- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 19 August 2015 18:15
- Hits: 1047
บล. เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ความเสี่ยงจากเหตุระเบิด 2 วันต่อเนื่อง ยังส่งผลเชิงลบต่อบรรยากาศการลงทุน รวมทั้งกดดันกำไรของหลายกลุ่มในงวด 3Q58 ต่ำกว่าคาด แนะนำเลือกหุ้นเป็นรายตัว โดยเฉพาะหุ้น Defensive และหุ้น P/E ต่ำ ปันผลสูง เลือก ADVANC (FV@B285) และ EASTW (FV@B14) เป็น Top picks
มีแนวโน้มปรับลดประมาณการกำไรปีนี้อีก 4.3%
จากที่ได้นำเสนอใน Market Talk วานนี้ ถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนใน SET Index งวด 2Q58 มีจำนวน 530 บริษัท (ไม่รวมหุ้นที่อยู่ในกลุ่มฟื้นฟูฯ) ปรากฏว่ามีกำไรสุทธิรวม 2.12 แสนล้านบาท ลดลง 7.3% qoq แต่เพิ่มขึ้น 10% yoy ส่งผลให้กำไรรวม 6 เดือนแรกของปี 2558 อยู่ที่ 4.41 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 49% ของประมาณการกำไรสุทธิเดิมปี 2558 (ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 8.87 แสนล้านบาท)
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิปรับลดลงมากสุดเมื่อเทียบกับ 1Q58 คือ
ขนส่ง พลิกจากกำไร 1.3 หมื่นล้านบาทกลายเป็นขาดทุน 3.9 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการปรับลดลงของขนส่งทางอากาศ หลักๆ มาจาก THAI
ท่องเที่ยว/โรงแรม ลดลง 98%qoq จากกำไรที่ลดลงอย่างมีนัยฯ ของ CENTEL และการพลิกกลับมาขาดทุนของ ERW โดยรวมกลุ่มนี้ผลกำไรลดลงเนื่องจากผ่านพ้นช่วง high season ในงวด 1Q58 ไปแล้ว
สื่อสาร ลดลง 38%qoq จากการลดลงของ JAS (ไม่มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ากอง JASIF เหมือนงวด 1Q58) DTAC (ผลจากคลื่นสัมปทานซึ่งมีต้นทุนแพงเกินคาด) และ TRUE
ประกันฯ ลดลง 28%qoq จากกำไรที่หดตัวของ THRE เนื่องจากในงวด 1Q58 มีการบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนใน THREL
ยานยนต์ ลดลง 27%qoq หลักๆ มาจากกำไรที่ลดลงของ STANLY, SAT และ PCSGH
โรงพยาบาล ลดลง 25%qoq มาจากการลดลงของกำไรใน BDMS เป็นหลัก
การเงิน ลดลง 22%qoq ส่วนใหญ่มาจากการลดลงของกลุ่มหลักทรัพย์ตามมูลค่าการซื้อขายในตลาดฯ ที่ชะลอตัวลง
เกษตร-อาหาร ลดลง 16%qoq มาจากการลดลงของกำไรอย่างมีนัยฯ ของ MINT และ TUF รวมถึงหุ้นกลุ่มน้ำตาล KSL, KBS, KTIS ที่ลดลงตามราคาน้ำตาลโลก
ตรงข้าม กลุ่มที่มีกำไรปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่
ปิโตรเคมี +126%qoq มาจากกำไรที่เพิ่มขึ้นของ PTTGC และ IVL
รับเหมาก่อสร้าง +121.4%qoq หลักๆ มาจากกำไรที่เพิ่มขึ้นของ CK
อสังหาฯ +49%qoq มาจากกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ ของ PS, SC และ SIRI
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 24.7% qoq มาจากกำไรที่เพิ่มขึ้นของ SVI
วัสดุก่อสร้าง 15.4%qoq จากกำไรที่เพิ่มขึ้นของ SCC และ VNG
สื่อ-บันเทิง 10%qoq จากการพลิกมากำไรของ WORK, กำไรที่ new high ของ MAJOR
สำหรับแนว โน้มผลประกอบการของตลาดฯ งวด 2H58 นั้น หากอิงประมาณการกำไรตลาดเดิมในปีนี้ที่ 8.87 แสนล้านบาทดังกล่าว จะต้องทำกำไรเฉลี่ยไตรมาสละ 2.23 แสนล้านบาท ซึ่งค่อนข้างเป็นไปได้ยากเนื่องจากมีโอกาสที่งวด 3Q58 ผลการดำเนินจะชะลอตัวตามผลของการขาดทุนสต็อกน้ำมันเนื่องจากราคาน้ำมันโลกที่อยู่ในระดับต่ำ กระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน รวมทั้งผลกระทบของการฟื้นตัวล่าช้าของเศรษฐกิจในประเทศและการชะลอตัวของสินเชื่อ กระทบต่อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และล่าสุดจากเหตุการณ์ระเบิดในช่วง 2 วันที่ผ่านมา น่าจะเป็นปัจจัยกดดันผลการดำเนินงานต่อเนื่องอีกหลายกลุ่มฯ อาทิ ท่องเที่ยว-โรงแรม, โรงพยาบาล, สายการบิน จึงมีความเป็นไปได้ที่ฝ่ายวิจัยมีโอกาสปรับลดประมาณการกำไรปี 2558 และ 2559 ลง จาก 8.87 แสนล้านบาท และ 1.02 ล้านล้านบาท เป็น 8.49 และ 9.60 แสนล้านบาท ลดลงจากประมาณการเดิม 4.3% และ 5.6% หรือคิดเป็น EPS 91.2 บาท และ 103.1 บาทต่อหุ้น ซึ่งทำให้ระดับดัชนีปัจจุบันมีค่า Expected PER ที่ประมาณ 15 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเพื่อนบ้าน คือ อินโดนีเซีย 14.68 เท่า มาเลเซีย 14.79 เท่า ตลาดหุ้นจีน 15.25 เท่า แต่ต่ำกว่าตลาดหุ้นอินเดีย 16.79 เท่า และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ 19.43 เท่า แม้ระดับ Expected PER จะใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยประเมิน แต่จากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศที่เกิดขึ้นล่าสุด ทำให้ยังเห็นความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นไทยอยู่ จึงคาดว่าแนวรับถัดไปน่าจะอยู่ที่ PER 15 – 14.5 เท่า หรือบริเวณ 1,367 – 1,322 จุด
ตลาดบ้านสหรัฐยังแข็งแกร่ง แต่แนวโน้มเงินเฟ้อยังต่ำ
สหรัฐ วานนี้มีการรายงานดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจสำคัญ คือ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือน ก.ค. อยู่ที่ 1.26 ล้านหลัง (อัตรารายปี) มากกว่าเดือนก่อนหน้าที่ 1.1 ล้านหลัง แสดงถึงภาคอสังหาฯ ยังมีแนวโน้มที่ดี ส่วนในวันนี้จะมีการรายงานอัตราเงินเฟ้อ และพรุ่งนี้จะมีการรายงานการประชุมของ Fed ในครั้งที่ผ่านมา (Fed release minute) ซึ่งจะต้องดูว่าจะมีนัยสำคัญต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างไร ทาง ASPS ยังมองว่า Fed น่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% ต่อไปในการประชุมรอบถัดไปคือ 16-17 ก.ย. 2558 และน่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วสุดในปลายปีนี้ (การประชุม 15-16 ธ.ค. 2558) หรืออย่างช้าต้นปี 2559 ซึ่งเชื่อว่าตลาดน่าจะรับรู้ประเด็นนี้แล้ว ทางด้าน อังกฤษ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในเดือน ก.ค. ที่รายงานเมื่อวานนี้ของสหราชอาณาจักร ออกมาดีกว่าที่ตลาดสำรวจไว้ที่ 0.1% หลังจากอยุ่ในระดับ 0%มาตั้งแต่เดือนก.พ. ส่งสัญญาณถึงการฟื้นตัวที่มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ก็ยังต่ำกว่าที่ธนาคารอังกฤษตั้งเป้าหมายไว้ที่ 2% และ ญี่ปุ่น เมื่อวันที่17 ส.ค. ทางการญี่ปุ่นเปิดเผยตัวเลข GDP Growth งวด 2Q58 หดตัวลง 1.6% ต่ำกว่างวด 1Q58 ที่ระดับ 1% ส่งสัญญาณถึงการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในประเทศ จึงทำให้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของญี่ปุ่นยังมีความจำเป็น
ต่างชาติขายหุ้นไทยสูงสุดในรอบปี และสถาบันฯขายหุ้นไทยสูงสุดในประวัติศาสตร์
วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิราว 260 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 10) แต่เป็นการซื้อสุทธิอยู่ประเทศเดียวคือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิราว 11 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 4 วัน) ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเทศ ต่างชาติยังคงขายสุทธิ นำโดยเกาหลีใต้ถูกขายสุทธิราว 38 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 9) เช่นเดียวกับกลุ่ม TIP อย่างอินโดนีเซียถูกขายสุทธิราว 37 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 10) และฟิลิปปินส์ที่ถูกขายสุทธิเล็กน้อยราว 1 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 8)
ส่วนตลาดหุ้นไทยวานนี้ต่างชาติขายสุทธิสูงสุดในรอบปีราว 194 ล้านเหรียญ หรือ 6,909 ล้านบาท (นับตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. 2557 เป็นต้นมา) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิสูงสุดในประวัติศาสตร์ราว 12,031 ล้านบาท (ในวันที่ 29 มิ.ย. 2555 ที่ผ่านมาสถาบันฯเคยขายสุทธิสูงสุดที่ 6,736 ล้านบาทเท่านั้น แต่วานนี้กลับขายสุทธิสูงเกือบ 2 เท่าของวันที่ขายสูงสุดในอดีต)
ทางด้านตราสารหนี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 28,293 ล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ 1,370 ล้านบาท ส่วนทางค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 35.56 บาท/ดอลลาร์
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
โอกาสสำหรับ Long Term Investor แต่ Speculator ยังเสี่ยงการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงของ SET Index วานนี้เกิดขึ้นจากแรงกดดันทั้งจากเหตุการณ์ความรุนแรงในประเทศไทย และความกังวลอันเนื่องมาจากการปรับตัวลดลงรุนแรงของตลาดหุ้นจีน แต่ด้วยระดับ SET Index ปัจจุบันที่ 1372.61 จุด หากพิจารณาในเชิงปัจจัยพื้นฐานแล้ว ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะเริ่มเข้ามาสะสมหุ้น เพราะหากกำหนดสมมุติฐานในเชิงอนุรักษ์นิยม (Conservative) โดยการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2558 ลงในอัตราราว 4 – 5% ที่ระดับ SET Index ดังกล่าวจะมีค่า Current PER ราว 15.9 เท่า เทียบกับจุดสูงสุดที่เคยซื้อขายในระดับที่สูงกว่า 20 เท่า และมีค่า PER ณ สิ้นปี 2558 ต่ำเพียง 15 เท่า และเป็นระดับที่ทำให้ Market Earning Yield Gap กว้างกว่า 4.7% ซึ่งถือระดับที่สามารถดึงดูดความสนใจของนักลงทุนระยะยาวในการที่จะเข้ามาทำการสะสมหุ้น
โดยที่ทางเลือกการลงทุนที่หลากหลาย เช่นหุ้นที่ให้ Dividend Yield สูง หรือหุ้นที่มีความผันผวนของผลประกอบการต่ำอย่างหุ้นในกลุ่มที่ทำธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐาน หรือหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสูง อาทิ
หุ้นสาธารณูปโภค โรงไฟฟ้า ประปา เนื่องจากรายได้ค่อนข้างมั่นคง มีความผันผวนต่ำ ได้แก่ EASTW (FV@B14) beta ต่ำเพียง 0.39 และ PER เพียง 14 เท่า คาดหวัง Div.Yield ราว 4%, TTW ([email protected]) beta ต่ำเพียง 0.50 และ PER 16 เท่า คาดหวัง Div.Yield ถึง 5.6%, EGCO (FV@B184) beta ต่ำเพียง 0.43 และ PER เพียง 14 เท่า คาดหวัง Div.Yield ราว 4.08%
หุ้นเติบโตแรงท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว ได้แก่ SCC (FV@B 580) EPS Growth ปีนี้กว่า 40% และปีหน้าเติบโต 8%, WORK (FV@B 45) EPS Growth ปีนี้เติบโตถึงกว่า 7 เท่า และปีหน้าเติบโต ถึง 73%, VNG ([email protected]) EPS Growth ปีนี้เติบโตเกือบ 1 เท่า และปีหน้าเติบโตอีก 8.4%
หุ้น Dividend Yield สูง ได้แก่ INTUCH (FV@B113) Div.Yield 6.5%, ADVANC (FV@B 285) Div.Yield 6%, BTS (FV@B12) Div.Yield 6.9%
อย่างไรก็ตาม สำหรับการเก็งกำไรระยะสั้น หากประเมินจากสถานการณ์แวดล้อมแล้วจะเห็นว่าความเสี่ยงต่อการที่จะเกิดความผันผวนยังอยู่ในเกณฑ์สูง เนื่องจากยังอยู่ในภาวะที่มีความไม่แน่นอนของสถานการณ์หลายเรื่อง เช่น พัฒนาการของสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย รวมถึงความผันผวนของตลาดหุ้นจีน
เหตุระเบิดนอกจากกระทบกลุ่มท่องเที่ยว แล้วยังกระทบธุรกิจอื่น อย่างโรงภาพยนตร์ เช่นกัน เหตุระเบิดที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ในวันจันทร์ ที่ 17 ส.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบให้ห้างสยามพารากอน ปิดเร็วขึ้นเป็น 21.00 น. และโรงภาพยนตร์ของ MAJOR (FV@B34) ในห้างดังกล่าวฉายภาพยนต์รอบดึกสุดของสาขาดังกล่าวจะสิ้นสุดในเวลา 20.30น. แทนเดิมสิ้นสุด 00.30 น. ทั้งนี้เนื่องจากห้างดังกล่าวอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ คือสี่แยกราชประสงค์ ทำให้มีผู้มาใช้บริการในห้างดังกล่าวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงผู้ที่มาชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์พารากอนซีนิเพล็กซ์ทั้ง 14 โรงที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งจำนวนรอบฉายหนังในโรงภาพยนต์ในสาขาดังกล่าวยังลดลงจากเดิมกว่า 10 รอบต่อวัน ทั้งนี้ รายได้จากสาขาพารากอนคิดเป็น 7% ของรายได้ธุรกิจโรงภาพยนต์ของ MAJOR ในขณะที่โรงหนังสาขาอื่นยังให้บริการปกติ แต่มีความเสี่ยงที่สาขาอื่นๆในใจกลางเมือง อาทิ สาขาที่ Emquartier อาจได้ผลกระทบผู้ชมภาพยนตร์ลดลงกว่าปกติ เนื่องจากเป็นย่านกลางใจเมื่อง ที่มีโอกาสเป็นพื้นที่เสี่ยง ต่อการก่อเหตุการณ์รุนแรง ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินผลกระทบหากรายได้ธุรกิจโรงหนังในงวด 3Q58 ลดลงจากที่คาด 10% เพียงไตรมาสเดียว จะทำให้กำไรปกติปีนี้ลดลง 2.21%จากประมาณการที่ 1,207 ล้านบาท และทำให้มูลค่าพื้นฐานอิงวิธี DCF ลดลง 0.40 บาท แต่หากเกิดเหตุการณ์รุนแรงและยืดเยื้อไปถึงสิ้นปี ส่งผลให้มูลค่าพื้นฐานหุ้นปีนี้มีโอกาสลดลงราว 1- 2 บาท ต่อหุ้น ด้วยข่าว Sentiment เชิงลบ ดังกล่าว จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ แม้ยังคงคำนะนำ “ถือ”
หุ้นที่แนะนำใน Market talk