- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 11 August 2015 17:13
- Hits: 1163
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET อาจได้ sentiment เชิงบวกจากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่ทุกอย่างขึ้นกับความสามารถทำกำไรของหุ้นรายตัว วันนี้เลือก Top pick คือ WORK(FV@B45) เป็น 1 ในไม่กี่รายที่อยู่รอดภายใต้เศรษฐกิจชะลอตัว มี rating สูง และขึ้นค่าโฆษณาได้ต่อเนื่อง เพราะมีฐานเดิมที่ต่ำ และยังชื่นชอบหุ้นทนทานต่อเศรษฐกิจในประเทศชะลอ เช่น THCOM, BTS, EASTW
ตลาดหุ้นสหรัฐผ่อนคลาย ตลาดตอบรับการขึ้นดอกเบี้ยฯ แล้ว
คาดว่าตลาดน่าจะให้น้ำหนักต่อการประกาศดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐคือ ตัวเลขค้าปลีกที่จะประกาศในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ เนื่องจากเป็นการบ่งบอกถึงกำลังซื้อของประชาชน ทั้งนี้จากการสำรวจของ Bloomberg ล่าสุด ประเมินว่าจะยอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.6%yoy เทียบกับติดลบ 0.3%yoy ในเดือน มิ.ย. โดยคาดว่าการฟื้นตัวของตลาดแรงงานน่าจะมีส่วนสำคัญที่จะสนับสนุนกำลังซื้อในภาคธุรกิจค้าปลีก (ล่าสุดอัตราการว่างงานของสหรัฐยังคงอยู่ที่ 5.3% ต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อได้เริ่มกลับมาเป็นบวก 0.1% ในเดือน ก.ค. โดยเริ่มเป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 แต่อย่างไรก็ตามทำให้ เงินเฟ้อจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน(ytd) ยังติดลบ 2.86% ซึ่งประเด็นเหล่านี้ทำให้ทาง ASPS เชื่อว่า Fed น่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% ต่อไปในการประชุมรอบถัดไปคือ 16-17 ก.ย. 2558 และน่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วสุดในปลายปีนี้ (ในการประชุม 15-16 ธ.ค. 2558) หรืออย่างช้าต้นปี 2559 ซึ่งเชื่อว่าตลาดน่าจะรับรู้ประเด็นนี้ แม้ว่าจากการทำสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหมด 41 คน (สำรวจเมื่อ 9 ก.ค. 2558) โดย Bloomberg คาดว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. โดยมีผู้ตอบสนับสนุน 82.93% ของทั้งหมด ส่วนน้อย 14.63% เท่านั้นที่คาดว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ย ณ ที่ระดับเดิม
ทั้งนี้ เชื่อว่าประเด็นเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐน่าจะสะท้อนในตลาดหุ้นสหรัฐไปแล้ว สะท้อนจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐมีการปรับฐานกินเวลานานกว่า 7 เดือนคือตั้งแต่ปลายปี 2557 จนถึงปัจจุบัน โดยดัชนีหุ้นสหรัฐ สูงสุดที่ 18,350 จุด ขณะที่ล่าสุดอยู่ที่ 17,615 จุดทำให้ตลาดมีโอกาสจะฟื้นตัวอย่างน้อย 4% เพื่อไปแตะยอดสูงสุดเดิม
SET น่าจะได้ sentiment เชิงบวกจากปัจจัยต่างประเทศ
คาดว่าการฟื้นตัวของตลาดหุ้นต่างประเทศเมื่อคืนนี้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.15-1.3% ซึ่งน่าจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐได้ตอบรับจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เริ่มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น นับตั้งแต่การดึงเงิน QE ออกจากระบบทั้งหมดแล้ว และตลาดยังคาดว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย อย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ดังที่กล่าวข้างต้น
อีกประเด็นหนึ่งที่ช่วยให้ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวคือ ราคาน้ำมันดิบโลกดีดตัวขึ้นรอบใหม่ โดยน้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นมาที่ 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล หลังจากที่วานนี้ได้ลงไป 49 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ทำผู้ผลิตและสำรวจ shale oil และ shale gas ประสบภาวะขาดทุนและจะต้องทยอยลดกำลังการผลิต ในลักษณะเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2557 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2558 ซึ่งน่าจะมีผลทำให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบโลกจะค่อย ๆ ลดลง และทำให้ปริมาณผลผลิตส่วนเกินจากความต้องการ (Oversupply) ค่อยๆ ลดลงจากปัจจุบันที่ทั้งโลกมี Oversupply ที่ระดับ 1.77 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากผู้ผลิตหลัก ๆ ในกลุ่มโอเปคยังรักษาระดับการผลิตไว้ที่เดิมแม้ราคาน้ำมันดิบจะลดลงก็ตาม
นอกจากนี้ การที่ดอลลาร์สหรัฐ ได้เริ่มชะลอตัว หรือหยุดแข็งค่า หลังจากที่ Dollar Index แข็งค่าที่ 97.79 เมื่อเทียบกับสกุลคู่ค้าหลักของสหรัฐ (เช่นเดียวกับค่าเงินยูโรที่หยุดอ่อนค่า และเริ่มแข็งค่าในระยะสั้น ๆ โดยล่าสุดอยู่ที่ 1.1 เหรียญฯต่อยูโร เทียบกับจุดต่ำสุดที่ 1.08 เหรียญฯต่อยูโร) ช่วยทำให้ความต้องการถือดอลลาร์ลดลงในระยะสั้น และนำเงินไปเก็บกำไรในสินทรัพย์ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะสั้น ๆ รวมถึงการที่จีนได้นำเข้าน้ำมันน้ำมันดิบจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 7.5% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน (ytc) เพื่อเก็บสะสมสต๊อกในช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัว แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าการนำเข้าน้ำมันดิบของจีน หลังจากนี้น่าจะชะลอตัว หลังจากเก็บสะสมมาระดับหนึ่ง และหากราคาน้ำมันดิบมีการฟื้นตัวดังกล่าวข้างต้น
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นข่าวอื่นๆ ที่สนับสนุนตลาดหุ้นโลกคือ การที่บริษัทประกัน ของ Warrant Buffett ได้เข้าซื้อกิจการของ Precision Castparts Corp ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เกี่ยวกับอุตสาหรกรรมการบิน (aerospace) ได้หนุนให้หุ้นอุตสาหกรรมการบินปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกันได้แก่ Boeing, APPLE ตามมาด้วยหุ้นพลังงานที่ปรับตัวขึ้นจากราคาน้ำมันดิบโลกดังกล่าวปัจจัยเหล่านี้จึงน่าจะมีน้ำหนักทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ หลังจากที่ปรับฐานมานาน 6 เดือนคือ ตั้งแต่แตะระดับสูงสุด 1615 จุด เมื่อตอนต้นปี มาอยู่ที่ 1,420 จุด หรือลดลงกว่า 12%
ต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค
วานนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 178 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) โดยเป็นการขายสุทธิทั้ง 5 ประเทศนำโดยเกาหลีใต้ขายสุทธิสูงสุดราว 108 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) รองลงมาคือ ไต้หวันขายสุทธิราว 26 ล้านเหรียญเช่นเดียวกับกลุ่ม TIP พบว่า ฟิลิปปินส์ ขายสุทธิมากสุดราว 13 ล้านเหรียญ ตามมาด้วยอินโดนีเซียขายสุทธิราว 8 ล้านเหรียญ และไทย ขายสุทธิ วาน โดยต่างชาติยังคงขายสุทธิราว 23 ล้านเหรียญ หรือ 817 ล้านบาท (ขายสุทธิต่อเนื่องป็นวันที่ 6 โดยมียอดขายสุทธิสะสมรวม 6.9 พันล้านบาท) และสถาบันในประเทศขายสุทธิราว 617 ล้านบาท (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3)ทางด้านตราสารหนี้ พบว่านักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 25,696 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิ 315 ล้านบาท ยังมีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาททรงตัว หลังจากที่อ่อนค่ามาต่อเนื่อง โดลล่าสุดอยู่ที่ 35.11 บาท ต่อ ดอลลาร์ เทียบกับที่แข็งค่าสุด 35.27 บาทต่อดอลลาร์
SET ฟื้น เลือกหุ้นตกหนักและมี Beta สูง: WORK, SIRI
นับตั้งแต่ตลาดหุ้นไทยขึ้นไปทำจุดสูงสุดในปีนี้ที่ 1,619 จุด เมื่อกลางเดือน ก.พ. 2558 หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบัน SET ก็ปรับฐานลงมาโดยตลอด มีการ rebound ฟื้นตัวเป็นครั้งคราวราว 4-5 ครั้ง โดยรวมแล้วในช่วงเวลาดังกล่าว SET ปรับลดลงไปถึงกว่า 12.1% โดยกลุ่มธุรกิจที่มีการลดลงมากกว่า SET นำโดยกลุ่มฯ ที่มีน้ำหนักต่อดัชนีเป็นลำดับที่ 1 และ 2 คือ พลังงาน และธนาคารพาณิชย์ตามมาด้วยกลุ่มอสังหาฯ, รับเหมา, สื่อ-บันเทิง และ เกษตร-อาหาร ตรงข้าม ยังมีกลุ่มที่แข็งแกร่งกว่าตลาด กล่าวคือ สามารถปรับขึ้นสวนทาง SET ได้ คือ กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม, ชิ้นส่วนฯ โรงพยาบาล วัสดุก่อสร้าง และปิโตรเคมี (รายละเอียดดังภาพด้านล่าง)
สำหรับวันนี้ หากตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวช่วงสั้นตามต่างประเทศ และ ราคาน้ำมันดิบโลกที่ฟื้นตัวดังกล่าวข้างต้น กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น จึงเน้นเลือกหุ้นที่ปรับลงลึกมากกว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมา จนมี upside สูง และมี Beta สูง (จะทำให้การดีดตัวเร็วและแรงกว่าหุ้นที่มีค่า Beta ต่ำ) ได้แก่ WORK (FV@B45) upside 21.6% Beta 1.72, SIRI ([email protected]) upside 25.9% Beta 1.61, PTTEP (FV@B110) upside 31.7% Beta 1.61, STPI ([email protected]) upside 55.1% Beta 1.43, และ CPF (FV@B26) upside 27.5% Beta 1.38
เม็ดเงินโฆษณาฟื้นตัวเลือก WORK เป็น Top pick
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยมีชะลอตัวต่อเนื่องมานาน ทำให้เชื่อว่าเม็ดเงินโฆษณาในงวด 2H58 จะฟื้นตัวเล็กน้อยจากงวด 2Q58 โดยน่าจะได้รับผลบวกจากงบโฆษณาที่เพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขายช่วงปลายปี
ประกอบกับการที่บริษัทไทยทีวีขอยกเลิกใบอนุญาต ทำให้ กสทช. หาแนวทางแก้ไขปัญหา ที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล อาจไม่สามารถอยู่รอดในอุตสาหกรรม โดยที่ผ่านมา มีคำสั่งทางปกครอง เร่งบังคับให้ผู้ให้บริการโครงข่ายทั้ง 4 ราย MCOT, กองทัพบก ,ไทยพีบีเอส และกรมประชาสัมพันธ์) เร่งติดตั้งโครงข่ายในส่วนที่ล่าช้าจากแผนของ กสทช. ที่ต้องมีความครอบคลุม 80% ของประชากรในเดือนมิ.ย. 2558 (ต้องครอบคลุม 95% ในปี 2560)
นอกจากนี้ กสท. ได้เห็นชอบแผนการยุติการรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ในระบบอนาล็อกของทั้ง 4 สถานี (THAI PBS, ช่อง 5, NBT, และช่อง 9 ของ MCOT) ที่จะทยอยยุติการออกอากาศระบบอนาล็อก ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2561 พร้อมทั้งเร่งเจรจา ช่อง 7 และช่อง 3 ของ BEC ที่มีสัมปทานสิ้นสุดในปี 2566 และ 2563 ตามลำดับ (รวมถึงเจรจากับเจ้าของสัมปทานของทั้ง 2 ช่อง) ให้ยุติออกอากาศระบบอนาล็อกภายในปี 2561 เช่นกัน ส่งผลให้ฐานผู้ชมทีวีดิจิทัลมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น และเพิ่มโอกาสที่เม็ดเงินโฆษณาจะไหลเข้าสู่สื่อทีวีดิจิทัลมากขึ้น
โดยช่องทีวีดิจิทัลที่น่าจะได้อานิสงค์มากสุดคือ ช่องที่มีเรตติ้งทีวีดิจิตัลดีสุด และมีฐานผู้ชมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คือ ช่อง WORKPOINT TV โดยตั้งแต่ เม.ย. 2557 - ก.ค. 2558 ไต่อันดับขึ้นจาก 6 เป็นอันดับ 3 ของฟรีทีวีที่มีผู้ชมสูงสุด โดยเร็ตติ้งขยับขึ้นจาก 0.253 เป็น 0.884 ขณะที่อัตราค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยปี 2557 ที่ไม่เกินถึง 1.5 หมื่นบาท เป็น 3.1 หมื่นบาทต่อนาทีในงวด 1Q58 และขึ้นเป็น 3.3 หมื่นบาทต่อนาทีในงวด 2Q58 รวมทั้ง Utilisation rate ที่เพิ่มขึ้นจาก 55% ในงวด 1Q58 เป็น 75% ใน งวด 2Q58 ทำให้ผลประกอบการน่าจะพลิกจากขาดทุน 1 ล้านบาทในงวด 1Q58 เป็น 80 ล้านบาทในงวด 2Q58 และจะดีขึ้นต่อเนื่องในงวด 3Q58 ตามเร็ตติ้งผู้ชมที่เพิ่มขึ้น ทำให้ฝ่ายวิจัยคาดกำไรปีนี้จะเติบโตจากปีก่อนหน้า 7.3 เท่าตัวมาอยู่ที่ 240 ล้านบาท และจะเติบโตอีก 72% ในปีถัดไป จึงเลือก WORK (FV@B45) เป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มมีเดียส์
นักวิเคราะห์ : ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647