- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 18 August 2015 16:24
- Hits: 2737
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"เน้นซื้ออ่อนตัว…หลุด 1400 มีแนวรับถัดไป 1380 หรือต่ำกว่า"
Stock Picks-
Aug 2015 : Fundamental : INTUCH, KBANK, QH, RATCH, SCC ส่วน Dark Horse คือ CK, GL
Fundamental Pick -Today: -
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, SNC, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : ESSO 49%, GLOW 35%, THAI 31%, SCC 24%, M 24%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1420-1430 หลุด 1400
SET50 ซื้อค่าบวก 930-940 หลุด 910
Technical Picks- Today : BBL, WIIK, SYNEX, BCP, TIPCO, KIAT, TVO
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ดัชนีตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลง 5.18 จุด ปิดที่ 1408.74 จุด โดยลดลงตามตลาดภูมิภาค ทั้งนี้ตลาดหุ้นโดยรวมขาดปัจจัยบวกใหม่ และยังมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอก ทางญี่ปุ่นรายงาน GDP Growth ไตรมาส 2 ปีนี้ -1.6% ถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์แต่ก็ชะลอตัวลง นักลงทุนสถาบันในประเทศและพอร์ตบล.ขายสุทธิ ต่างชาติและรายย่อยซื้อสุทธิ สำหรับวันนี้คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะอ่อนตัวต่อ จากเหตุการณ์ระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์เมื่อคืนที่ผ่านมา ทำให้ความเชื่อมั่นลดลง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ คือ ท่องเที่ยว การบิน โรงแรม & อาหาร โดยหุ้นที่อยู่ใน Coverage ของเราและอาจได้รับผลกระทบทางลบ คือ AOT, BA, CENTEL, MINT, THAI เป็นต้น
สำหรับ CPN ซึ่งทำธุรกิจให้เช่าพื้นที่ Central World คาดว่าจะได้รับผลกระทบจำกัดมาก โดยคาดว่าอัตราการเช่าจะไม่ลดลงหากไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงซ้ำซ้อนอีก ในเชิงกลยุทธ์เห็นว่า การอ่อนตัวเป็นจังหวะซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาว หุ้นเด่น คือ AOT, CENTEL, CPN ส่วนปัจจัยที่จับตาในประเทศ คือ การปรับครม. ส่วนต่างประเทศ เป็นรายงานผลการประชุมเฟดที่จะเปิดเผยในวันที่ 19 ส.ค.นี้ (ตามเวลาสหรัฐ) เพื่อจับสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบ/หลุด 1400 จุด ดูไม่ดีมีสิทธิลงไปที่ 1380+/- จุด ส่วนการรีบาวด์มีแนวต้านระยะสั้น 1420-1430, 1440 จุด สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น WIIK, SYNEX ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ M, BTC, TVO หุ้นที่แนะนำไปแล้วและราคาปรับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ Take Profit เป็น GL, FORTH, MCS
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
-/+ สหรัฐ : ดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) ทรุดตัวในเดือนส.ค. แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 42 หลังจากเพิ่มขึ้นในเดือนก.ค.โดยอยู่ที่ระดับ -14.92 ในเดือนส.ค.58 จาก 3.86 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นผลจากการทรุดตัวของคำสั่งซื้อใหม่และยอดส่งออก อย่างไรก็ตาม ดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจล่วงหน้าพุ่งขึ้นสู่ 33.64 จาก 27.04 ในเดือนก.ค.
+ สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านพุ่งขึ้นในเดือนส.ค.เป็นระดับ 61 ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.48 สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ ดัชนีเหนือ 50 หมายถึงการขยายตัว MoM
+ สหรัฐ : จับตารายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 28-29 ก.ค.58 ซึ่งคณะกรรมการเฟดจะเปิดเผยในช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 21 ส.ค.ตามเวลาไทย เพื่อประเมินท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
+ ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกกลับมาบวกได้ หนุนโดยกลุ่มก่อสร้างบ้าน โดยดัชนี DJIA ปิด +0.39% ทั้งนี้ในระหว่างซื้อขายดัชนีปรับลดลงกว่า 100 จุดแล้วดีดกลับ ปัจจัยที่กดดันตลาด คือ รายงานดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวมเดือนส.ค.ที่ลดลง แต่การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มก่อสร้างช่วยหนุนดัชนีให้ปิดบวกได้
- ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 63 เซนต์ ปิดที่ 41.87 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ลดลง 45 เซนต์ ปิดที่ 48.74 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยกดดัน คือ ความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า GDP ไตรมาส 2 ปีนี้ หดตัวลง 1.6% ซึ่งเป็นการหดตัวลงครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส เนื่องจากผู้บริโภคลดการใช้จ่าย และการส่งออกอยู่ในภาวะซบเซา และภาวะอุปทานล้นตลาดของน้ำมันดิบ
+ สัญญาทองคำ COMEX ส่งมอบธ.ค.58 เพิ่มขึ้น 5.7 ดอลลาร์ หรือ 0.51% ปิดที่ระดับ 1,118.40 ดอลลาร์/ออนซ์ อย่างไรก็ตาม การซื้อขายยังค่อนข้างซบเซา เพราะนักลงทุนเชื่อว่าเฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังอยู่ในทิศทางที่แข็งค่า
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
-/+ สศช.ปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ปี 58 ของไทยเป็น 2.7-3.2% (จากเดิม 3-4%) เนื่องจากภาคส่งออกได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ในตลาดโลกที่ฟื้นตัวช้า เศรษฐกิจจีนขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี และกำลังซื้อในประเทศซบเซา จากภาระหนี้ครัวเรือนสูง, ภัยแล้งกระทบภาคการผลิต (รายได้ภาคเกษตรลดลง 3-4%, รายได้ส่งออกหดตัว 3.5% แต่การลงทุนเติบโต 6.2% และการบริโภคภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.8%) สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปประเมินไว้ที่ -0.7% ถึง -0.2% แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ภาวะเงินฝืด แต่ที่ติดลบเพราะราคาพลังงานลดลงมาก สำหรับ GDP 2Q58 คาดว่าจะเติบโต 2.8%
- เหตุการณ์ระเบิดสี่แยกราชประสงค์กดดันภาคท่องเที่ยว โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดบริเวณสี่แยกราชประสงค์ล่าสุดอยู่ในช่วง 20-22 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บ ล่าสุดมีรายงานว่าไม่น้อยกว่า 117 ราย ขณะนี้หลายประเทศได้ออกแถลงการณ์เตือนให้ระมัดระวังการเดินทางมาท่องเที่ยวไทยแล้ว
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : เหตุการณ์นี้ทำให้ความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยลดลงไปอีก โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง คือ ท่องเที่ยว โรงแรม & อาหาร การบิน โดยหุ้นที่อยู่ใน Coverage ของเราและอาจได้รับผลกระทบทางลบ คือ AOT, BA, CENTEL, MINT, THAI เป็นต้น สำหรับ CPN ซึ่งทำธุรกิจให้เช่าพื้นที่ Central World คาดว่าจะได้รับผลกระทบจำกัดมาก โดยคาดว่าอัตราการเช่าจะไม่ลดลงหากไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงซ้ำซ้อนอีก ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน มองว่าการอ่อนตัวเป็นจังหวะซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาว เพราะคาดว่าทางการไทยจะสามารถดูแลสถานการณ์ไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงเพิ่มขึ้นในจุดอื่นได้อีก หุ้นเด่น เป็น AOT, CENTEL, CPN
+ TUF : ผู้บริหารคาดว่าจะสรุปการเข้าซื้อ Bumble Bee ได้ภายในธ.ค.58...โดยอาจมีการขาย Chicken of the Sea ออกไป ทั้งนี้บริษัทย่อย คือ Chicken of the Sea ได้รับหมายเรียกจากกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ สั่งให้แจงข้อมูลเพื่อใช้ในการสอบสวนการกระทำต่างๆที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมอาหารทะเลบรรจุภาชนะผนึกของสหรัฐตามกฎหมายว่าด้วยแข่งขันทางการค้า ซึ่งขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายใน 4-6 สัปดาห์ และน่าจะสรุปแผนการเข้าซื้อกิจการ Bumble Bee ได้ภายในวันที่ 18 ธ.ค.58 ตามแผน ทั้งนี้หลังจากกระทรวงยุติธรรมเข้ามาตรวจสอบ บริษัทก็มีแผนจะปรับกลยุทธ์การดำเนินงานใหม่ทั้งหมด โดยหนึ่งในแผนดังกล่าวอาจจะมีการขาย Chicken of the Sea ออกไป คาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 4-6 สัปดาห์ สำหรับแนวโน้มกำไร TUF ใน 2H58 บริษัทคาดว่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบ HoH โดยอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ใน 15-16% และอัตรากำไรสุทธิ 4.5% ประเมินว่าราคาทูน่าที่ขยับขึ้นมาระยะหนึ่งจะอ่อนตัวลงในช่วงปลายปี ด้านรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 4.5-5.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 57 เท่ากับ 3.7 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งบาทอ่อนจะทำให้ยอดขายรูปบาทเติบโตเพิ่มขึ้นอีก ปัจจุบันค่าเงินบาทอ่อนลงแล้ว 7%YTD เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (บริษัทมีรายได้จากส่งออก 88% และขายในประเทศ 12%) สำหรับกำไร 1H58 เท่ากับ 2.9 พันล้านบาท (EPS : 0.61 บาท) เติบโต 18%YoY) ปัจจัยเสี่ยง คือ ความผันผวนของราคาวัตถุดิบและปัญหาประมงผิดกฎหมายของไทย ฝ่ายวิจัยฯ DBSV แนะนำซื้อ TUF ให้ราคาพื้นฐาน 22.40 บาท
+/+ จับตาการปรับครม. ซึ่งตามกระแสมีข่าวว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์จะมาเป็นรองนายกฯดูแลงานด้านเศรษฐกิจและมีทีมที่เคยร่วมงานเข้ามาร่วมทีมด้วย โดยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์จะเข้ามาเป็นรมว.คลัง นายอุตตม สาวนายน เป็นรมว.ไอซีที รวมทั้งมีการปรับโยกย้ายตำแหน่งรมว.และรมช.อีกหลายตำแหน่ง ซึ่งการปรับครม.น่าจะช่วยให้ Sentiment ดีขึ้น
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]