- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 30 June 2015 16:49
- Hits: 2682
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-) ตลาดหุ้นต่างประเทศ : DJIA -350.33, NASDAQ -122.04, S&P -43.85, FTSE -133.22, CAC -189.35 และ DAX -409.23 ภายใต้ความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของกรีซ หลังรัฐบาลกรีซประกาศใช้มาตรการควบคุมเงินทุน พร้อมสั่งปิดธนาคารพาณิชย์และตลาดหุ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่าสถานะการเงินของกรีซอยู่ในขั้นวิกฤติ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่กรีซจะผิดนัดชำระหนี้ ประมาณ 1,600 ล้านยูโร ต่อ IMF ซึ่งครบกำหนดในวันนี้ (30/6/58) และมีโอกาสที่กรีซจะต้องออกจากกลุ่มยูโรโซน ขณะเดียวกัน S&P ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซลงสู่ระดับ CCC- จากระดับ CCC และยังคงให้แนวโน้มเป็นลบ พร้อมระบุความเป็นไปได้ที่กรีซจะต้องออกจากกลุ่มยูโรโซนั้น มีอยู่ถึง 50%
.....ขณะที่สหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) – พ.ค. เพิ่มขึ้น 0.9% อยู่ที่ 112.6 โดยปรับขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่า 9 ปี หรือนับแต่เม.ย.‘49 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณซึ่งแสดงถึงการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐฯ
.....ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน สค. -US$1.30 อยู่ที่ US$58.33 ต่อบาร์เรล ภายใต้ความกังวลสถานการณ์กรีซข้างต้น
......ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. +US$5.8 อยู่ที่ US$1,179.0 ต่อออนซ์ จากการเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังมีสัญญาณว่ากรีซอาจจะผิดนัดชำระหนี้ และยังได้รับปัจจัยหนุนจากเงินสหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง
(+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +8 ล้านบาท สะสมตั้งแต่ต้นปีสุทธิ -15,743 ล้านบาท (ปี’57 มียอดขายสุทธิสะสม 36,584 ล้านบาท)
ทิศทางตลาด
ทิศทางตลาด : ผันผวน? คาดมีโอกาสปรับขึ้น แม้ยังมีปัจจัยต่างประเทศกดดันแต่คาดตลาดสะท้อนไปบ้างแล้วในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่แนะติดตาม(1) สถานการณ์กรีซที่คาดเข้าสู่ช่วงวิกฤติ และส่งสัญญาณผิดนัดชำระหนี้ โดยล่าสุดกรีซระบุจะไม่ชำระหนี้ให้กับ IMF ตามกำหนดในวันนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่กรีซอาจต้องออกจากกลุ่มยูโร ซึ่งเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ของกรีซ เป็น IMF, EU และ ECB ทำให้คาดหลังจากนี้ผลกระทบอาจเป็นไปอย่างจำกัดต่อตลาดหุ้นไทย แต่คาดน่าจะส่งผลดีต่อ Fund Flow และ (2) ผลการลงประชามติในวันที่ 5/7/58 ว่าจะสนับสนุนมาตรการรัดเข็มขัดหรือไม่? ซึ่งเป็นเงื่อนไขของกลุ่มเจ้าหนี้ที่มีการเจรจาต่อรองมาโดยตลอดในช่วงก่อนหน้านี้
....ทางด้านปัจจัยในประเทศ ยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ คาด (+/-) จาก Fund Flow ภาพรวมยังมีความผันผวน แรงซื้อ / ขายสุทธิของต่างชาติสลับกันไป แต่ยังอยู่ในทิศทางเดียวกับภูมิภาคส่วนใหญ่ และยังแนะติดตาม Window Dressing – 2Q/58 ก่อนที่จะมีการปิดงบในวันนี้ (30/6/58)
....รวมถึงติดตาม (1) หุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น TOP, PTTGC, IRPC และ BCP ตามการเคลื่อนไหวของค่าการกลั่น ซึ่งช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 8 – 9 USD/bll (2) กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดยังคงได้รับประโยชน์จากโครงการภาครัฐ เช่น CK, ITD, SEAFCO และ UNIQ (3) ค่าเงินบาท ล่าสุดเคลื่อนไหวบริเวณ 33.77 – 33.79 คาดมีผลต่อกลุ่มส่งออก และหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น DELTA, HANA, SMT ตามค่าเงินบาท (+) หากเงินบาทอ่อนตัว และ (-) หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น (4) กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น SCC และ TASCO เป็นต้น
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.14 อยู่ที่ 2.33% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54) และดัชนีความเสี่ยง (VIX) +4.83 อยู่ที่ 18.85
หุ้นแนะนำ :
STEC : ราคาเป้าหมาย (ปี’58) 31.00 บาท
ในช่วง 1H/58 มีงานใหม่เพียง 4,222 ล้านบาท ซึ่งเข้ามาชดเชยรายได้ที่รับรู้ใน 1Q/58 ทำให้ STEC ยังสามารถรักษา Backlog ได้ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นปี’57 อยู่ที่ 47,857 ล้านบาท และคาดเพียงพอต่อการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 2 ปีข้างหน้า
ขณะที่ STEC ยังคงเป้าหมายงานใหม่เพิ่มในปี’58 ไว้ที่ 30,000 ล้านบาท โดย STEC มีแผนเข้าร่วมประมูลทุกโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งคาดมีความชัดเจนและทยอยเปิดประมูลตั้งแต่ 2H/58 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตามงานที่ STEC ได้รับเพิ่มหลังจากนี้คาดส่วนใหญ่จะสามารถรับรู้ได้ตั้งแต่ปี’59
คาดผลการดำเนินงานในปี’58 ลดลงจากปีทีผ่านมา คาดรายได้งานก่อสร้างเกือบทั้งหมดมาจาก Backlog เดิมที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และหลายๆ โครงการทยอยเสร็จลง คาดรายได้งานก่อสร้างอยู่ที่ 19,859 ล้านบาท และคาดกำไรสุทธิ 1,353 ล้านบาท
แต่ภายใต้จุดเด่นของ STEC ที่คาดยังมีความแข็งแกร่งทางการเงิน อยู่ในฐานะที่เป็น Net Cash คาดมีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน ทั้งอำนาจในการเจรจาต่อรองกับ Supplier
ประเมินราคาเป้าหมายปี’58 ที่ 31.00 บาท
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ 02-684-8788