- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 14 August 2015 17:45
- Hits: 1225
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังคงชะลอตัว จากปัญหาเศรษฐกิจเงินบาทที่อ่อนค่าในทิศทางเดียวกับภูมิภาค ยังแนะนำหุ้นรายตัว ที่สามารถทำกำไรได้ดีกว่าตลาด (SCC, THCOM, BTS, EASTW) วันนี้ยังเลือก WORK(FV@B45) เป็น Top pick กำไรงวด 2Q58 ดีกว่าคาด และมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2558-2559 ขึ้นจากเดิม
เศรษฐกิจไทยงวด 2Q58 3%??? vs Fed มีโอกาสเลื่อนขึ้นดอกเบี้ย
เชื่อว่านักลงทุนยังให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจโดยรวมของโลก โดยเฉพาะสหรัฐ รวมถึงไทย ซึ่งในวันจันทร์ที่ 17 ส.ค. นี้ สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯ จะมีการรายงาน GDP Growth ในงวด 2Q58 จะเป็นอย่างไร จะดีกว่างวด 1Q58 ที่เติบโตราว 3% หรือไม่ ซึ่งหากอิงจากผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 7 ราย โดย Bloomberg ล่าสุด เมื่อ 13 ส.ค. 2558 ประเมินว่า GDP Growth งวด 2Q58 จะอยู่ที่ราวเฉลี่ย 3.3%yoy ซึ่งคงต้องติดตามรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งเชื่อว่าประเด็นนี้น่าจะมีน้ำหนักกดดันตลาดต่อเนื่องหากออกมาต่ำกว่าตลาดคาด และในทางตรงกันข้ามตลาดอาจจะตอบรับด้านบวก หากออกมาดีกว่าคาด แต่จากการประเมินดัชนีชี้นำเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นฝั่งการบริโภคภาคครัวเรือน เช่น VAT ยอดจำหน่ายรถยนต์ หรือฝั่งรัฐบาล การใช้จ่ายงบลงทุนยังเป็นไปอย่างล่าช้า หรือการส่งออกที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่า GDP Growth งวด 2Q58 ไม่ควรเกิน 3% ส่วนดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐยังคงบ่งชี้การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แม้อาจจะชะลอตัวบ้างในระยะสั้น
สะท้อนจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่ขัดแย้งกัน กล่าวคือ ตลาดแรงงานมีแนวโน้มทรงตัว หลังจากที่ฟื้นตัวต่อเนื่องมานาน โดยพบว่ายอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรล่าสุดเพิ่มขึ้น 8 พันตำแหน่ง (อยู่ที่ 2.15 แสนตำแหน่ง) เทียบกับเดือนก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 3.1 หมื่นตำแหน่งและตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการ การว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์สิ้นสุด 8 ส.ค. อยู่ที่ 2.74 แสนราย ทรงตัวเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว 2.7 แสนราย ทำให้คาดว่าอัตราว่างงานยังอยู่ที่ 5.3% ในเดือนนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ยอดค้าปลีกเดือนนี้กลับเพิ่ม 0.6% ดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือน มิ.ย. ที่ติดลบ 0.3% ตรงข้ามกับภาคการผลิต มีสัญญาณฟื้นตัวสะท้อนจากสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น 0.9%yoy มากกว่าตลาดคาด สอดคล้องกับ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือน ก.ค. อยู่ที่ 53.8 ซึ่งมีแนวโน้มตัวดีขึ้นจาก 53.6 ในเดือน มิ.ย. ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ที่ 0.1% ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ ASPS เชื่อว่าการประชุมของ Fed ครั้งถัดไปคือ16-17 ก.ย.2558 จะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่จะขึ้นปลายปีนี้ (ในการประชุม 15-16 ธ.ค. 2558) หรือต้นปี 2559 ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่กดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาอ่อนค่าอีกรอบ
เงินหยวนอ่อนค่า 8% ใกล้กับค่าเฉลี่ยเงินสกุลเอเซียแล้ว
สถานการณ์ปัจจุบันยังคงเห็นเงินเอเซียอ่อนค่า หรือผันผวนในทิศทางอ่อนค่าเกือบทุกสกุล ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากที่ธนาคารกลางของจีน (PBOC) ได้ทำการลดค่าเงิน 1.85% เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ที่ผ่านมา และกดดันให้ค่าเงินหยวนลดลงมาอยู่ที่ 6.3982 หยวน/ดอลล่าร์ หรืออ่อนค่าแล้ว 8% ในช่วงเวลาเพียง 3 วันนับจากวันประกาศลดค่าเงิน และกดดันให้ค่าเงินเอเซียผันผวนในลักษณะเดียวกัน แต่เป็นที่สังเกตว่าค่าเงินเอเซียสกุลอื่น ๆ ได้อ่อนค่าไปแล้วล่วงหน้าแล้วในอัตราเฉลี่ย 8.9% กล่าวคือ ตั้งแต่ช่วงเม.ย. ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน พบว่าเงินริงกิตของมาเลเซียอ่อนค่ามากสุดถึง 14% ตามด้วยเงินบาทอ่อนค่า 8.9% (จากจุดแข็งค่าสุดเดือน เม.ย.- ปัจจุบัน) เงินรูเปียะห์อินโดนีเซีย อ่อนค่า7.42 % และ เงินเปโซฟิลิปปินส์ อ่อนค่า 4.7% และค่าเงินรูปีของอินเดียอ่อนค่า 4.9% ในช่วงเดียวกัน
การปรับลดลงค่าเงินหยวนน่าจะอยู่ในจุดที่ใกล้สมดุลในระยะสั้น ส่วนในระยะกลางจะอ่อนค่าจากนี้มากขึ้นเพียงใดขึ้นกับ เศรษฐกิจในประเทศ และการส่งออกของรายประเทศเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นๆ หากค่าเงินเอเซียยังมีแนวโน้มอ่อนค่า ถือว่ายังเป็นปัจจัยกดดันดัชนีตลาดหุ้นเอเซีย ในทิศทางชะลอตัวต่อเนื่อง และน่าจะยังทำให้ต่างชาติมีโอกาสน้อย ที่จะนำเงินกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเซีย แม้ว่าจะขายหุ้นต่อเนื่องตลอดระยะที่ผ่านมาก็ตาม รายละเอียดปรากฏในตารางสรุปเรื่อง fund flow ของย่อหน้าถัดไป จนกว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและค่าเงินมีเสถียรภาพ ทั้งนี้เพื่อตัดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินในภูมิภาคเอเซีย
ต่างชาติยังขายสุทธิตลาดหุ้นเอเซีย แม้ส่วนใหญ่ปิดบวกก็ตาม
วานนี้ แม้ตลาดหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ปิดในแดนบวก อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่วันที่จีนลดค่าเงินหยวนจนถึงวานนี้ พบว่าต่างชาติยังคงขายสุทธิทุกต่างต่อเนื่อง โดยขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 333 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7) และหากพิจารณาเป็นรายประเทศจะพบว่า ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ยังขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 145 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7) รองลงมาคือไต้หวันขายสุทธิราว 31 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) ตามมาด้วยอินโดนีเซียขายสุทธิราว 83 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 8) และฟิลิปปินส์ขายสุทธิราว 21 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5) ส่วนตลาดหุ้นไทย ยังคงขายสุทธิราว 53 ล้านเหรียญ หรือ 1,859 ล้านบาท (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 8) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิสูงถึง 2,254 ล้านบาท ทางด้านตราสารหนี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 4,970 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิ 3,118 ล้านบาท ส่วนทางค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 35.17 บาท/ดอลลาร์
กำไรตลาดส่วนงวด 2Q58 น่าผิดหวังยกเว้น WORK, RS, TASCO
ช่วงฤดูกาลรายงานงบงวด 2Q58 ยังคงมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตลาด เนื่องจากผลประกอบการที่ผิดไปจากคาดหมายจะมีผลทำให้โอกาสที่นักวิเคราะห์จะปรับเปลี่ยนประมาณการเดิม โดยตลอดช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาพบว่าส่วนใหญ่แล้วบริษัทจดทะเบียนจะรายงานงบการเงินงวด 2Q58 ต่ำกว่าที่คาดทำให้เห็นการปรับลดกำไรมาตลอดและเช่นกันในสัปดาห์นี้พบว่าหุ้นที่อิงส่งออก ประสบภาวะตกต่ำกว่าคาด เช่น หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ประกาศงบฯ ล่าสุด คือ HANA พบว่าน่าผิดหวังอย่างมาก (ยอดขาย 40% ของรายได้กระจุกตัวอยู่ในจีน) ขณะที่หุ้นส่งออกอื่น ๆ (KCE, DELTA ทั้ง 2 แห่ง มียอดขายเน้นหนักในสหรัฐ และ ยุโรป) ผลการดำเนินงานงวด 2Q58 ไม่ต่างจากที่คาดมากนัก
และล่าสุด CKP ซึ่งผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเป็นหลัก มีแนวโน้มจะปรับลดประมาณการในปี 2558 เนื่องจากกำไรในงวด 1H58 ทำได้เพียง 45.4% ของประมาณการทั้งปี อีกทั้งงวด 2H58 กำไรอาจลดลงจากงวดก่อนหน้า เนื่องจากในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. เผชิญกับภาวะภัยแล้ง ปริมาณฝนตกน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้น้ำในเขื่อนน้ำงึม 2 น้อยเกินไปจะมีอิทธิพลต่อการผลิตไฟฟ้าในงวด 3Q58 ซึ่งปกติแล้วจะเป็นช่วง High season
และ หุ้น TTW ปรับลดประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้าลง เนื่องจากปริมาณน้ำที่ขายให้กับโรงงานผลิตอาหารส่งออกมีแนวโน้มลดลงตามการส่งออกที่ชะลอตัว นอกจากนี้ บริษัทยังใช้นโยบายระมัดระวัง โดยเริ่มบันทึกภาษีจ่ายกิจการเร็วกว่ากำหนด 1 ไตรมาส กล่าวคือ สิทธิพิเศษทางภาษี เรื่องภัยน้ำท่วมจะสิ้นสุดในงวด 3Q58 จึงทำให้ค่าใช้จ่ายสูงกว่าคาด ตามมาด้วย STANLY ที่ประสบปัญหาแบกรับค่าใช้จ่ายในการผลิตโคมไฟรถรุ่นใหม่สูงขึ้นมาก ซึ่งต้องใช้เวลาในการลดต้นทุนการผลิตและการลดของเสียในระหว่างการผลิตจะเห็นผล จึงต้องปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2558 ลง 10.7% และ ปรับลด 7.2% ในปี 2559 ขณะที่มีหุ้นส่วนน้อย ที่รายงานงบงวด 2Q58 ดีกว่าคาด แต่ยังคงประมาณการเดิม เพราะบริษัท นักวิเคราะห์ ASPS ได้มีทยอยปรับไปแล้วก่อนหน้านี้ ได้แก่ :
TASCO ผลกำไรงวด 2Q58 เติบโตโดเด่น จากราคาและปริมาณการขายยางมะตอยที่สูงขึ้นโดยเฉพาะตลาดส่งออก รวมทั้งอานิสงส์ต้นทุนน้ำมันที่ลดลง และมีแนวโนม้ ที่กำไรจะทำสถิติ New High ได้ในงวด 3Q58 ซึ่งเป็นไตรมาสที่ TASCO ได้รับประโยชน์เต็มที่จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณพิเศษที่รัฐบาลจัดสรรให้สำหรับการก่อสร้างถนน รวมถึงตลาดส่งออกเองก็จะเข้าสู่ช่วง High Season ด้วยเช่นกัน โดยนักวิเคราะห์ ASPS อาจจะมีการปรับเพิ่มประมาณการอีกครั้ง หลังพบผู้บริหารในสัปดาห์นี้แล้วมีประเด็นใหม่ที่ยังมิได้รวมไว้ในประมาณการ
BLA ผลกำไรงวด 2Q58 เติบโตอย่างมีนัยฯ และมากกว่าคาด จากการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรองเบี้ยฯ และคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2558 จะพลิกฟื้นจากปี 2557 เนื่องจากผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยเริ่มผ่อนคลาย รวมทั้งปรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์ไปเน้นระยะยาวมากขึ้น
CPALL กำไรงวด 2Q58 เติบโตดีมาก จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้นจากยอดขายสาขาใหม่และ SSSG ที่ดีขึ้นสวนทางกับหุ้นค้าปลีกรายอื่นๆ โดยคาดการณ์ กำไรงวด 2H58 ยังโดดเด่นต่อเนื่อง และสูงสุดในงวด 3Q58 เพราะเป็นช่วงที่มีการใช้โปรโมชั่นใหญ่สุดในรอบปี
THCOM กำไรงวด 2Q58 ตามคาดจากอัตรากำไรของรายได้ค่าบริการที่สูงขึ้น และจะเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดในช่วง 2H58 และดีต่อเนื่องไปถึงปีหน้า โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากอัตราใช้งานไทยคม 7 ที่เพิ่มขึ้นเต็มกำลัง
INTUCH กำไรงวด 2Q58 ทรงตัวในระดับสูง ด้วยแรงหนุนจาก 2 บริษัทลูก คือ ADVANC (ถือหุ้น 40.45%) และ THCOM (ถือหุ้น 41.14%) แม้คาดว่ากำไรงวด 3Q58 จะอ่อนตัว qoq ตามส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC งวด 3Q58 ที่คาดลดลง แต่คาดว่าจะกลับมาเติบโตแรงใน 4Q58 หาก ADVANC ชนะประมูล 4G อีกทั้งยังมี Yield สูง ถือเป็นเกราะป้องกันชั้นดี ยามตลาดผันผวน
RS ผลกำไรงวด 2Q58 จากการปรับปรุงรายการภาษีเงิน และต้นทุนการผลิตรายการที่ลดลง ขณะที่แนวโน้มในงวด 2H58 น่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจาก rating ทีดีขึ้น และการควบคุมต้นทุนผลิตการราย จึงคงประมาณกำไรที่เดิม (แม้กำไรงวด 1H58 จะคุ้มทุนก็ตาม)
WORK (FV@B45) พบว่างวด 2Q58 WORK มีกำไรสุทธิ 113 ล้านบาท เป็นไตรมาสที่มีกำไรสูงสุดในรอบ 3 ปี (มากกว่าคาดที่ 82 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38%) พลิกจากขาดทุน 11 ล้านบาทในงวด 1Q58 (เติบโต 804%yoy) ดีกว่าคาด เพราะรายได้ธุรกิจสื่อเพิ่มขึ้น 38%qoq จากเรตติ้งผู้ชมที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้สามารถปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาขึ้นจาก 2.9 หมื่นบาท ในงวด 1Q58 เป็น 3.3 หมื่นบาท/นาที และ Utilization rate ที่เพิ่มขึ้นจาก 55% ในงวด 1Q58 เป็น 75% ขณะที่ ต้นทุนธุรกิจสื่อต่ำกว่าคาด คือ เพิ่มขึ้นเพียง 16%qoq บวกกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารทรงตัวจากงวด 1Q58 ดีกว่าคาด และเชื่อว่าเรตติ้งที่ขึ้นต่อเนื่องในงวด 3Q58 จะช่วยให้ WORK สามารถปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาในงวด 3Q58 ได้อีกราว 3%qoq ก่อนที่กำไรจะอ่อนตัวในงวด 4Q58 เพราะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานครั้งเดียวในรอบ 1 ปี ในเบื้องต้น นักวิเคราะห์ ASPS เตรียมจะปรับ เพิ่มประมาณการกำไรในปี 2558 และ 2559 ขึ้น หลังจากได้รับข้อมูลใหม่ในการเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์ในวันนี้ (กำไรงวด 1H58 คิดเป็น 42% ของประมาณการทั้งปี 2558) เลือก WORK (FV@B45) เป็น Top Pick ในกลุ่มมีเดียส์ และ หุ้น Top pick วันนี้
นักวิเคราะห์ : ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647