- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 10 July 2015 15:57
- Hits: 1339
บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)
ทิศทางตลาดสัปดาห์หน้าขึ้นกับการเจรจาหนี้ของกรีซในวันอาทิตย์นี้
ดัชนีหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตกอยู่ในบรรยากาศกดดันจากปัจจัยภายนอกทั้งปัญหาหนี้ของกรีซและการปรับลดลงแรงของตลาดหุ้นจีน ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 48 จุดหรือ -3.2% จากระดับ 1520 จุด มาปิดที่ระดับ 1472 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ลดลงเฉลี่ยต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน อย่างไรก็ตามเราคาดว่าสถานการณ์ของกรีซจะเริ่มเห็นความชัดเจนไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือลบภายในสัปดาห์หน้า ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนที่ปรับลดลงมาแรงกว่า 30% ในช่วง 2 สัปดาห์ น่าจะเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นในสัปดาห์หน้าหลังทางการจีนออกมาตรการมากมายมาพยุงตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นเราประเมินปัจจัยที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นในสัปดาห์หน้าดังต่อไปนี้ 1) ผลการเจรจาหนี้ระหว่างกรีซกับรมว. คลังยูโรโซน 2) การปรับฐานของตลาดหุ้นจีน 3) การประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/58 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 4) การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 16 ก.ค.
ประเด็นการเจราจาหนี้ของกรีซกับรมว. คลังยูโรโซน เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มากขึ้นหลังโฆษกกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) เปิดเผยว่า กรีซได้ยื่นเรื่องอย่างเป็นทางการเพื่อขอรับเงินกู้ระยะ 3 ปีจากทางกองทุน ESM แล้วในวันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา พร้อมกับยืนยันที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขบางประการที่เจ้าหนี้เรียกร้องในข้อตกลงให้ความช่วยเหลือ นอกจากนั้นแล้วทางสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะของกรีซ (PDMA) ก็มีการเปิดเผยว่า รัฐบาลกรีซมีรายได้ 1.625 พันล้านยูโรจากการประมูลพันธบัตรรัฐบาลในวันที่ 8 ก.ค. โดย PDMA ระบุว่า พันธบัตรดังกล่าวมีอายุ 26 สัปดาห์ โดยมีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 2.97% ไม่เปลี่ยนแปลงจากการประมูลเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ทั้งนี้ รัฐบาลกรีซต้องพึ่งพาการประมูลพันธบัตรรายเดือนในการหารายได้ นับตั้งแต่ที่โครงการความช่วยเหลือจากต่างประเทศได้ยุติลง หลังจากที่กรีซมีความขัดแย้งกับเจ้าหนี้เกี่ยวกับเงื่อนไขในข้อตกลงให้ความช่วยเหลือ
หากผลการหารือของรัฐมนตรีคลังยูโรโซนในวันที่ 12 ก.ค. ไม่ยอมรับกับข้อเสนอของกรีซเกี่ยวกับมาตรการรัดเข็มขัด (ซึ่งเป็นข้อเสนอสุดท้ายแล้วที่ทางยูโรโซนให้โอกาสกับกรีซ) เราคาดว่ากรีซจะผิดนัดชำระหนี้จำนวน 3.5 พันล้านยูโรกับ ECB ในวันที่ 20 ก.ค. และทาง ECB อาจจะยกเลิกการจัดสรรวงเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือ Emergency Liquidity Assistance (ELA) แก่ภาคธนาคารของกรีซ ส่งผลให้กรีซจะเข้าสู่ภาวะล้มละลายและต้องออกจากยูโรโซน ซึ่งหากกรณีเกิดขึ้นเราคาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลก (ซึ่งปรับตัวลดลงมาประมาณ 5-10% จากประเด็นกรีซ) น่าจะมีการปรับลดลงต่อ (ประมาณ 4-5% นำโดยตลาดหุ้นยุโรป ซึ่งเป็นเจ้าหนี้หลักของกรีซกว่า 1.9 แสนล้านยูโร จากจำนวนหนี้ทั้งหมด กว่า 3 แสนล้านยูโร) ในวันที่ทราบความชัดเจนว่ากรีซต้องออกจากยูโรโซนแน่นอน แล้วหลังจากนั้นน่าจะเริ่มค่อยๆ ฟื้นตัวตามกพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ แต่หากรมว. ยูโรโซนยอมรับข้อเสนอของกรีซและให้เงินช่วยเหลือก็จะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกคลายความกังวลแล้วกลับมาพุ่งขึ้นอย่างน้อย 4-5% ในสัปดาห์หน้าได้ ดังนั้นนักลงทุนต้องติดตามผลการหารือปัญหาหนี้ของกรีซในวันที่ 12 ก.ค. ให้ดี
ส่วนประเด็นการปรับลดลงแรงของตลาดหุ้นจีนกว่า 30% ในช่วง 2 สัปดาห์ เราคาดว่าน่าจะเริ่มเห็นตลาดจีนยืนได้ในระดับ 3500+/- จุด ซึ่งเป็นระดับ -1 s.d. ของตลาดหุ้นจีนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา บวกกับมาตรการพยุงตลาดหุ้นที่ทางการจีนประกาศออกมาไม่ว่าจะเป็นทั้ง 1) ห้ามนักลงทุนที่ถือหุ้นเกิน 5% ขายหุ้นออกมาเป็นเวลา 6 เดือน 2) ระงับการซื้อขายหุ้นของบริษัทประมาณ 1,300 รายในตลาดหุ้นจีน หรือคิดเป็น 43% ของหุ้นที่จดทะเบียนทั้งหมดในตลาด เพื่อป้องกันการบังคับขาย (force sell) บัญชีมาร์จินของนักลงทุน 3) โบกเกอร์ 21 แห่งให้สัญญาไม่ขายหุ้นที่ถืออยู่และลงเงินเพิ่มอีก 1.96 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าซื้อกองทุน ETF เพื่อพยุงหุ้นหลักของจีน 4) เพิ่มหลักประกันมาร์จิ้นสำหรับสัญญาล่วงหน้าดัชนี CSI 500 เพื่อสกัดการเก็งกำไร 5) เพิ่มเพดานการซื้อหุ้นบลูชิพของบริษัทประกันจาก 5% เป็น 10% เป็นต้น ทั้งนี้เราคาดว่าตลาดจีนจะยังมีความผันผวนในสัปดาห์หน้าในวันที่มีการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2/58 ในวันที่ 15 ก.ค. โดยตลาดคาด +6.8% ต่ำกว่าไตรมาสก่อนที่ +7.0% ซึ่งเป็นการชะลอตัวลงต่อเนื่องในรอบ 24 ปี และหาก GDP ออกมาต่ำกว่าคาดมากเราคาดว่าจะเห็นแรงขายตลาดหุ้นจีนออกมาอีกระลอกจากความกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปัญหาฟองสบู่
ส่วนประเด็นการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/58 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์โดยส่วนใหญ่คาดว่ากำไรจะลดลงทั้ง yoy และ qoq และราคาหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับลดลงไปกว่า 5% ในสัปดาห์ที่แล้วก็ได้สะท้อนไปในระดับหนึ่งแล้ว แต่เราคาดว่าราคาจะยังไม่ฟื้นตัวไปได้ไกลในระยะสั้นเนื่องจากแนวโน้มผลกำไรในครึ่งปีหลังก็ยังดูไม่ดีตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว, สินเชื่อเติบโตลดลงในอัตราที่มากกว่า NPL ที่เพิ่มสูงขึ้น, การตั้งสำรองหนี้สูญและ credit cost ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ส่วนการประชุมธนาคารกลางยุโรปคงไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ที่ระดับ 0.05% แต่อาจมีมาตรการอะไรออกมามากขึ้นหากผลการเจรจาหนี้ของกรีซในวันที่ 12 ก.ค. ออกมาล้มเหลวได้
แม้ว่าตลาดต่างประเทศจะมีการฟื้นตัวขึ้นตามตลาดจีนที่เมื่อวานปรับตัวขึ้นแรงกว่า 5% แต่เรายังคาดว่าจะยังเห็นความผันผวนในระยะสั้นได้อีก บวกกับผลการเจรจาหนี้ของกรีซในวันอาทิตย์นี้ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง เมื่อพิจารณาผลตอบแทนเทียบความเสี่ยงแล้ว เราแนะนำให้รอซื้อในวันจันทร์หลังทราบผลว่ากรีซจะได้รับเงินช่วยเหลือและไม่ต้องออกจากยูโรโซนหรือไม่จะดีกว่าแม้ว่าต้องซื้อแพงหน่อยก็ตาม สำหรับนักลงทุนระยะสั้นเรายังคงแนะนำหุ้นกลุ่มปลอดภัยอย่างกลุ่มโรงพยาบาล BDMS CHG และกลุ่มที่ให้อัตราเงินปันผลสูงอย่าง ADVANC INTUCH BTS JASIF TRUEIF วันนี้เราให้แนวรับที่ 1460-1465 และแนวต้านที่ 1480-1485 จุด
Analysts :
Kiatkong Decho +662 657-9236 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(PM)
Morning Market Summary...
SET ช่วงเช้าปิดที่ระดับ 1,478.74 จุด เพิ่มขึ้น 6.17 จุด (+0.42%) มูลค่าการซื้อขาย 16,510.34 ล้านบาท หุ้นไทยเช้านี้เปิดดีดขึ้น ตามทิศทางของตลาดต่างประเทศ หลังตลาดหุ้นจีนรีบาวด์ และกรีซยื่นแผนปฏิรูปการคลังต่อเจ้าหนี้เมื่อคืนนี้ และรอผลสรุป (12 กค.) บ้านเราวันนี้ SET เปิดดีดขึ้น โดยมีแรงซื้อนำในกลุ่มธนาคาร ขณะที่มีแรงขายทำกำไรในกลุ่มสื่อสาร และพลังงาน ส่งผลให้ SET ลงมาปิดต่ำกว่า 1480 จุดในช่วงเช้า ติดตามผลประกอบการ Q2/58 ของกลุ่มธนาคารที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์หน้า
Afternoon Perspective...
แนวโน้มตลาดภาคบ่าย หาก SET ปิดไม่ต่ำกว่า 1478 จุด จะเกิดสัญญาณซื้อต่อเนื่อง และจะมองว่า SET กำลังทำจุดกลับตัวรอบใหม่ โดยจะยืนยันสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน ก็ต่อเมื่อ SET ทะลุ 1498 จุด ขึ้นไปได้ ระยะสั้นปัจจัยเรื่องกรีซและตลาดหุ้นจีน จะลดน้ำหนักลงไป เราแนะนำให้เข้าซื้อหุ้นใหญ่บางตัว แนะนำ KBANK BBL PTTGC IRPC BANPU AOT หลังราคาปรับฐานลงมาพอสมควรแล้ว
Fundamental Picks & Technic (PM) ...
Thai Vegetable Oil (TVO TB; THB 23.20) - ซื้อ
M.C.S. Steel (MCS TB; THB 9.90) - ซื้อ
Analysts :
Teerawut Kanniphakul +66(2) 657 9233 - [email protected]/ [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Thailand Trading Picks(PM)
SET Index : ควรปิดยืนเหนือระดับ 1480 ขึ้นไป
SET Index : 1478.74 ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1485 จุดก่อนที่จะปรับตัวลดลงเนื่องจากมูลค่าการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบาง และยังคงมีแรงขายหุ้นในกลุ่มพลังงานออกมาต่อเนื่อง แต่การฟื้นตัวกลับขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1475 จุด จึงทำให้แนวโน้มขาขึ้นในระยะยาวของ SET Index ยังไม่เสียไป และมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือแนวรับของกรอบแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาวขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1500 และ 1510 จุดตามกรอบแนวโน้มขาลง แต่ถ้าในช่วงบ่ายมีแรงขายหุ้นต่อเนื่องมาปิดต่ำกว่าระดับ 1470 จุด เราแนะนำให้ขายหุ้นลดพอร์ตลงมาส่วน เนื่องจากโครงสร้างในระยะยาวหลุดแนวโน้มขาขึ้นลงไป
PTT = 337 / 340, PTTEP = 100 / 102, KBANK = 185 / 187, SCB = 150 / 151, KTB = 17.00 / 17.40
S50U15 : 956.40 สัญญาฟิวเจอร์สปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 962 ก่อนที่จะถูกขายทำกำไรออกมาในระยะสั้นไปทดสอบแนวรับที่ 955 ซึ่งเราแนะนำให้รอขายทากำไรที่บริเวณแนวต้าน 965 ถ้าสามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ 980 ในขณะที่ความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงอยู่ที่บริเวณ 940 เราจึงยังคงแนะนำให้เน้นการ Open Long ใน S50U15 ถ้า SET50 ยังไม่หลุด 960 จุดลงไป
GFQ15 : 18840 เคลื่อนไหวในกรอบแคบเหนือระดับ 18800 ลงไปตามทิศทางของราคาทองคำที่ฟื้นตัวขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ US$1160 ลงไป ในขณะที่ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 34.00 เราจึงแนะนำให้กลับเข้าไป Open Long ที่แนวรับ 18800 และมีแนวต้านที่ 19000 และ 19300 เป็นจุดขายทำกำไร
S50U15 : 34.01 ขายสถานะ Short ทำกำไรในระยะสั้นที่บริเวณ 34.00 ในขณะที่ค่าเงินบาทในตลาด Spot มีแนวรับสำคัญที่ 33.70
TECHNICAL FOLLOW UP : แนวรับ แนวต้าน
SET Index ฟื้นตัวเหนือแนวรับสำคัญที่ 1470 แนวโน้มขึ้นทดสอบ 1500 และ 1510 1478 / 1475 1484 / 1488
S50U15 Open Long ที่แนวรับ 955 และ 950 แนวต้าน 965 และ 980 955 / 952 960 / 962
GFQ15 กลับเข้าไป Open Long ที่แนวรับ 18800 แนวต้าน 19000 18820 / 18800 18100% / 18900
USDU15 แนวรับ 34.00 มีโอกาสฟื้นตัวทดสอบ 34.10 แนวรับสำคัญ 33.80 34.00 / 33.97 34.04 / 34.08
RICH ซื้อที่แนวรับ 1.40-1.42 แนวโน้มขึ้นทดสอบ 1.50 และ 1.60 1.40** / 1.38 1.44 / 1.48
UMI แนวโน้มขึ้นทดสอบ 7.00 และ 7.80 6.30 / 6.25 6.60 / 7.00
Thai Vegetable Oil (TVO TB; THB 23.20) - ซื้อ
แนวต้าน : 24.00 และ 25.00 / เป้าหมาย 28.00
แนวรับ : 23.20 และ 23.00
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทะลุผ่านแนวต้านสำคัญที่ 23.00 ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ในระยะสั้น หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทะลุผ่านแนวโน้มขาลงขึ้นไปได้แล้ว
MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 60
แนะนำซื้อ TVO โดยมีแนวรับที่ 23.20 และ 23.00 และมีแนวต้านที่ 24.00 และ 25.00 เป็นจุดขายทำกำไร ในขณะที่โครงสร้างในระยะยาวมีเป้าหมายขึ้นไปที่ 28.00
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 22.60 ลงไป
M.C.S. Steel (MCS TB; THB 9.90) - ซื้อ
แนวต้าน : 10.40 และ 11.00
แนวรับ : 9.90 และ 9.80
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากปรับตัวลดลงไปสร้างฐานเหนือแนวรับของกรอบแนวโน้มขาขึ้น ทาให้แนวโน้มของราคหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
MACD ปรับตัวลดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 60
แนะนำซื้อ MCS โดยมีแนวรับที่ 9.90 และ 9.80 และมีแนวต้านที่ 10.40 และ 11.00 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 9.50 ลงไป
Analysts :
Teerasak Tanavarakul +662 657-9231 - [email protected]