- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 18 August 2015 15:52
- Hits: 1243
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
เหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์น่าจะกดดัน SET ปรับตัวลงต่ำกว่า 1,400 จุดอีกครั้ง โดยให้หลีกเลี่ยงหุ้นท่องเที่ยว ขนส่งทางอากาศ และโรงพยาบาล วันนี้ให้สะสมหุ้นที่ลงต่ำมากๆ โดยเฉพาะหุ้น Defensive คือ ADVANC(FV@B285) เลือกเป็น Top pick มี Div yield 6% และ upside 21%
เหตุระเบิดแยกราชประสงค์ กระทบความเชื่อมั่นและท่องเที่ยว
เมื่อเวลาประมาณ 19:00 น. วานนี้ (17 ส.ค.2558) เกิดเหตุระเบิดในบริเวณด้านในรั้วศาลพระพรหมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจนถึงเช้าวันนี้รวม 20 ราย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 100 ราย โดย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวประนามผู้ก่อเหตุ พร้อมให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าเหตุระเบิดดังกล่าวเป็นการประสงค์ต่อชีวิตของประชาชนโดยเป็นระเบิดแสวงเครื่องทำด้วยท่อแป๊ปห่อด้วยผ้าสีขาวน้ำหนักราว 3 ก.ก. ทั้งนี้ยังไม่มีข้อสรุปถึงสาเหตุของการวางระเบิดดังกล่าวว่าเกิดจากอะไร แต่ในส่วนของสำนักข่าวBBC ได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ 3 ประการคือ 1)อาจเป็นการก่อการร้ายข้ามชาติ 2) เกิดจากผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมืองในประเทศไทย หรือ 3) ผลสืบเนื่องจากกรณีการส่งตัวกลุ่มคนอุยกูร์ ให้กับประเทศจีน ทั้งนี้ยังต้องรอข้อสรุปอย่างเป็นทางการของเจ้าหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง สำหรับผลกระทบที่เกิดจากเหตุนี้ในแง่มุมของเศรษฐกิจและการลงทุน เบื้องต้นคาดว่าจะกระทบต่อ Sentiment การลงทุนใน SET ซึ่งหากอิงสถานการณ์ในอดีตผลกระทบต่อ SET สามารถสรุปผลกระทบต่อ SET จากเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯในช่วงต่างๆ ดังสรุปตารางถัดไป
ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะกระทบจากเหตุการณ์ พอสรุปได้ดังนี้
ท่องเที่ยวและโรงแรม ถือว่าได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ร้ายแรง เฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชาวจีน ซึ่งได้รับความเสียหายมากสุด และปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวจีน คิดเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของไทยสัดส่วน 27% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติใน 1H58 ปัจจัยลบดังกล่าว ย่อมกดดันต่อการเคลื่อนไหวของหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ขณะนี้ได้เข้าสู่ช่วง Low Season จึงปรับลดคำแนะนำจากเดิม มากกว่าตลาด เป็นเท่ากับตลาด โดยระยะสั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยง ERW ซึ่งพบว่ามีความเสี่ยงมากสุด จากโครงสร้างรายได้พึ่งพาธุรกิจโรงแรมมากสุดกว่า 90% อีกทั้งจุดเกิดเหตุการณ์อยู่หน้าโรงแรม Grand Hyatt Erawan ซึ่งเป็นโรงแรมหลักคิดเป็นสัดส่วนรายได้กว่า 20% ของรายได้ธุรกิจโรงแรมตามมาด้วย CENTEL มีสัดส่วนรายได้ 43% กระจายไปยังธุรกิจอาหาร ที่เหลือ 47% มาจากธุรกิจโรงแรม ซึ่งในส่วนนี้ประมาณ 26% เป็นรายได้จากโรงแรมในกรุงเทพ (โรงแรมเซ็นทารา เซ็นทรัลเวิลด์ คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 15% ของรายได้โรงแรม) ส่วน MINT กระทบน้อยสุด จากโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ทั้งรายได้จากโรงแรมในกรุงเทพคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของรายได้จากการดำเนินงานรวม
โรงพยาบาล เนื่องจากสถานที่ดังกล่าว เป็นแหล่งที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากเดินทางมาท่องเที่ยว จึงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยในการเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย โดยประเด็นดังกล่าว น่าจะส่งผลกระทบระยะสั้นต่อ รพ. ที่มีคนไข้ชาวต่างชาติ กลุ่ม Medical Tourist ให้มีแนวโน้มชะลอการเดินทางมารักษาในประเทศไทย หรืออาจตัดสินใจเดินทางไปรับการรักษายังประเทศอื่นแทน โดย รพ. ที่มีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติสูงมาก มี 2 รพ. คือ BH และ BDMS มีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติ 66% และ 30% ตามลำดับ คาดในระยะสั้น น่าจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้จำนวนผู้ป่วยต่างชาติชะลอตัว กอปรกับราคาหุ้นของ BH ปรับตัวสูงเกินมูลค่าพื้นฐานของฝ่ายวิจัยที่ 211 บาท จึงแนะนำให้ "ขายทำกำไรไปก่อน" และราคาหุ้น BDMS เหลือ Upside จากมูลค่าพื้นฐานที่ 21 บาท จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้น BDMS เช่นกัน
กลุ่มขนส่งทางอากาศ และสนามบิน แม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นในช่วงนอกฤดูกาลงวด 3Q58 แตเนื่องจากจุดเกิดเหตุอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก อีกทั้งยังมีผู้ที่เสียชีวิตที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศอีกด้วย อาจจะกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยในระยะสั้น เบื้องต้นฝ่ายวิจัยได้ทำ Sensitivity Analysis จำนวนผู้ใช้บริการ ดังนี้
AAV, BA และ THAI ปัจจุบันฝ่ายวิจัยกำหนดสมมติฐาน Cabin Factor งวดปี 2558 ที่ 81%, 69.5% และ 74% พบว่าทุกๆ 1% ของ Cabin Factor ที่ลดลงจากสมมติฐาน จะส่งผลกระทบต่อกำไร AAV, BA และ THAI ลดลงราว 11%, 15.6% และ 18% จากประมาณการ และกระทบให้ Fair Value ลดลง 0.5 ,2.5 และ 0.9 บาท ตามลำดับ
AOT ปัจจุบันฝ่ายวิจัยกำหนดจำนวนผู้ใช้บริการทุกสนามบินงวดบัญชี 2558 (สิ้นสุด ก.ย. 58) เติบโต 16% พบว่าทุกๆอัตราเติบโตที่ลดลง 1% จะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิ AOT ในปีนี้ลดลงราว 1.3% จากประมาณการ และกระทบให้ Fair Value ลดลง 5 บาท
ช่วงสั้นจึงแนะนำให้ หลีกเลี่ยงการลงทุน ไปก่อน ทั้งนี้ หากพิจารณาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์คล้ายคลึงกันในอดีต คือ การเกิดระเบิด 9 จุด ในกทม. (แต่มีผู้เสียชีวิตน้อยกว่า คือ 3 ราย) เมื่อ 31 ธ.ค. 49 จะพบว่า ราคาหุ้น AOT และ THAI ปรับตัวลงแรง 5.1% และ7.9% เมื่อเปิดตลาด และใช้เวลาราว 1.5 เดือนในการปรับตัวขึ้นกลับสู่ระดับราคาก่อนกลับสู่ภาวะปกติ
ค้าปลีก เชื่อว่าผลกระทบยังอยู่ในวงจำกัด โดยจากเหตุการณ์อดีตที่ผ่านมา ไม่มีผลอย่างมีนัยฯ แต่สำหรับเหตุการณ์นี้ บริษัทที่ อาจมีผลกระทบมากกว่ากลุ่มฯ อาทิ BEAUTY กระทบมากสุด รองลงมาคือ BIGC
BEAUTY คาดผลกระทบมากสุดในกลุ่มฯ เพราะลูกค้าจีน คิดเป็นสัดส่วนราว 10-15% และเป็นหนึ่งในปัจจัยผลักดันการเติบโตที่ผ่านมา ซึ่งสาขาที่มียอดขายกลุ่มลูกค้าจีน มักจะอยู่ในพื้นที่โซนใน รวมกันราว 10 แห่ง ที่ได้รับผลจากเหตุการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ที่ส่งผลต่อการดำเนินทางในช่วงที่เหลือของปีด้วย ดังนั้น ในระยะสั้น ราคาหุ้นวันนี้มีโอกาสลดลง แต่แนะนำนักลงทุน ให้รอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
BIGC กระทบจากสาขาราชดำริ แม้ยังไม่ยืนยันถึงการปิดสาขาชั่วคราว แต่ส่งผลต่อปริมาณลูกค้า แต่ทั้งนี้ บริษัทมีการทำประกัน ครอบคลุมถึง Business interruption อยู่แล้ว
แนวโน้ม GDP Growth ไทยงวด 2H58 น่าจะไม่เกิน 2% ต่อไตรมาส
สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯ รายงาน GDP Growth งวด 2Q58 ใกล้เคียงกับตลาดคาด คืออยู่ที่ 2.8%yoy แต่ชะลอตัวลงจาก 3% งวด 1Q58 เท่ากับ 3%yoy ทั้งนี้เกิดจากการชะลอตัวของทุกภาคส่วน กล่าวคือ การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (C) เพิ่มขึ้น 1.5% เทียบกับ 2.4% งวด 1Q58 การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคขั้นสุดท้ายของภาครัฐ เพิ่มขึ้น 4.6% เทียบกับ 3.3% ในงวด 1Q58 (ตามค่าใช้จ่ายค่าตอบแทนแรงงานที่เพิ่มขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการสุทธิลดลง ) และการลงทุนรวมเติบโต 2.5% เทียบกับที่ขยายตัว 10.7% งวด 1Q58 (แยกเป็นการลงทุนภาครัฐเติบโต 24.7% จากไตรมาสที่แล้วที่ขยายตัว 37.8 การลงทุนภาคเอกชนหดตัว 3.4% เทียบกับไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัว 3.6%) ส่วนการค้าระหว่างประเทศพบว่า เกินดุล 291.1 พันล้านบาท (ดุลการค้าเกินดุล 261.9 พันล้านบาท ดุลบริการเกินดุล 29.2 พันล้านบาท) ซึ่งเป็นผลจากจากตัวเลขการส่งออก (X) ติดลบ 5.5% เทียบกับ ที่ติดลบ 4.3% งวด 1Q58 (ส่งออกงวด 1H58 ติดลบ 4.9%) และหากพิจารณาเป็นรายภาค พบว่าภาคการเกษตร ติดลบ 5.9% เทียบกับติดลบ 4.7% ในงวด 1Q58 ทั้งนี้เป็นผลจากผลเกษตรลดลงในหลายธุรกิจ คือ ข้าว ยางพารา ข้าวโพดและผลไม้เป็นต้น รวมถึงประมง ส่วนการผลิตนอกภาคการเกาตร พบว่าเติบโต 3.5% ชะลอตัวจาก 4.1% ในงวด 1Q58 โดยหดตัวในอุตสาหกรรม และเหมืองแร่ รวมถึงภาคก่อสร้าง อสังหาฯ ไฟฟ้า ประปา การค้า และบริการยังชะลอตัว ยกเว้น ภาคการเงิน โรงแรม และขนส่ง ยังขยายตัวได้ดี
โดยรวม GDP Growth ในงวด 1H58 อยู่ที่ 2.9% ซึ่งต่ำกว่าภาพโดยรวมที่ตลาดประเมินไว้เฉลี่ย 3-4% ในปี 2558 จึงทำให้นักเศรษฐศาสตร์ยังจะมีแนวโน้มปรับลดประมาณการเศรษฐกิจได้ต่อเนื่อง โดยครั้งนี้ สภาพัฒน์ได้ปรับลด GDP Growth ในปีนี้เหลือเติบโต 2.7-3.2% จากเดิมคาดเติบโต 3-4% นับว่าสอดคล้องกับที่ทาง ASPS ที่ประเมิน GDP growth ที่ประเมินไว้ปีนี้ที่ 2.5% (ตามการคำนวณแบบเดิม) ซึ่งทำให้คาดว่า GDP Growth ในงวด 2Q58 น่าจะเติบโตได้เฉลี่ยประมาณไตรมาสละ 2% ประกอบกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่ จากเหตุการณ์ระเบิดเมื่อค่ำวานนี้น่าจะกดดันการบริโภคในประเทศ และ ถือว่ากดดันตลาดอยู่
สิ้นสุดการรายงานงบ 2Q58 พบว่าหดตัว 7.3%qoq
การรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ งวด 2Q58 ถึงช่วงบ่ายวานนี้ ครบจำนวน 513 บริษัท (ไม่รวมหุ้นที่อยู่ในกลุ่มฟื้นฟูฯ) มีกำไรสุทธิรวม 2.12 แสนล้านบาท ลดลง 7.3% qoq แต่เพิ่มขึ้น 10% yoy และทำให้กำไรรวม 6 เดือนแรกของป ? 2558 อยู่ที่ 4.41 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 49% ของประมาณการกำไรสุทธิเดิมปี 2558 ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 8.87 แสนล้านบาทในปี 2558 และ 1.02 ล้านล้านบาทในปี 2559 ซึ่งเบื้องต้นคาดการณ์ว่ากำไรตลาดปี 2558 และ 2559 จะลดลงอยู่ที่ 8.49 และ 9.60 แสนล้านบาท ตามลำดับ หรือลดลงจากประมาณการเดิม 4.28% และ 5.88% หรือคิดเป็น EPS จะอยู่ที่ 91.24 บาท และ 103.42 บาทต่อหุ้น (จะนำเสนอรายละเอียดอีกครั้งในวันพรุ่งนี้) ซึ่งแสดงว่าราคาตลาดปัจจุบันที่ 1,413 จุด มีค่า Expected PER ที่ประมาณ 15.5 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ทาง ASPS กำหนดไว้ในสิ้นปี 2558 ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจจะมี upside ที่จำกัดขณะเดียวกันสถานการณ์ระเบิดที่แยกราชประสงค์น่าจะกดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยคาดว่า SET น่าจะลดลงต่ำกว่า 1,400 จุดอีกรอบ
ต่างชาติได้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเรียบร้อยแล้ว
วานนี้ ตลาดหุ้นอินโดนีเซียหยุดทำการเนื่องจากเป็นวันหยุด (วันชาติ) ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคอีก 4 ประเทศที่เหลือ นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิราว 369 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 9) และหากพิจารณาเป็นรายประเทศจะพบว่า เกาหลีใต้ถูกขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 335 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 8) ตามมาด้วยไต้หวันถูกขายสุทธิราว 70 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) และฟิลิปปินส์ที่ถูกขายสุทธิราว 9 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7) ยกเว้นตลาดหุ้นไทยที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรกของเดือนราว 45 ล้านเหรียญ หรือ 1,571 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 9 วัน) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิราว 579 ล้านบาท
แม้วานนี้ต่างชาติจะสลับมาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง แต่จากเหตการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ น่าจะส่งผลเชิงลบต่อจิตวิทยาการลงทุน โดยสังเกตจาก ในคืนวานนี้กองทุน iShares MSCI Thailand Capped ETF ที่ลงทุนตามตลาดหุ้นไทยนั้นปิดติดลบถึง 2.19% รวมถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาก โดยล่าสุดอยู่ที่ 35.60 บาท/ดอลลาร์ ทำให้เชื่อว่าในระยะสั้น ต่างชาติน่าจะชะลอและลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
นักวิเคราะห์ : ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647