- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 14 August 2015 18:26
- Hits: 10456
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"เลือกซื้อตามด้วยค่าบวก"
Stock Picks-Aug 2015 : Fundamental : INTUCH, KBANK, QH, RATCH, SCC ส่วน Dark Horse คือ CK, GL
Fundamental Pick -Today: GL (ดูรายละเอียดหน้า 2)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, SNC, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : ESSO 12%, PS & KBANK 10%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1410-1420 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 930-940 ค่าลบ
Technical Picks- Today : KBANK, UNIQ, PTTEP, EGCO, CPALL, KAMART, WORK, TVO
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : SIRI (จากซื้อเป็นถือ), BH (จากถือเป็นขาย)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ดัชนีตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลง 4.17 จุด ปิดที่ 1404.15 จุด ดีขึ้นจากในวันที่ลงไปต่ำสุด (-25.62 จุด) เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าทางการจีนออกมายืนยันว่าจะรักษาเสถียรภาพเงินหยวน ซึ่งตลาดตีความว่าจะไม่ประกาศลดค่าเงินหยวนลงอีก หลังจากลดลงมา 3 วันต่อเนื่องแล้ว นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาติผนึกกันขายสุทธิ 2.2 และ 1.8 พันล้านบาท ตามลำดับ พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 491 ล้านบาท ด้านรายย่อยซื้อสุทธิ 3.6 พันล้านบาท
ผลกระทบจากเงินหยวนอ่อนค่าต่อ Real Sectors ยังไม่ชัดเจน โดยต้องรอดูอีกระยะหนึ่ง แต่ที่เห็นก่อนในช่วงสั้นคือ การไหลออกของเงินทุนต่างชาติเพราะวิตกว่าค่าเงินเอเชียจะอ่อนตามค่าเงินหยวน แม้ว่าจะมีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจเลื่อนการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปเมื่อจีนประกาศลดค่าเงินหยวน แต่ในอีกมุมมองหนึ่งเห็นว่า การทำ Policy Normalization ของเฟดนั้นพิจารณาจากตัวเลขภาคแรงงานและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐเป็นหลัก ทำให้โอกาสที่เฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ยังคงมีอยู่ ทั้งนี้การอ่อนค่าของเงินหยวน ทำให้การฟื้นตัวของภาคส่งออกไทยยากลำบากมากขึ้นและอาจส่งผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยวบ้างแต่คาดว่าจะไม่รุนแรง เพราะค่าเงินบาทปัจจุบันที่ 5.4889 บาท/หยวน ก็ยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินหยวนในช่วงต้นปี 58 ที่ 5.2879 บาท/หยวน ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้เลือกซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยถอยรับเป็น Step โดยหุ้นพื้นฐานที่เลือกมาแนะนำในวันนี้เป็น GL
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดีมีสิทธิลงไปที่ 1380+/- จุด ส่วนการรีบาวด์มีแนวต้านระยะสั้น 1410-1420, 1440 จุด สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น KAMART, BTC, TVO, PTTEP ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ M, MAKRO, WORK หุ้นที่แนะนำไปแล้วและราคาปรับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ Take Profit เป็น BTC
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ จีน : ตลาดคาดทางการจีนจะไม่ลดค่าเงินหยวนในช่วงสั้นอีก ธนาคารกลางจีนออกแถลงการณ์ยืนยันว่าจะรักษาเสถียรภาพเงินหยวนให้อยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล และมีความสมดุล ขณะเดียวกันธนาคารกลางจีนระบุว่าไม่เห็นเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจที่จะสนับสนุนให้หยวนอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
+ สหรัฐ : ยอดค้าปลีกก.ค.58 เพิ่ม 0.6%MoM และโต 2.4%YoY ดีกว่าคาดเล็กน้อย และได้มีการปรับตัวเลขยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.58 เป็นทรงตัว (จากเดิม -0.3%MoM) โดยการเพิ่มขึ้นมาจากยอดขายรถยนต์ ตามมาด้วยสินค้าประเภทอื่นๆ หากไม่รวมยอดขายรถยนต์ อาหาร และน้ำมัน ยอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.3%MoM
+ สหรัฐ : สต็อกสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นมากสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.8%MoM ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.56
+ สหรัฐ : จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ก่อนเพิ่มขึ้นเพียง 5,000 ราย สู่ระดับ 274,000 ราย โดยตัวเลขดังกล่าวยังคงต่ำกว่าระดับ 300,000 รายเป็นสัปดาห์ที่ 22 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง
ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งแคบ ดัชนีดาวโจนส์ปิด +0.03% ส่วนดัชนี Nasdaq ลดลง 0.21% ขณะที่ S&P500 ปิด -0.13% ทั้งนี้ตัวเลขยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ออกมาเพิ่มขึ้นดีกว่าที่ตลาดคาดไว้เล็กน้อย และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจปรับขึ้นมากกว่าคาด รวมทั้งคลายความกังวลเกี่ยวกับการลดค่าเงินหยวนของจีน
- ราคาน้ำมันดิบร่วงลง โดยสัญญา WTI ส่งมอบก.ย.ลดลง 1.07 ดอลลาร์ ปิดที่ 42.23 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ลดลง 44 เซนต์ ปิดที่ 49.22 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และอุปทานล้นตลาด (กลุ่มโอเปกเผยว่าเดือนก.ค.58 ผลิตน้ำมันดิบเพิ่ม 1.01 แสนบาร์เรลเป็นเฉลี่ย 31.51 ล้านบาร์เรล/วัน)
+ PTTEP : แนวโน้ม 3Q58 ดีขึ้นเมื่อเทียบ QoQ แนวโน้ม 3Q58 จะไม่มีกำไร/ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมาก เพราะทำประกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และใน 3Q58 จะมีกำไรจากการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน หลังจากราคาน้ำมันดิบลดลง แต่บริษัททำสัญญาไว้ในราคาสูง ก็จะกลับมาเป็นกำไร (จากที่ขาดทุนใน 2Q58 ราว 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ - รวมทั้งที่ Realized & Unrealized) PTTEP มีระดับคุ้มทุน (Unit Cost) ที่ 41 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล โดยเป็นส่วนของต้นทุนค่าเสื่อมราคา 24 ดอลลาร์/บาร์เรล และเป็นส่วนของ Cash Cost 17 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 48 ดอลลาร์/บาร์เรล บริษัทจึงยังมีกำไรจากการดำเนินงานทั้งที่เป็นเงินสดและกำไรทางบัญชี บริษัทมีการลงทุนในไทย 50 กว่า%, พม่า 10 กว่า%, ที่เหลือจะเป็นแหล่งอื่นๆ (ในส่วนที่ทำกำไรดีๆ อยู่ประมาณ 70 กว่า%) นักวิเคราะห์ทางเทคนิคมองว่าราคาหุ้น PTTEP มีโอกาสรีบาวด์ในระยะสั้น โดยมีแนวต้าน 90+/- บาท
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
+ GL : ธุรกิจในกัมพูชาเติบโตแกร่ง ธุรกิจในลาวถึงคุ้มทุน & ทำกำไรได้เร็วกว่าที่คาดไว้ บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 2Q58 ออกมาที่ 129 ล้านบาท โตมากจาก 7 ล้านบาทใน 2Q57 และเพิ่มขึ้น 17%QoQ ซึ่งเป็นไปตามที่ DBSV คาดการณ์ไว้ โดยรายได้จากบริษัทแม่ในประเทศลดลง แต่รายได้บริษัทย่อยในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น (ต่างประเทศหลักๆ เป็นกัมพูชา ซึ่งดำเนินธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ Honda และเครื่องจักรกลการเกษตร Kubota) ระดับ NPL Ratio ของบริษัทลดลงเป็น 7% ในสิ้น 2Q58 จาก 8% ในสิ้น 1Q58 และคาดว่าจะลดลงเป็น 5% ในสิ้นปีนี้ (NPL ในกัมพูชาต่ำมาก คือ เพียง 0.4% เท่านั้น) สิ่งที่ดีกว่าคาด คือ ธุรกิจในลาว จะถึงจุดคุ้มทุนในเดือนก.ย.นี้ ซึ่งเร็วเกินคาด และใน 4Q58 จะทำกำไรได้แล้ว เพราะไม่ต้องใช้เวลาในการลองผิดลองถูกมากเหมือนตอนที่เข้าไปในกัมพูชา โดยธุรกิจในลาวใช้ Platform เดียวกันกับกัมพูชาและได้ใบอนุญาตมาในเดือนพ.ค.58 เชื่อว่าประมาณการกำไรสุทธิที่นักวิเคราะห์เราได้ทำไว้นั้นมีความเป็นไปได้สูง โดยคาดกำไรสุทธิปี 58-59 เติบโต 384% และ 40% ตามลำดับ ส่วน EPS ขยายตัว 354% และ 10% เพราะมี dilution effect จากการแปลงสภาพวอร์แรนต์เข้ามา ทั้งนี้ประมาณการกำไรปี 59 มีโอกาสที่จะดีกว่าที่เราคาดไว้ เพราะธุรกิจในลาวทำกำไรได้เร็ว คงคำแนะนำซื้อ โดยให้ราคาพื้นฐานระยะยาว 1 ปีเท่ากับ 19 บาท
+ PLANB : กำไรสุทธิ 2Q58 ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ โดยเติบโตก้าวกระโดด 161%YoY เป็น 131 ล้านบาท (EPS : 0.04 บาท/หุ้น) งวด 1H58 มีกำไรสุทธิ 185 ล้านบาท (EPS : 0.06 บาท/หุ้น) 116%YoY ทั้งนี้รายได้ 2Q58 เพิ่มขึ้น 30%YoY เป็น 560 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงานเติบโต 109%YoY เป็น 161 ล้านบาท อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มเป็น 29% ใน 2Q58 จาก 22% ใน 2Q57 ปัจจัยหนุน คือ อัตราการใช้สื่อโฆษณาเพิ่มขึ้น, รับรู้รายได้จากโครงการใหม่ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทั้งที่เป็นดิจิตอลและกลางแจ้ง ส่วนแบ่งรายได้จาก Hello Bangkok เข้ามาตั้งแต่พ.ค.58 และดอกเบี้ยจ่ายลดลง แนวโน้ม 3Q58 สดใส คาดว่าจะเติบโตสูงต่อเนื่อง การวิเคราะห์ทางเทคนิค แนะนำซื้อเก็งกำไรตามค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 6.50, 7 บาท
- SSI : ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบในสิ้นมิ.ย.58 โดยใน 2Q58 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการลดลง 34% เป็น 11.9 พันล้านบาท และมีอัตราขาดทุนขั้นต้น 16% เมื่อหักค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ดอกเบี้ยจ่าย บวกกำไรจาก FX และการกลับรายการภาษีเป็นรายได้แล้ว มีผลขาดทุนสุทธิ 3.24 พันล้านบาท ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ 1.78 พันล้านบาท (ของบริษัทใหญ่) ด้านหนี้สินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ณ สิ้นมิ.ย.58 เท่ากับ 5.28 หมื่นล้านบาท โดยมีเงินสดในมือ 140 ล้านบาท เมื่อพิจารณาจากงบกระแสเงินสด พบว่าในช่วง 6M58 บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก 1.37 พันล้านบาท แต่เมื่อหักกระแสเงินสดจากการลงทุน 614 ล้านบาทและกระแสเงินสดในทางการเงิน 975 ล้านบาทแล้วพบว่ากระแสเงินสดติดลบ 216 ล้านบาท ซึ่งหากใน 2H58 ยังมีงบกระแสเงินสดแบบนี้เงินสดในมือที่เหลือ 140 ล้านบาทในสิ้น 2Q58 ก็ไม่สามารถรองรับได้ แนวทางของบริษัท คือ ต้องปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระการชำระคืนหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย และเพิ่มทุน/แปลงหนี้เป็นทุนเพื่อให้ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับมาเป็นบวก
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]