- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 04 August 2015 17:18
- Hits: 1484
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Sideways
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งในกรอบแคบ 1,440 จุด +/- ทั้งนี้กลุ่มธนาคารยังคงทรงตัวได้แข็งแกร่ง และเป็นกลุ่มที่ช่วยสนับสนุนให้ SET INDEX แข็งแกร่ง แม้ว่ากลุ่มพลังงานจะได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลงต่อเนื่องก็ตาม ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX บวกเล็กน้อย 1.92 จุด มาอยู่ที่ 1,442.04 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 31,096 ล้านบาท
กระแสเงินทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง 1,430 ล้านบาท Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 2 อีก 3,556 สัญญา โดยนำเงินบางส่วนมาพักในตลาดตราสารหนี้ ซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 813 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ครม.เตรียมพิจารณา 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวันนี้
ADVANC รายงานกำไรสุทธิ 2Q58 เท่ากับ 9.8 พันล้านบาท ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ 6.5%
รมว.คมนาคม เตรียมหารือกับคระทำงานจีน โครงการรถไฟไทย - จีน วันที่ 6-8 ส.ค.
iShare MSCI Thailand ETF คืนวานนี้ปิด -1.10% เป็นการลดลงคืนแรกในรอบ 5 วันทำการ
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก NYMEX - Brent ปรับตัวลง 4-5% คืนวานนี้ จากความกังวลอุปทานที่มากขึ้น กดดันกลุ่มน้ำมัน
มุมมองต่อตลาด
เราคงน้ำหนักการลงทุนวันนี้เป็น "กลาง" วันที่ 20 พร้อมประเมิน SET INDEX แกว่งแคบ 1,440 จุด +/- โดยกลุ่มพลังงานยังคงได้แรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับต่ำ แต่จะถูกชดเชยด้วยกลุ่ม ICT นำโดย ADVANC หลังรายงานกำไรสุทธิออกมาดีกว่าคาด 6.5% รวมถึงประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 6.50 บาท รวมถึงกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ จากแรงเก็งกำไรต่อการประชุมกนง.วันพรุ่งนี้ ตลาดคาดว่า กนง.จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.50% เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งจะทำให้แรงกดดันต่อ NIM ของธนาคารขนาดใหญ่คลายตัวลง
ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะผลักดันให้ SET INDEX ทะลุแนว 1,450 จุดขึ้นไปทดสอบกรอบ 1,480-1,500 จุดได้ในระยะถัดไป เราให้น้ำหนักกับเงื่อนไข 1) ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปจะออกมาใกล้เคียง หรือ ดีกว่าคาด เพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีการปรับประมาณการกำไรสุทธิตลาดหุ้นไทยในปีนี้และปีหน้าลง และ / หรือ 2) การเคลื่อนไหวค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสะท้อนถึงกระแสเงินทุนต่างชาติต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เราเชื่อว่า 35.50-36.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ น่าจะสะท้อนความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทย และความเสี่ยงที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ เราประเมินว่า นักลงทุนต่างชาติมีโอกาสที่จะพลิกกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย อย่างน้อยต้นทุนทางการเงินที่ถูกลงจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า 6.25% YTD และผลตอบแทนจากเงินปันผลระหว่างกาลในหุ้นหลักราว 2.0% +/-
สำหรับ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 6 ข้อจากรมว.คลัง ที่จะเสนอต่อครม.พิจารณาในวันนี้ เรากลับให้น้ำหนักเป็นกลางเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการให้เงินสนับสนุนกับสหกรณ์ การเร่งปล่อยสินเชื่อผ่านนาโนไฟแนนซ์ หรือ เร่งการลงทุนผ่านโครงการลงทุนต่างๆ เป็นโครงการเดิมที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ แต่เรากลับให้น้ำหนักกับการหารือ 3 ฝ่ายระหว่าง ไทย - ญี่ปุ่น - พม่า ในโครงการทวาย วันพรุ่งนี้ หากสามารถตกลงและลงนามอย่างเป็นทางการของภาคเอกชน เพื่อนับหนึ่งเดินหน้าโครงการดังกล่าว ถือว่าเป็นบวกต่อการส่งสัญญาณเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ด้านโลจิสติกส์ไทยที่จะไปเชื่อมต่อโครงการดังกล่าวในอนาคต
อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายที่เบาบางสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ เราประเมินว่าปัจจัยที่จะกลับมาเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้ คือ 1) ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ทรงตัวหรือแกว่งในกรอบแคบลง และ/หรือ 2) การปรับครม. ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงปลายเดือนส.ค.ถึงเดือนก.ย. หลัง ครม.บริหารประเทศครบ 1 ปี หากการปรับเปลี่ยน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากภาคเอกชน ย่อมเป็นทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมเศรษฐกิจ
กลยุทธ์การลงทุน
ดังนั้น เราแนะนำ "นักลงทุนที่สะสมหุ้นเป้าหมายบริเวณ 1,400-1,410 จุดอาจพิจารณาขายทำกำไรรอบสั้นไปบางส่วน บริเวณ 1,450 จุด +/- และถือพอร์ตหุ้นที่เหลือ เพื่อรอประเมินภาพรวมในระยะถัดไป เพื่อดูแรงฟื้นตัวของ SET INDEX ว่าจะทะลุผ่าน 1,500 จุดในรอบสั้นนี้ได้หรือไม่"
Top Pick in 3Q15: BCP / BMCL/ IFEC / WHA
HOLD: ITD / TPIPL/ BJCHI/ ADVANC/ WHA/ THAI/ BCP/ IFEC/ INTUCH
Accumulative Buy: ADVANC / BMCL
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "ทยอยสะสม" ได้แก่
1. ADVANC : ราคาปิด 247.00 บาท ราคาเหมาะสม 290.00 บาท
a) รายงานกำไรสุทธิ 2Q58 ที่ 9.8 พันล้านบาท +16.2% yoy และ +1% qoq ออกมาดีกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ 9.2 พันล้านบาท จากรายได้ที่ขยายตัว +1.8% yoy และการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพส่งผลให้ EBITDA Margin เพิ่มขึ้นเป็น 46.1% ใน 2Q58 จาก 1Q58 ที่ 42.3% และ 2Q57 ที่ 44.1%
b) ประกาศเงินปันผล 1H58 หุ้นละ 6.50 บาท ขึ้น XD วันที่ 11 ส.ค. คิดเป็น Dividend Yield ที่ 2.6%
c) คงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการ 2H58 เนื่องจาก 1.ค่าเสื่อมราคาระบบ 2G จะหมดลงใน 3Q58 และ 2.Regulatory Cost ลดลงเร็วต่อเนื่องตามจำนวนผู้ใช้บริการ Smartphone ระบบ 3G ที่เพิ่มขึ้น
d) มี Upside Risk จากการประมูล 4G คลื่น 1800 และ 900 MHz ในวันที่ 11 พ.ย.จะเป็นการปลดล็อกจากระบบสัญญาสัมปทานเดิมc และหากจัดตั้ง JV กับ TOT สำเร็จจะเป็นบวกอย่างมากต่อธุรกิจ Fixed Broadband ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการของเรา
2. BMCL : ราคาปิด 1.89 บาท ราคาเหมาะสม 2.73 บาท
a) MBKET เริ่มต้นคำแนะนำหุ้น BEM ซึ่งเกิดจากการควบรวมกิจการระหว่าง BMCL - BECL ด้วย "ซื้อ" พร้อมยืนยันมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทใหม่ (BEM) ที่ครบวงจรทั้งธุรกิจทางด่วนและระบบรางซึ่งยังเติบโตได้อีกมากจากการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
b) EBITDA สูงถึงปีละ 8,000 ล้านบาท ชี้ให้เห็นว่ากระแสเงินทุนของ BEM มีความพร้อมมากต่อการเข้าประมูลงานรถไฟฟ้าสายใหม่ๆของภาครัฐฯ และเนื่องด้วยเป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งขันน้อยรายจึงมีโอกาสสูงที่จะชนะงานเดินรถไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกเป็นจำนวนมาก
c) รถไฟฟ้าสายสีม่วงที่จะเริ่มทดสอบระบบในช่วงปลายปี และให้บริการเชิงพาณิชย์ในปี 2559 จะเป็น Catalyst ต่อราคาหุ้น และส่งผลบวกอย่างมีนัยต่อรายได้ค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (สัมปทานปัจจุบัน) ตามจำนวนผู้โดยสารที่เข้าสู่ระบบมากขึ้น และการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะไม่เป็นภาระต่องบการเงินของบริษัทเนื่องจากเป็นสัญญารับจ้างเดินรถ
d) คาดกำไรสุทธิเฉลี่ย 3 ปีข้างหน้า (2558 - 2560) เติบโตปีละ 18% และยังมี Valuation Gap จาก BTS มาก โดย BMCL ซื้อขายที่ PER 2558 ที่ 21.3 เท่า เทียบกับ BTS ที่ 36.3 เท่า และ EV/EBITDA 2558 ที่ 12.5 เท่า เทียบกับ BTS ที่ 38.7 เท่า
e) ประเมินเป้าหมาย BEM ที่ 6.50 บาท หรือเทียบเท่า BMCL ที่ 2.73 บาท มี Upside สูงถึง 44% จึงแนะนำซื้อ BMCL เพื่อนำไปควบรวมและเปลี่ยนเป็นบริษัทใหม่ (BEM)
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ตลาดหุ้นเอเชียกลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ US$228 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$165 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติกลับมาลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยทั้งทางตรงและอ้อม
นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง 1,430 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิ 43,522 ล้านบาท
ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนต่างชาติคงการ Short สุทธิเป็นวันที่ 2 อีก 3,556 สัญญา รวม 2 วันทำการ Short สุทธิ 9,012 สัญญา คาดเป็นการเปิดสถานะ short ต่อเนื่อง เมื่อ S50U15 ปิดต่ำกว่า Set50 Index แคบลงเล็กน้อยเป็น 18.16 จุด จากวันก่อนหน้า Discount กว้างถึง 20.12 จุด ทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Short สุทธิเท่ากับ 57,113 สัญญา
แต่ตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้กลับซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 813 ล้านบาท เทียบกับ 3 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 3,531 ล้านบาท คาดว่าเป็นการพักเงินจากตลาดหุ้น ส่งผลให้ราคาพันธบัตรไทยขยับขึ้นเป็นวันที่ 2 ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงเป็นวันที่ 2 อีก 1.19bps จากวันก่อนหน้าลดลง 0.63bps ปิดที่ 2.803%
Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling เพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 2 เท่ากับ 800 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 769 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ เน้น PTT / DTAC / TRUE
การซื้อขายผ่าน NVDR กลับมาขายสุทธิ 687 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้า ซื้อสุทธิ 2,699 ล้านบาท ทั้งนี้เลือกที่จะลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้น 3 หุ้นหลัก PTT / DTAC / TRUE สรุปภาพรวมได้ดังนี้
1. กลุ่ม ICT กลับถูกขายสุทธิสูงสุดอีกครั้ง 299 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน ขายสุทธิ 196 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 736 ล้านบาท กลุ่มอาหารขายสุทธิ 121 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มค้าปลีกกลับถูกซื้อสุทธิสูงสุด แต่ก้เพียง 89 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมากลาง
รายได้ส่วนบุคคล เดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 0.4% mom ดีกว่าที่ Bloomberg consensus คาด 0.3% mom แต่เท่ากับเดือนก่อนหน้า โดยค่าเช้าและการโอนเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง ขณะที่ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นชะลอตัว
รายจ่ายส่วนบุคคล เดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 0.2% mom เท่ากับ Bloomberg consensus คาด แต่ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 0.7% mom เนื่องจากยอดขายยานยนต์ที่ชะลอตัว
ISM ภาคการผลิตเดือนก.ค. เท่ากับ 52.7 จุด ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาด 53.7 จุด และเดือนก่อนหน้าที่ 53.5 จุด การจ้างงานชะลอตัวเกือบ 3 จุด เป็น 52.7 จุด และคำสั่งซื้อสินค้าส่งออกใหม่ลดลง 1.5 จุด เป็น 48.0 จุด และเดือนที่ 5 ที่ระดับดังกล่าวต่ำกว่า 50.0 จุด
ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.ค. เท่ากับ 53.8 จุด เท่ากับ Bloomberg consensus คาด และใกล้เคียงเดือนก่อนหน้าที่ 53.6 จุด โดยความต้องการภายในประเทศเพิ่มขึ้น ชดเชยกับภาคการส่งออกที่ชะลอตัว
ยุโรป
ตลาดหุ้นกรีซเปิดทำการวันแรกปรับตัวลงแรงสุดในนรอบ 10 ปี: ดัชนี ASE Index ปิดลบ 16% ในวันที่ 3 ส.ค. หลังจากที่เปิดและปรับตัวลงมากที่สุดของวันที่ 23% ก่อนจะเกิดการฟื้นตัว ทั้งนี้หุ้นธนาคารอย่าง Piraeus Bank SA และ National bank of Greece SA ลดลง 30% เป็นระดับ Floor ของตลาดหุ้นกรีซ
จีน
Hedge Fund ใหญ่ของสหรัฐฯ ถูกเข้าตรวจสอบ: กองทุน Citadal ซึ่งเป็น Hedge Fund ที่จัดตั้งขึ้นในสหรัฐฯ ยืนยันว่าบัญชีหนึ่งของกองทุนที่บริหารจัดการภายใต้ชื่อ Guosen Futures - Citadel (Shanghai) ซึ่งซื้อขายตลาด Shenzhen Exchange ได้ถูกระงับการซื้อขาย แม้ว่ากองทุนยืนยันว่าการลงทุนเป็นไปตามกฎและหลักเกณฑ์ที่ทางการจีนกำหนดไว้ ทั้งนี้ทางการจีนได้ระงับการซื้อขาย 34 บัญชี หลังเข้าตรวจสอบรายการที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับฐานลงแรงในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา
ทางการจำกัดรายการทำ short-selling เพื่อป้องกันตลาดผันผวน: โดยนักลงทุนที่ยืมหุ้นจะต้องรอ 1 วันทำการ เพื่อที่จ่ายเงินกู้ เพื่อต้องการป้องกันไม่ให้นักลงทุนจากการขายหุ้น และซื้อหุ้นคืนภายในวันเดียวกัน เพราะจะทำให้เกิดความผันผวนอย่างผิดปกติในหุ้น และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของตลาด ขณะที่กฎเดิม นักลงทุนสามารถทำรายการขายและซื้อหุ้นคืนได้ภายในวันเดียวกัน เพื่อทำกำไร ทั้งนี้เป็นการใช้กฎเดียวกันในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิน
เอเชียแปซิฟิก
ตัวเลขการผลิตเดือน ก.ค.ในเอเชียส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น:
ดัชนี Nikkei PMI ภาคการผลิตของญี่ปุ่นลดลงอยู่ที่ระดับ 51.2 จุด จากเดือน มิ.ย. 51.4 จุด
ดัชนี Nikkei PMI ภาคการผลิตของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 47.6 จุด จากเดือน มิ.ย. 46.1 จุด
ดัชนี Nikkei PMI ภาคการผลิตของไต้หวันเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 47.1 จุด จากเดือน มิ.ย. 46.3 จุด
ดัชนี Nikkei PMI ภาคการผลิตของเวียดนามเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 52.6 จุด จากเดือน มิ.ย. 52.2 จุด
ดัชนี Nikkei PMI ภาคการผลิตของมาเลเซียเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 47.7 จุด จากเดือน มิ.ย. 47.6 จุด
ดัชนี Nikkei PMI ภาคการผลิตของอินโดนีเซียลดลงอยู่ที่ระดับ 47.3 จุด จากเดือน มิ.ย. 47.8 จุด
ไทย
อัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ค.ของไทยลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7: ลดลง 1.05% yoy ใกล้เคียงกับที่ Bloomberg Consensus คาด -1.00% yoy และเดือนก่อนหน้าที่ลดลง 1.07% yoy ทั้งนี้เงินเฟ้อใน 7M58 ลดลง 0.85% yoy ยังคงเป็นผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกโดยเฉลี่ยในประเทศยังปรับตัวลดลง โดยทิศทางอัตราเงินเฟ้อหลังจากนี้คาดว่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยอาจจะกลับเข้าสู่แดนบวกได้ในเดือน ก.ย. หรือในช่วง 4Q58 อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์มีแนวโน้มปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อใหม่จากเดิมที่คาดว่าปีนี้อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ระหว่างร้อยละ 0.6 -1.3
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530