ค.58 สู่ระดับ 1.12 ล้านยูนิต
+ สหรัฐ : จับตาสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยจากรายงานการประชุมเฟด ที่ได้จัดไปเมื่อวันที่ 28-29 ก.ค. โดยจะเปิดเผยออกมาในวันพุธตามเวลาสหรัฐ ทั้งนี้ตลาดมองว่าโอกาสที่เฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.58 มีน้อยลงจากช่วงก่อนหน้า ซึ่งมาจากตัวเลขเศรษฐกิจบางรายการชะลอตัวลง เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า ราคาพลังงานที่ลดลงกดดันกำลังซื้อในตลาดโลก และมีความผันผวนในตลาดการเงินโลกหลังจีนประกาศลดค่าเงินหยวน
- ตลาดหุ้นจีนร่วงหนัก เมื่อวานนี้ลดลงกว่า 6% เพราะตลาดวิตกเกี่ยวกับมาตรการของงทางการเกี่ยวกับตลาดหุ้น โดยมีกระแสข่าวว่าทางการจีนจะยกเลิกหรือลดมาตรการพยุงตลาดหุ้นบางเรื่องลง ขณะที่ยังคงควบคุมไม่ให้นักลงทุนรายใหญ่ที่ถือหุ้นเกิน 5% ขายหุ้นออกมาเป็นเวลา 6 เดือนต่อไป ซึ่งข่าวนี้มีน้ำหนักมากและกลบผลดีจากการลดค่าเงินหยวนเพื่อกระตุ้นการส่งออก
+ ตลาดหุ้นสหรัฐอ่อนตัวลง โดยดัชนีดาวโจนส์ปิด -0.19%, ดัชนี Nasdaq ลดลง 0.64% และดัชนี S&P500 ลดลง 0.26% โดยแรงกดดันมาจากการร่วงลงแรงของตลาดหุ้นจีน และแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ หลังวอลมาร์ทปรับลดคาดการณ์กำไรปี 58 ลง เนื่องจากต้นทุนค่าแรงงานเพิ่มและค่าเงินผันผวน รวมถึงหุ้นกลุ่มเซมิคอนดัคเตอร์ที่ได้รับผลกระทบจากเมอร์ริล ลินซ์ แสดงมุมมองลบต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมนี้
+ ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นเล็กน้อย โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. +75 เซนต์ ปิดที่ 42.62 ดอลลาร์/บาร์เรล และ BRENT +7 เซนต์ ปิดที่ 48.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ในตลาดมีกระแสคาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะลดลงอีกหลังลดลงต่อเนื่องมาแล้ว 3 สัปดาห์ ซึ่งทาง EIA จะเปิดเผยวันนี้ (21.30 น.ตามเวลาไทย)
+ ราคาทองคำลดลงเล็กน้อย สัญญาทองคำที่ตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.58 ปิดลดลง 1.5 ดอลลาร์ หรือ -0.13% ที่ระดับ 1,116.90 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
+ เหตุการณ์ระเบิดทำให้ Market Risk เพิ่มขึ้น...แต่ถ้ามองว่าชั่วคราวก็เป็นจังหวะซื้ออีก 1 Step เราเห็นว่าเหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์และการก่อกวนที่ตามมาในช่วงนี้ กดดันความเชื่อมั่นและกระทบภาคท่องเที่ยว แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะดูแลและควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้ผลกระทบจะเกิดขึ้นในระยะหนึ่ง แต่เมื่อสถานการณ์นิ่งและไม่มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก ความเชื่อมั่นก็จะค่อยๆกลับคืนมา ในเช้าวันนี้ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเป็น 35.516 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับเมื่อวานนี้ที่ยังตกใจกับข่าวระเบิด ค่าเงินบาทอ่อนสูงสุดที่ 35.628 บาท/ดอลลาร์
สำหรับหุ้นเด่นในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก เป็นดังนี้
# กลุ่มแบงค์ : KBANK, BBL # กลุ่มไฟแนนซ์ : GL
# กลุ่มพลังงาน : BCP # กลุ่มสาธารณูปโภค : TTW
# กลุ่มปิโตรเคมี : PTTGC # กลุ่มก่อสร้าง : CK
# กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : SCC # กลุ่มสื่อสาร : INTUCH
# กลุ่มขนส่ง : AOT, BTS # กลุ่มโรงแรม & อาหาร : CENTEL
+ การปรับครม.น่าจะทำให้ Sentiment ตลาดดีขึ้น เมื่อพิจารณาจากรายชื่อตามโผที่เป็นกระแสข่าวในตลาดที่นายกรัฐมนตรีได้นำขึ้นทูลเกล้าฯแล้วนั้น เห็นว่าส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ตลาดให้การยอมรับ โดยเฉพาะรองนายกฯที่ดูแลด้านเศรษฐกิจและทีมงาน (ซึ่งนำทีมโดยดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์) โดยคาดว่านโยบายและมาตรการของทีมเศรษฐกิจใหม่น่าจะสร้างความหวังให้กับตลาดได้อีกรอบ แต่จะเป็นบวกกับตลาดได้นานแค่ไหน ก็ขึ้นกับประสิทธิผลของการใช้นโยบายและมาตรการต่างๆ ทั้งนี้เรามองว่าจังหวะการเข้ามาของทีมเศรษฐกิจใหม่ค่อนข้างดีเพราะการใช้จ่าย & ลงทุนภาครัฐรอบใหม่กำลังเริ่มต้นและจะมาก & รวดเร็วขึ้นในระยะต่อไป ซึ่งหากการจุดพลุเศรษฐกิจด้วยโครงการภาครัฐสำเร็จ ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นผู้ลงทุนและความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้นในระยะต่อไป หุ้นในกลุ่ม Domestic Play ทั้งหลายก็จะพลิกฟื้นขึ้นได้ ซึ่งคาดว่าจะเห็นชัดเจนได้ตั้งแต่ 1H59 เป็นต้นไป ดังนั้นเราจึงมองว่าถ้าเป็นการลงทุนระยะกลาง-ยาว ก็สามารถถอยรับหุ้นพื้นฐานดีเป็น Step ได้ (ซึ่งเราได้ Call ให้เริ่มซื้อ Step แรกไปแล้วที่ระดับดัชนี 1400 ต้นๆ และเห็นว่าระดับ 1370-1350 ก็เป็นอีก Step ที่น่าสนใจทยอยซื้อ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่ควรซื้อเต็มอัตรา เพราะตลาดมีปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่ไม่แน่นอนอยู่หลายประการ โดยเฉพาะผลกระทบจากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย เราให้ Guidance เบื้องต้นว่าการทยอยซื้อ 2 Step ที่กล่าวไว้ข้างต้นน่าจะอยู่ที่ 50+/-% ของเงินลงทุน
สำหรับการลงทุนรอบสั้น แนะนำให้ใช้วิเคราะห์ทางเทคนิคประกอบการตัดสินใจด้วย ซึ่งทีมวิเคราะห์เทคนิคของ DBS ให้มุมมองและคำแนะนำทั้งในส่วนของภาพตลาดและหุ้นที่น่าสนใจเก็งกำไรในทุกวันอยู่แล้ว (ดูได้ในหน้าแรก)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]