- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 13 July 2015 17:53
- Hits: 2136
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"แกว่งรอข้อสรุปเรื่องกรีซ"
Stock Picks-Jul 2015 : Fundamental : CENTEL, CK, CPN, IVL, TUF ส่วน Dark Horse คือ MCS, SYNEX
Fundamental Pick -Today: MCS
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : RATCH 24%, VGI 23%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อเหนือ 1470 1490-1500 ค่าลบ
SET50 ซื้อเหนือ 970 990-1000 ค่าลบ
Technical Picks- Today : SCB, TCMC, WHA, WORK, MCS, CPALL
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยรีบาวด์ตามคาด โดยปรับขึ้น 12.33 จุด ปิดที่ 1484.90 ปัจจัยหนุน คือ ตลาดหุ้นจีนที่กลับมาบวกหลังทางการออกหลายมาตรการพยุงหุ้น และมีความหวังทางบวกเกี่ยวกับการแก้ปัญหาหนี้กรีซ กลุ่มที่นำตลาดขึ้น คือ ธนาคารพาณิชย์และพลังงาน แต่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อ 3.9 พันล้านบาท
ต้นสัปดาห์ตลาดยังแกว่งรอดูข้อสรุประหว่างกรีซกับเจ้าหนี้ โดยผู้นำยูโรโซนให้เวลากรีซถึงวันพุธที่ 15 ก.ค.เพื่อผ่านร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับมาตรการรัดเข็มขัดและปฎิรูปประเทศของกรีซ แลกกับการรับความช่วยเหลือทางการเงินรอบที่ 3 ซึ่งการผ่อนผันเรื่องเวลาให้กรีซมาหลายรอบทำให้ตลาดประเมินโอกาสที่กรีซจะออกจากยูโรโซนน้อยลง แม้ว่าเยอรมนีจะเตรียมแผนสำรองให้กรีซออกจากยูโรโซนชั่วคราว 5 ปีก็ตาม ส่วนในประเทศ ก็ติดตามการทำ Preview ผลประกอบการ 2Q58 บจ.ในกลุ่ม Real Sectors และรอดูรายงานกำไร 2Q58 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเรามองว่าภาพรวมของผลประกอบการกลุ่มที่อิงอุปสงค์ในประเทศยังไม่สดใส แต่อาจมีการเก็งกำไรหลังราคาหุ้นลงแรงเป็นรอบๆ ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลาในการปรับปรุงโครงสร้างและฟื้นตัว ดังนั้นการลงทุนในหุ้น จึงยังคงเน้นหุ้น Defensive และปันผลสูงเป็นหลัก สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น MCS
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวกเล็กๆ เน้นซื้อตามค่าบวกหรือซื้อเหนือ 1470 การปรับขึ้นมีแนวต้านระยะสั้น 1490-1500 การอ่อนตัวจะมีแนวเด้งถัดไปที่ 1460-1450
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New High พบว่าที่น่าสนใจเป็น CPN, BCP, MCS ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น TPOLY หุ้นที่หลุด List คือ SOLAR และหุ้นที่แนะนำไปแล้ว & ราคาได้ปรับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่น่าขายทำกำไร คือ SVOA, TPCH, EGCO, BCH, TVO
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
กรีซ : ผู้นำยูโรโซนให้เวลากรีซ 3 วันเพื่อปฏิบัติตามข้อเรียกร้องก่อนรับเงินช่วยเหลือรอบที่ 3 ที่ประชุมผู้นำยูโรโซนเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ก.ค.58 ได้ให้เวลารัฐบาลกรีซเป็นเวลา 3 วัน (สิ้นสุด 15 ก.ค.นี้) ในการผ่านร่างกฎหมาย ซึ่งรวมถึงกฎหมายการปรับขึ้นภาษีการขาย, การลดเงินบำเหน็จบำนาญ, เปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับด้านการล้มละลาย และลดการใช้จ่ายโดยอัตโนมัติหากดุลงบประมาณของกรีซไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งนี้เพื่อแลกกับการรับความช่วยเหลือด้านการเงินเป็นเวลา 5 ปี ด้านเยอรมนีกล่าวว่า ได้เตรียมแผนสำรองเพื่อเปิดทางให้กรีซหลุดพ้นจากการเป็นสมาชิกยูโรโซนชั่วคราวเป็นระยะเวลา 5 ปี
จีน : ให้ทำ Filing ต่อแต่ยังไม่ให้เปิดขาย IPO หน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ระบุว่ายังคงให้กระบวนการพิจารณาอนุมัติการเสนอขายหุ้น IPO (การทำ Filing) ดำเนินต่อไป แต่ยังไม่ให้เปิดขายหุ้น IPO ในระยะเวลาอันใกล้นี้
นิวเคลียร์อิหร่าน...เลื่อนกำหนดเส้นตายในการเจรจาเป็น 13 ก.ค.นี้ : กลุ่ม P+1 (จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหรัฐ รวมทั้งเยอรมนี) และอิหร่าน มีแนวโน้มว่าจะตกลงกันได้ในที่สุด แต่ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมายังไม่สามารถตกลงกันได้ในบางประเด็น จึงตัดสินใจขยายกำหนดเส้นตายในการเจรจาออกไปเป็นวันจันทร์ที่ 13 ก.ค.58
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ & ยุโรปพุ่งขึ้นในวันศุกร์...หวังกรีซตกลงกับเจ้าหนี้ได้ และคลายความกังวลกับตลาดหุ้นจีน โดยดัชนี DJIA ปิดที่ 17,760.41 จุด เพิ่มขึ้น 211.79 จุด หรือ +1.21% ดัชนี CAC-40 ปิดที่ 4,903.07 จุด เพิ่มขึ้น 145.85 จุด หรือ +3.07% ดัชนี DAX ปิดที่ 11,315.63 จุด เพิ่มขึ้น 319.22 จุด หรือ +2.90% ทั้งนี้กรีซได้ยื่นแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจชุดใหม่ให้กับกลุ่มเจ้าหนี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือวงเงิน 5.35 หมื่นล้านยูโร หรือ 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์ไปเมื่อวันพฤหัสฯสัปดาห์ก่อน และยูโรกรุ๊ปได้พิจารณาแผนและเจรจากันอย่างเข้มข้นในวันเสาร์-อาทิตย์
ราคาน้ำมันดิบแกว่งแคบ โดยสัญญา WTI และ BRENT ปิด -0.04 และ +0.12 ดอลลาร์ ปิดที่ 52.74 และ 58.73 ดอลลาร์/บาร์เรล นักลงทุนรอดูผลการเจรจานิวเคลียร์อิหร่านว่าจะจบอย่างไร ถ้าตกลงกันได้อิหร่านก็จะสามารถส่งออกน้ำมันดิบสู่ตลาดโลกได้เพิ่ม ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงในระยะสั้นได้ แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ราคาน้ำมันดิบมีสิทธิปรับขึ้นรับข่าว แต่ระยะทางอาจไม่มากเพราะถูกกดดันด้วยการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนส.ค. ปรับตัวลง 1.3 ดอลลาร์ หรือ -0.11% ปิดที่ 1,157.90 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตลาดรอดความคืบหน้าเรื่องกรีซ รวมถึงทีท่าของเฟดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
/- ธุรกิจสื่อโดยรวมยังซบเซา แต่สื่อออนไลน์ขยายตัวแกร่ง หากไม่รวมรายได้โฆษณาผ่านสื่อทีวีดิจิตอลช่องใหม่พบว่ารายได้ค่าโฆษณาผ่านสื่อทุกประเภทติดลบในช่วง 1H58 และการซื้อขายโฆษณาทีวีดิจิตอลมีการปรับเสนอส่วนลดราคาสำหรับบางรายการและบางช่องถึง 70-80% เนื่องจากกำลังซื้อในระบบชะลอตัวและเรทติ้งของช่องยังต่ำ ส่วนช่องที่มีเรทติ้งดีก็ยังไม่สามารถปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาได้มากตามที่วางแผนไว้ สำหรับสื่อที่เติบโตดีสวนเศรษฐกิจ คือ สื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้อินเตอร์เน็ต สมาร์ทโฟน แทบเล็ต ฯลฯ กันมากขึ้น และยังมีแนวโน้มดี สมาคมโฆษณาดิจิตอล (ประเทศไทย) หรือ DAAT ประมาณการว่ารายได้ค่าโฆษณาผ่านสื่อที่เป็นดิจิตอลจะเติบโต 33% ในปีนี้เป็น 8 พันล้านบาท หลังจากเติบโตแข็งแกร่ง 53% และ 44% ในปี 56-57 ที่ผ่านมาก ส่วนแนวโน้มคาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 30% ไปในอีก 5 ปีข้างหน้า ทั้งนี้รายได้โฆษณาผ่านสื่อดิจิตอล ได้แก่ โฆษณาดิสเพลย์ (คิดเป็น 27% ของทั้งหมด), เสิร์ช (20%), เฟสบุ๊ค (17%), วีดีโอคอนเทนท์ (16%), โมบาย (5%), โซเชียลมีเดีย (4%), อื่นๆ (11%) กลยุทธ์การลงทุน ซื้อสะสมจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว หุ้นเด่น PLANB, WORK เป็นต้น
ช่วง 1H58 กองทุนต่างประเทศมียอดเงินไหลเข้าสุทธิราว 7 หมื่นล้านบาท แต่มียอดไหลออกสุทธิของกองทุน LTF 7 พันล้านบาท ส่วนกองทุน RMF มียอดไหลเข้าสุทธิราว 2.7 พันล้านบาท บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยตัวเลขดังกล่าวข้างต้นไว้ และประเมินว่าเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิของกองทุน LTF ของทั้งปี 58 จะยังเป็นอยู่ที่ราว 3 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะลดลงไปในช่วง 1H58 ก็ตาม โดยจะเข้ามามากในช่วงปลายปี ส่วนกองทุน RMF ก็น่าจะเติบโตได้เช่นกัน สำหรับกองทุนหุ้นที่ไม่รวม LTF & RMF ในช่วง 1H58 เติบโตเพียงเล็กน้อย คือ +2.1%YTD เป็น 1.8 แสนล้านบาท สำหรับกองทุนต่างประเทศ มีเงินไหลเข้าสุทธิช่วง 6M58 ราว 7 หมี่นล้านบาท (เฉพาะกองทุนเปิด) รวมเป็นสินทรัพย์สุทธิ 3 แสนล้านบาท โดยเข้าลงทุนในกองทุนสุขภาพสุทธิ 2.6 หมื่นล้านบาท ตามมาด้วยกองทุนหุ้นจีนและญี่ปุ่นกลุ่มละประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท
วิเคราะห์ Sensitivity ราคาเป้าหมายหุ้น PTTEP โดยใช้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบ BRENT ระดับ 75, 82 (Base Case) และ 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล พบว่าจะได้ราคาเป้าหมายของ PTTEP เท่ากับ 100 บาท, 130 บาท (Base Case) และ 140 บาท ตามลำดับ ซึ่งเราประเมินว่าราคาน้ำมันดิบในระยะยาวจะสูงกว่าราคาเฉลี่ยในปี 58 ราว 20-25% เนื่องจากอุปสงค์ที่จะเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เราจึงใช้สมมติฐาน Base Case เป็น 82 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนในกรณี Conservative คือ ราคาน้ำมันดิบระยะยาวสูงกว่าเฉลี่ยของปีนี้เพียง 10-15% เป็น 75 ดอลลาร์/บาร์เรล พบว่าราคาเป้าหมายของ PTTEP ก็อยู่ที่ราคาหุ้นปัจจุบัน ดังนั้นการอ่อนตัวของราคาหุ้น PTTEP (คือราคาต่ำกว่า 100 บาท) ก็เป็นโอกาสซื้อลงทุน
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]