- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 08 July 2015 16:28
- Hits: 3322
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ยังไม่ทิ้งผันผวน"
Stock Picks-Jul 2015 : Fundamental : CENTEL, CK, CPN, IVL, TUF ส่วน Dark Horse คือ MCS, SYNEX
Fundamental Pick -Today: KCE (ดูรายละเอียดในหน้า 2)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : TTA 27%, BMCL 19%, PTTEP 15%, BA 15%, SIRI 15%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ แต่ยังต้องระวังการแกว่งลง
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1490-1500 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 980-990 ค่าลบ
Technical Picks- Today : KBANK, RCI, UNIQ, INTUCH, DIMET, IHL, AAV, BH
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : TMB (จากซื้อเป็น ถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยมีรีบาวด์ 10.54 จุด ปิดที่ 1483.77 นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์, สื่อสาร (ความคืบหน้าเรื่องเปิดประมูล 4G ช่วยหนุนหุ้น ADVANC และ INTUCH), สายการบิน (ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันลดลง), กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ (ได้ประโยชน์จากบาทอ่อน) ส่วนกลุ่มพลังงานอ่อนลงแต่ไม่มาก เพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเด้งขึ้นประมาณ 1% นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาติซื้อสุทธิกลุ่มละ 500 กว่าล้านบาท พอร์ตบล.ขายสุทธิ ส่วนรายย่อยซื้อขายใกล้เคียงกัน
ที่ประชุมยูโรกรุ๊ปเมื่อคืนนี้ยังไม่มีข้อสรุป แต่มีกำหนดเส้นตายให้กรีซยื่นแผนปฎิรูปใหม่ภายในพฤหัสฯที่ 9 ก.ค.และการเจรจาระหว่างกรีซกับกลุ่มเจ้าหนี้จะสิ้นสุดในวันอาทิตย์ที่ 12 ก.ค.58 โดยผู้นำ EU 28 ประเทศมีนัดประชุมวันที่ 12 ก.ค.เพื่อตัดสินประเด็นกรีซด้วย ซึ่งในสัปดาห์นี้ข่าวกรีซยังเป็นเรื่องที่มีน้ำหนักต่อตลาดมาก และความไม่แน่นอนในยุโรปทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนลง ซึ่งเป็นบวกกับบจ.ที่มีรายได้สุทธิและสินทรัพย์สุทธิอยู่ในรูปดอลลาร์ เช่น บริษัทในกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ (หุ้นเด่น KCE), THCOM เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าเงินบาทเป็นลบกับบริษัทที่มีหนี้ต่างประเทศมากๆ เช่น THAI ส่วนกลุ่มพลังงานจะมีรายได้และหนี้ในรูปเงินตราต่างประเทศจึงเป็น Natural hedge
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ภาพตลาดโดยรวมพลิกกลับเป็นบวกเล็กๆ การเข้าซื้อใหม่ เน้นตามด้วยค่าบวก โดยมีแนวต้าน 1490-1500, 1510 ค่าลบดูไม่ดี เพราะมีโอกาสลงไปที่แนวเด้ง 1460, 1440
สำหรับการ SCAN หาหุ้นที่มีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SVOA, SOLAR, TPCH, BRR, TPOLY ส่วนหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น INTUCH, RCI, PLANB หุ้นที่อยู่ในพื้นที่น่า Take Profit คือ UNIQ, NUSA
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
กรีซ : ต้องเสนอแผนฯภายในพฤหัสฯนี้ ประธานสภายุโรปกล่าวว่าทางกลุ่มให้เวลากรีซยื่นข้อเสนอ & รายละเอียดแผนปฎิรูปภายในวันที่ 9 ก.ค.58 นี้เป็นอย่างช้า หลังจากนั้นจะหารือและต่อรองกัน โดยจะสรุปเรื่องกรีซให้ได้ภายในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ผู้นำ 28 ประเทศของสหภาพยุโรป (EU) จะนัดประชุมร่วมกันในวันอาทิตย์ที่ 12 ก.ค.58 เพื่อตัดสินเรื่องกรีซ
+ สหรัฐ : ภาคแรงงานสหรัฐยังแข็งแกร่ง โดยตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครโดยสถานประกอบการในสหรัฐทรงตัวที่ระดับ 5.4 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2543 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาวะแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐ
+ สหรัฐ : เดือนพ.ค.ขาดดุลการค้าน้อยกว่าคาด โดยขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 2.9% สู่ระดับ 4.187 หมื่นล้านดอลลาร์ น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 4.25 หมื่นล้านดอลลาร์
+ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้น โดยดัชนี DJIA เพิ่มขึ้น 93.33 จุด หรือ +0.53% ดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 5.52 จุด หรือ +0.11% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 12.58 จุด หรือ +0.61% เพราะนักลงทุนมองว่าเรื่องกรีซอาจจะเจรจากันได้ในที่สุด แต่ความไม่แน่นอนทำให้ระยะทางในการปรับขึ้นยังจำกัด
ราคาน้ำมันดิบทรงตัว...รอดูสถานการณ์กรีซและตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ โดยสัญญา WTI ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 20 เซนต์ ปิดที่ 52.33 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ ปิดที่ 56.85 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยนักลงทุนจับตาตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์สหรัฐที่จะออกมาในวันพฤหัสฯนี้ (สัปดาห์ก่อน +2.4 ล้านบาร์เรล เป็น 465.4 ล้านบาร์เรล ปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 9 สัปดาห์)
- ราคาทองคำดิ่งแรง โดยสัญญา COMEX ส่งมอบส.ค.ร่วงลง 20.6 ดอลลาร์ หรือ -1.76% ปิดที่ 1,152.60 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยกดดันคือ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
เงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ในทิศทางแข็งค่า ล่าสุดอยู่ที่ 1.0998 ดอลลาร์/ยูโร (อ่อนสุดใน YTD ที่ 1.1466 ดอลลาร์/ยูโรเมื่อ 15 พ.ค.58) เนื่องจาก (1) เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวช้า ส่วนหนึ่งมาจากปัญหากรีซที่ยืดเยื้อด้วย, (2) เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายใน 4Q58 นี้ หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจเดือนพ.ค.-มิ.ย.ออกมาดีขึ้น ขณะเดียวกัน GDP ประจำ 1Q58 สุดท้ายก็ติดลบน้อยลงเป็น -0.2% (จากประมาณการครั้งที่ 2 ที่ -0.7%) ซึ่งการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐกดดันราคาโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ, น้ำมัน ฯลฯ ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นก็มีบ้าง แต่ไม่รุนแรง เพราะในตลาดหุ้นมีบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับประโยชน์จากค่าเงินอ่อนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเข้ามาช่วยพยุงไว้
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
KTB : กรณีหนี้สหฟาร์มมีพัฒนาการที่ดีขึ้น เจ้าหนี้ลงมติรับแผนฟื้นฟูกิจการกลุ่มสหฟาร์มแล้วเมื่อ 25-26 พ.ค.58 โดยมี EY เป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งระบุว่าเจ้าหนี้ทุกรายจะได้รับการชำระหนี้เต็มจำนวน 100% ภายใน 7 ปี โดยในปี 57 ทาง KTB ได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อให้สหฟาร์ม 2.7 พันล้านบาท (700 ล้านบาทเพื่อจ่ายเงินเดือนพนักงาน และอีก 2 พันล้านบาทเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน) ซึ่งขณะนี้มีการเบิกใช้จริงราว 2.2 พันล้านบาท สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 58 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 7-8 พันล้านบาท และปีนี้จะมี EBITDA เป็นบวกราว 500 ล้านบาท
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ได้ปรับลดคาดการณ์กำไรปีนี้ของ KTB ลงอีก 8% โดยคาดว่า Credit Cost จะเพิ่มเป็น 0.96% ของสินเชื่อรวม (เดิม 0.82%) ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ได้ปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 58F ลงไปแล้ว 10% เมื่อวันที่ 23 เม.ย.58 ด้านสินเชื่อ ได้ปรับลดสมมติฐานของปี 58F ลงเป็นเติบโต 4% จากเดิม 8% ให้คำแนะนำเป็นถือ ราคาพื้นฐานใหม่อยู่ที่ 18.50 บาท โดยใช้ Gordon Growth Model (13% ROE, 7% growth, 12% cost of equity) ซึ่งเทียบเท่ากับ P/BV ปี 58F ที่ 1.04 เท่า
+ KCE เติบโตตามการขยายกำลังการผลิต และระยะสั้นได้รับประโยชน์จากบาทอ่อน ทั้งนี้บริษัทอยู่ในช่วงขยายกำลังการผลิตที่โรงงานแห่งใหม่ ทำให้รายได้จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% ในช่วงปี 57-60 และนอกจากรายได้จะเพิ่มขึ้นแล้ว อัตรากำไรก็จะดีขึ้นด้วย เพราะโรงงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยของทั้งบริษัทจะเพิ่มขึ้นจาก 28.9% เป็น 32-33% ได้เมื่อกำลังการผลิตใหม่เข้ามาเต็มที่แล้ว สำหรับแนวโน้มผลประกอบการ 2Q58 คาดว่าจะดีขึ้น YoY และ QoQ เพราะอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานใหม่เพิ่มขึ้นสู่ระดับคุ้มทุนแล้ว (ที่ราว 50-60%) จากที่ใช้กำลังการผลิตเพียง 30% ใน 1Q58 การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นบวกกับ KCE ด้วย เนื่องจากมีรายได้สุทธิในรูปเงินตราต่างประเทศ แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 60 บาท อิงกับ P/E ปี 58F ที่ 15 เท่า โดยเราคาดว่า EPS Growth ปี 58 จะยังไม่มาก เพราะอยู่ในช่วงที่เริ่มขยายการผลิตทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตไม่สูงมากแต่มีค่าเสื่อมราคาเข้ามาเต็ม แต่การเติบโตของกำไรในปี 59 จะแข็งแกร่งขึ้นเป็น 20% ทำให้ P/E ของราคาเป้าหมายที่ 60 บาทจะลดลงเป็นเพียง 12.5 เท่าในปีหน้า เราชอบ KCE ที่มีแผนหนุนการเติบโตต่อเนื่องในระยะ 3 ปีข้างน้า
/+ กระทรวงคมนาคมคาดว่าช่วงที่เหลือของปี 58 จะเปิดประมูลโครงการใหม่ไม่น้อยกว่า 4 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 2.84 แสนล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ด้วย โดยขณะนี้ให้ทาง AOT เร่งออกประกาศเชิญชวนผู้รับเหมาฯแล้ว...เราเชื่อว่าการเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่จะช่วยจุดพลุความเชื่อมั่นผู้ประกอบการและผู้บริโภค ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะขณะนี้ความเชื่อมั่นที่ต่ำทำให้การบริโภคและการลงทุนชะลอตัวมากกว่าคาด เรายังคงแนะนำให้ทยอยซื้อลงทุนหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง หุ้นเด่นเป็น CK, SCC เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]