- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 30 June 2015 17:13
- Hits: 5770
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ซื้อตามค่าบวก & SET เหนือ 1500 หรือซื้อจังหวะอ่อนแรง
Top Picks-Fund Jan-12 : Fundamental : CK, GL, KBANK, PLANB, TTCL Dark Horse: BJCHI, MCS
Top Picks -Fund Today: CENTEL
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : PTT 10%
Technical View ตลาดยังเป็น Sideways down แต่มีลุ้นเด้งสั้น
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1520,1530 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 1010,1020 หลุด 990
Top Picks-Tech Today : TCMC, RCI, CPN, UNIQ, BH, PLANB, APCS, CBG
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้ปรับลดลงน้อยกว่าภูมิภาค (ปิดตลาด -6.84 จุดที่ 1511.19) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติเหลือ Position ในตลาดไทยไม่มากแล้ว ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นกลุ่มที่ซื้อสุทธิสะสมมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยมียอดซื้อสะสม 1.7 แสนล้านบาท (ซื้อสุทธิมากใน 2 ปีครึ่งที่ผ่านมาโดยยอดสะสมตั้งแต่ม.ค.56-กลางมิ.ย.58 อยู่ที่ 2.1 แสนล้านบาท) และเมื่อวานนี้กลุ่มสถาบันในประเทศก็ซื้อสุทธิกลุ่มเดียวที่ 536 ล้านบาท ต่างชาติซื้อ/ขายใกล้เคียงกัน ด้านพอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิ
นักลงทุนในตลาดรอดูผลประชามติจากประชาชนกรีซวันที่ 5 มิ.ย.นี้ ว่ากรีซจะยอมรับข้อเสนอของกลุ่มเจ้าหนี้และยังอยู่ในยูโรโซนหรือไม่ ส่วนเรื่องการชำระคืนหนี้ IMF 1.5 พันล้านยูโรวันที่ 30 มิ.ย.นี้ก็ยังอยู่ในความพยายามเจรจาแม้ว่าจะเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็ตาม อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่กรีซจะผิดนัดชำระหนี้และออกจากยูโรโซนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ S&P ลดอันดับเครดิตกรีซลงเป็น CCC- (จาก CCC) และให้แนวโน้ม Negative สำหรับในประเทศ มีประเด็นเรื่องเศรษฐกิจที่ซบเซานานกว่าคาด ทำให้ความเสี่ยงเรื่อง NPL ของสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น คาดการณ์ว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์จะมีการลดเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อปีนี้ลง และตั้งสำรองค่าเผื่อฯเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มท่องเที่ยวยังไปได้ดี หลังจากควบคุมโรคเมอร์สได้ หุ้นเด่นในกลุ่มนี้เป็น AOT, CENTEL, MINT เป็นต้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวกเล็กๆ การซื้อใหม่เน้นค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี เพราะมีโอกาสต่ำกว่า 1500 อีกรอบ ซึ่งถ้าต่ำกว่าก็มีจุดเด้งต่อไปที่ 1480-1470 หรือต่ำกว่า แต่ถ้าไม่หลุดแล้วมีรีบาวด์ก็มีแนวต้านที่ 1520-1530 จุด
สำหรับการ SCAN หาหุ้นที่มีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ FANCY, TVO, CEI, TNPC ส่วนหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น RCI, CPN, SMT, CENTEL และหุ้นที่หลุด List ได้แก่ BJCHI, PTL, IFEC, SUPER, CGD, PSL, KKC
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- กรีซ : S&P ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซลงสู่ระดับ CCC- จากระดับ CCC และยังคงให้แนวโน้มเป็น Negative พร้อมระบุว่าความเป็นไปได้ที่กรีซจะออกจากกลุ่มยูโรโซนเพิ่มขึ้นเป็น 50%
- กรีซ : รอผลประชามติจากประชาชน 5 ก.ค.นี้ ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะยอมรับมาตรการรัดเข็มขัดที่เป็นเงื่อนไขสำคัญของกลุ่มเจ้าหนี้หรือไม่ ถ้ายอมรับนายกรัฐมนตรีกรีซก็จะลาออก ทั้งนี้กรีซได้ปิดบริการธนาคารพาณิชย์ถึงวันที่ 6 ก.ค.และจำกัดการถอนเงินผ่าน ATM ในช่วงที่ธนาคารปิดทำการไว้ที่ 60 ยูโร/วัน
- เยอรมนี : อัตราเงินเฟ้อมิ.ย.ยังต่ำมาก...มีคำถามว่า QE จะช่วยกระตุ้นได้จริงหรือไม่ โดย CPI ลดลง 0.2%MoM และบวกขึ้นเพียง 0.1%YoY ลดลงจากเดือนพ.ค.ที่เพิ่ม 0.7%YoY ส่วน Core CPI ลดลง 0.1%MoM แต่เพิ่ม 0.3%YoY นับว่าตัวเลขออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ จึงมีคำถามและความกังวลว่าการเข้าซื้อพันธบัตรตามโครงการ QE ของ ECB นั้นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเยอรมนีและยูโรโซนได้อย่างมีนัยสำคัญหรือไม่
+ สหรัฐ : ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending home sales) พ.ค. +0.9%MoM โดยเป็นการปรับขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และสูงสุดในรอบกว่า 9 ปี จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย.ที่จะออกมาในวันพฤหัสฯนี้
- ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งแรง...รับความเสี่ยงกรีซผิดนัดชำระหนี้ IMF 30 มิ.ย.นี้ โดยดัชนี DJIA -350.33 จุด หรือ -1.95% ดัชนี NASDAQ -122.04 จุด หรือ -2.40% ดัชนี S&P 500 -43.85 จุด หรือ -2.09%
- ราคาน้ำมันดิบร่วงลง...กังวลปัญหากรีซกระทบเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์น้ำมัน โดย WTI และ BRENT ลดลง 1.3 และ 1.25 ดอลลาร์ มาปิดที่ 58.33 และ 62.01 ดอลลาร์/ออนซ์
+ สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบส.ค.เพิ่มขึ้น 5.8 ดอลลาร์ หรือ +0.49% ปิดที่ระดับ 1,179 ดอลลาร์/ออนซ์ ...โดยนักลงทุนรอดูผลประชามติจากประชาชนกรีซวันที่ 5 มิ.ย.นี้ ว่ากรีซจะยอมรับข้อเสนอของกลุ่มเจ้าหนี้และยังอยู่ในยูโรโซนหรือไม่ ส่วนเรื่องการชำระคืนหนี้ IMF 1.5 พันล้านยูโรวันที่ 30 มิ.ย.นี้ ก็ยังอยู่ในความพยายามเจรจาแม้ว่าจะเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็ตาม
เมื่อวานนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐสวิงแรง โดยดัชนี ICE US Dollar Cash Index (DXYO) เคลื่อนในกรอบกว้าง 94.681-96.390 แต่เช้าวันนี้ทรงๆอยู่ที่ 95.08 รอ Update ข่าวกรีซกับเจ้าหนี้...ส่วนนี้สะท้อนให้เห็นว่ามีจังหวะ Panic ที่นักลงทุนเข้าไปซื้อดอลลาร์เพิ่มหลังมีข่าวกรีซตกลงกับเจ้าหนี้ไม่ได้ แต่กลายเป็นจังหวะ Take Profit ของกลุ่มที่มี Position อยู่แล้ว ซึ่งความผันผวนเช่นนี้จะเป็นอยู่ในช่วงที่มีความไม่แน่นอน
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
- กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : ปรับมุมมองเป็นลบมากขึ้น จากการเริ่มทำ Preview ผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เราเห็นความเสี่ยงที่ตัวเลข NPL และการตั้งสำรองค่าเผื่อฯของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยที่ซบเซาต่อเนื่องและยาวนานกว่าคาด ทำให้การประคับประคองลูกค้าที่มีปัญหาสภาพคล่องบางรายไม่สามารถทำต่อไปได้ ระดับ NPL ของธนาคารจึงจะเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ตามมาด้วยการตั้งสำรองค่าเผื่อฯที่สูงขึ้น ล่าสุดทาง KBANK ให้ Guidance การตั้งสำรองฯเพิ่มเป็น 1.50% ของสินเชื่อรวม (จากเดิมที่ 1.00%) และมองว่าระดับ NPL ratio ในสิ้นปี 58 จะเพิ่มเป็น 2.7-2.8% (จากเดิมที่ 2.2-2.3%) ด้าน NIM จะแคบลงจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการจ่ายชำระค่างวดของลูกค้าสินเชื่อไม่สม่ำเสมอ ประเมินว่าผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ไม่เติบโต (เดิมคาดว่าจะขยายตัวราว 6%)
โดยรวมในเชิงกลยุทธ์ เราลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ลงอีกระดับเป็น Slightly underweight จากเดิมที่เป็น Neutral (ปัจจุบันกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีสัดส่วน Market Cap 15% ในตลาดหุ้นไทย) อย่างไรก็ตาม การมีหุ้นธนาคารพาณิชย์ในพอร์ตการลงทุนไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องวิตกกังวลมาก เพราะเรายังเชื่อมั่นในความมั่นคงของธนาคารพาณิชย์ของไทย และกลุ่มธนาคารพร้อมที่จะกลับมาเติบโตเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว การเข้าซื้อใหม่/ซื้อเพิ่ม เน้นทยอยซื้อสะสมจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว
AOT : ธุรกิจฟื้นตัวและเติบโตแข็งแกร่ง บริษัทรายงานตัวเลข 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 58 (ต.ค.57 - พ.ค.58) ว่าปริมาณการจราจรผ่านทางอากาศยานทั้ง 6 แห่งของบริษัทเพิ่มขึ้น 12.4%YoY เป็น 4.71 แสนเที่ยวบิน (ในประเทศ +7.5%YoY และต่างประเทศ +18.2%YoY) ปริมาณผู้โดยสารเพิ่ม 19.6%YoY เป็น 72.16 ล้านคน (ผู้โดยสารในประเทศ +20.1%YoY และผู้โดยสารต่างชาติ +16.5%YoY) นับว่าเป็นการฟื้นตัวที่ดีและมีแนวโน้มว่าปริมาณการจราจรและปริมาณผู้โดยสารในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง คาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรหลัก (Core Profit) ก็สดใสทั้งในปี 58 และปี 59 ที่ 30% และ 18% เทียบ y-o-y ตามลำดับ
สำหรับโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 จะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณเดือนมี.ค.59 และใช้เวลาประมาณ 36 เดือนในการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 62.5 พันล้านบาท ซึ่งดูว่าเป็นการลงทุนที่สูง แต่จะช่วยรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอย่างมาก จากเดิมที่ 45 ล้านคน/ปี เป็น 80 ล้านคน/ปี แนะนำซื้อ AOT โดยให้ราคาพื้นฐาน 366 บาท (DCF, WACC 12%, terminal growth 3%)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]