- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 25 June 2015 16:49
- Hits: 1080
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ภาพรวมผลประกอบการ 2Q58 น่าจะอ่อนตัวลงจาก 1Q58 ขณะที่ความกังวลในเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สินในกรีซ ยังคงมีอยู่ สภาพแวดล้อมดังกล่าวน่าจะสร้างแรงกดดันต่อ SET Index ทำให้ Upside จำกัด ยังคงเลือก TASCO([email protected]) เป็น Top pick
ตลาดหุ้นโลก ผันผวนตามความหวังต่อข้อสรุปในกรีซ
ก่อนจะถึงการประชุมผู้นำของสหภาพยุโรปที่จะเริ่มขึ้นในวันพฤหัสฯ ที่จะถึงนี้ (ตามเวลาในยุโรป) วานนี้ กรีซยังคงมีการเจรจากับตัวแทนเจ้าหน้าหนี้ (IMF, ECB, EC) ที่กรุงบรัสเซลส์ แต่ดูเหมือนยังไม่มีข้อสรุปที่ลงตัว แม้ในวันจันทร์ที่ผ่านมา ดูเหมือนเจ้าหนี้จะพอใจกับแผนการปรับขึ้นภาษี เพื่อเพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายบางประเภทลง เช่น pension fund แต่หลังจากมีการพูดคุยกันในรายละเอียด วานนี้ดูเหมือนยังมีความเห็นที่แตกต่าง และยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ โดยเฉพาะด้านการจัดเก็บรายได้ เจ้าหนี้ต้องการให้จัดเก็บ 1% ของ GDP ขณะที่กรีซเสนอเพียง 0.74% และเจ้าหนี้ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของกรีซที่จะขึ้นภาษีบริษัท (corporate tax) เป็น 29% แต่เกินจากกรอบที่เจ้าหนี้ให้ไว้ที่ 28% (ไม่ยอมรับการเก็บภาษีบริษัท ที่จะจัดเก็บกับบริษัทที่มีกำไรเกิน 5 แสนยูโร 12%) ขณะเดียวกันเจ้าหนี้ต้องการให้กรีซ ยกเครื่องระบบการจ่าย Pension fund ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป แต่ในแผนของกรีซขอเลื่อนเป็นสิ้นเดือน ต.ค.
ขณะที่จีน หลังจากที่มีการรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตวันจันทร์ที่ผ่านมาที่ระดับ 49.6 แม้ว่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าเดือนก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 49.2 แต่ยังคงต่ำกว่า 50 ซึ่งสะท้อนถึงการหดตัวของภาคการผลิต โดยในช่วงที่ผ่านมาจีนได้ดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยได้มีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 3 ครั้ง (รวมลดลง 0.9% อยู่ที่ 5.1%) และการลดอัตราเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ หรือ Required Reserve Ratio (RRR) ลง 2 ครั้ง (รวมลดลง 1.5% มาอยู่ที่ 18.5%) รวมถึงการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ สามารถใช้ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลท้องถิ่น มาใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอเงินกู้จากธนาคารกลางได้ พร้อมกับการอัดฉีดเงินเข้าระบบเป็นบางครั้งเมื่อเกิดการตึงตัวของเงินในระบบ ล่าสุดนี้คณะรัฐมนตรีจีนได้มีความเห็นให้ยกเลิกข้อกำหนดสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (Loan to Deposit) ที่จากเดิมกำหนดไว้ที่ 75% โดยมองว่าจะช่วยให้ธนาคารพานิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคเกษตรและธุรกิจขนาดเล็ก (คาดว่าจะทำให้ 16 ธนาคารพานิชย์ในจีน ปล่อยเงินสินเชื่อได้เพิ่มอีก 6.6 ล้านล้านหยวน หรือ 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งนี้มองว่าจีนน่าจะมีการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลังนี้เพื่อรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้เป็นตามเป้าหมายที่เติบโต 7% yoy
คาดกำไรงวด 2Q58 อ่อนตัวจากงวด 1Q58 (ต่อจากวานนี้)
ดังที่กล่าวแล้ววานนี้ว่ากำไรตลาดในงวด 2Q58 น่าจะมีแนวโน้มอ่อนตัวจากงวด 1Q58 ซึ่งทำได้ 2.25 แสนล้านบาท (กำไรตลาดปี 2558 หลังปรับลดประมาณลงจะอยู่ที่ 8.88 แสนล้านบาท) เนื่องจากผลประกอบการหลายกลุ่มที่ลดลงตามผลของฤดูกาล คือ นาคารพาณิชย์ ลิสซิ่ง/เช่าซื้อ สื่อสาร (ICT) ขนส่ง และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น ตรงกันข้ามหุ้นที่คาดว่าจะกำไรจะดีขึ้นจากงวดที่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่อิงเศรษฐกิจภายนอกได้แก่ หุ้นส่งออก คือ เกษตรและอาหาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี ปิโตรเลี่ยม และพลังงาน ส่วนหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศที่มีแนวโน้มดีขึ้นในงวดนี้ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ (เนื่องจากมีความคืบหน้าการโอนบ้านทำให้สามารถรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น แม้โดยรวมจะมียอด presale ลดลง) วัสดุก่อสร้าง (เพียงบางบริษัท เช่น TASCO, VNG) และบันเทิง เนื่องจากเป็นผลของฤดูกาล เป็นต้น โดยกลุ่มที่เหลือกำไรจะทรงตัวเมื่อเทียบกับงวดก่อนหน้า รายละเอียดดังปรากฏในย่อหน้าถัดไป
กลุ่มที่แนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 2Q58 อ่อนตัวลง
ขนส่งทางอากาศ ผลประกอบการงวด 2Q58 คาดอ่อนตัวลงจาก 1Q58 หลังจากเริ่มเข้าสู่ช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวไทย เห็นได้จากสัญญาณผู้ใช้บริการสนามบินและสายการบินชะลอตัวลง ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นปัจจัยกดดันผู้ประกอบการทุกรายมากน้อยต่างกันไป (บริษัททีได้รับผลกระทบน้อยสุด 2 อันดับแรก คือ BA และ AAV ยกเว้น AOT ไม่ได้รับผลกระทบ) ด้านราคาน้ำมันทรงตัวระดับต่ำระยะสั้นคาดว่าจะหนุนกลุ่มสายการบินได้ประโยชน์จากต้นทุนน้ำมันต่อเนื่อง แต่อาจจะพลิกกลับเป็นปัจจัยกดดันในปีหน้าเนื่องจากทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในระยะถัดไป โดยฝ่ายวิจัยเลือก AAV (FV@B6) เป็น Top Pick เพราะมี Upside สูงสุดในกลุ่ม และราคาหุ้นที่ผ่านมาปรับตัวลงมากสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว
สื่อสาร คาดผลประกอบการงวด 2Q58 อาจเห็นการอ่อนตัวจาก 1Q58 เพราะเป็นช่วงฤดูกาลของกลุ่มฯ แต่เชื่อว่าภาพรวมกำไรจะฟื้นตัวขึ้นได้ในครึ่งหลังของปี เริ่มจาก 3Q58 ที่คาดธุรกิจส่วนใหญ่ในกลุ่มจะได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว ส่วนงวด 4Q58 คาดกำไรกลุ่มขึ้นทำระดับสูงสุดของกลุ่ม หลักๆ มาจากผลประกอบการ ADVANC (สัดส่วนกำไรสูงสุดในกลุ่ม) ที่จะรับประโยชน์ต้นทุนค่าตัดจำหน่ายอุปกรณ์ 2G ที่จะหยุดรับรู้เป็นไตรมาสแรก หนุนให้กำไรปกติกลุ่มในปีนี้คาดเพิ่มขึ้นราว 22% ฝ่ายวิจัยเลือก THCOM (FV@B51) เป็น Top Pick จากจุดเด่นกำไรช่วงที่เหลือปีเติบโตเป็นขั้นบันได และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนชัดเจนตลอดปี หนุนคาดกำไรทั้งปีนี้เติบโตสูงสุดในกลุ่มที่ 30% และยังชอบ ADVANC (FV@B285) รวมถึง INTUCH(FV@B113)
ธนาคารพาณิชย์ คาดกำไรสุทธิงวด 2Q58 อ่อนตัวลงจากงวด 1Q58 ด้วยแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ เพื่อรองรับ NPL ที่ยังเห็นการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจยังผันผวน อีกทั้งยังเห็นแนวโน้มการลดลงของ NIM ในงวด 2Q58 เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-ฝากลง 2 รอบ โดยเฉลี่ย 0.20-0.25% สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ที่ผ่านมา ก่อนที่กำไรกลุ่มฯ น่าจะขึ้นทำจุดสูงสุดในงวด 3Q58 จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง 2 รอบที่ผ่านมาจะเริ่มเห็นผลบวกเต็มที่ในงวด 3Q58 ขณะที่การเติบโตของสินเชื่อสุทธิจะยิ่งเร่งตัวมากขึ้นในช่วง 2H58 เมื่อเข้าช่วงฤดูกาล และหดตัวลงในงวด 4Q58 จากค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล เลือก KBANK (FV@B270) และ BBL (FV@B209) เป็น Top Picks
เช่าซื้อ คาดผลการดำเนินงานงวด 2Q58 จะอ่อนตัวลงจากงวด 1Q58 เนื่องจากเข้าสู่ช่วง low season ของการปล่อยสินเชื่อ ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวล่าช้า ราคาสินค้าเกษตรหลักๆ ยังตกต่ำ และภาระหนี้สินครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงมาโดยต่อเนื่อง แต่คาดว่าจะเป็นไปในทิศทางบวกมากขึ้นในช่วง 2H58 ตามความคาดหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วง 4Q58 ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลจับจ่ายใช้สอยในปลายปี ฝ่ายวิจัยเลือก ASK([email protected]) และ THANI([email protected]) เป็น Top picks ของกลุ่มเช่าซื้อเนื่องจากราคาหุ้นยัง laggard กลุ่มฯ สวนทางกับแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานที่โดดเด่นขึ้นในช่วง2H58 และต่อเนื่องไปยังปี 2559 รวมถึง valuation ที่ยังถูกมาก มี upside และ dividend yield ที่สูงจูงใจ
ยานยนต์ คาดผลการดำเนินงานของกลุ่มฯ งวด 2Q58 มีแนวโน้มอ่อนตัวจากยอดขายที่ลดลงตามการผลิตรถยนต์ และ Gross Margin ลดลง ซึ่งคาดช่วง 2Q58 เป็นจุดต่ำสุดของปี ก่อนฟื้นตัวโดดเด่นทั้งยอดขายและกำไรในช่วง 2H58 สอดคล้องกับภาคการผลิตรถยนต์และปริมาณออเดอร์ชิ้นส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ที่เข้ามามากขึ้น ฝ่ายวิจัยเลือก SAT (FV@B22) เป็น Top pick
กลุ่มที่แนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 2Q58 เติบโตขึ้น
เกษตร-อาหาร คาดงวด 2Q58 เติบโตจาก 1Q58 ผลจากการย่างเข้าสู่ฤดูกาลส่งออกอาหาร และราคาผลิตภัณฑ์สัตว์บก เริ่มทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไก่สดแช่แข็ง ขณะที่ธุรกิจสัตว์น้ำนำโดยธุรกิจกุ้งเริ่มฟื้นตัวจากความสามารถในการควบคุมโรคตายด่วน (EMS) ดีขึ้นจากปีก่อนหน้า แต่ยังคงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวกว่าจะกลับสู่ภาวะปกติ นอกจากนี้ ยังได้ผลบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งจากการศึกษาของฝ่ายวิจัยพบว่า ทุก 1 บาทของค่าเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าจากสมมติฐานปัจจุบันที่ 33 บาท จะส่งผลบวกต่อแนวโน้มกำไรสุทธิของกลุ่มเกษตร-อาหาร ในปี 2558 ให้เพิ่มขึ้น 4.5% จากเดิม ฝ่ายวิจัยเลือก CPF (FV@B28) และ TUF (FV@B26) เป็น top picks
เดินเรือ เฉพาะเรือคอนเทนเนอร์ มีแนวโน้มฟื้นตัวโดดเด่น เนื่องจากในงวด 2Q58 เป็นช่วงฤดูกาลของการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคหนุนให้ปริมาณการขนส่งมีแนวโน้มสูงสุดในรอบปี บวกกับต้นทุนการขนส่งที่ยังคงทรงตัวในระดับต่ำใกล้เคียงงวด 1Q58 ฝ่ายวิจัยเลือก RCL ([email protected]) เป็น Top Pick จากประเด็นบวกดังกล่าว รวมทั้งความยืดหยุ่นในการบริหารกองเรือ คาด RCL น่าจะสามารถสร้างกำไรปกติงวด 2Q58 ให้เติบโตจากงวดก่อนหน้าต่อได้ พร้อมกับทำจุดสูงสุดของปีนี้
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดกำไรปกติงวด 2Q58 ของกลุ่มฯ เติบโตจากการเข้าสู่ช่วง high season ของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนฯ หนุนคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้น และจะขึ้นทำระดับสูงสุดของปีในงวด 3Q58 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลส่งออกของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนฯ ทั่วโลกอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะกลับมาอ่อนตัวอีกครั้งในงวด 4Q58 ภายหลังพ้นช่วงฤดูกาลส่งออกไปแล้ว ซึ่งเป็นวงจรปกติของอุตสาหกรรมฯ ฝ่ายวิจัยเลือก HANA (FV@B48) เป็น Top pick
บันเทิง คาดผลการดำเนินงานงวด 2Q58 เติบโตจากจากธุรกิจโฆษณา ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาล ก่อนที่จะกลับมาอ่อนตัวในงวด 3Q58 เพราะเป็นช่วงนอกฤดูกาล และจะกลับมาเติบโตทั้ง qoq และ yoy อีกครั้งในงวด 4Q58 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลที่มีการโหมโฆษณาเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงสิ้นปี โดยรวมคาดเม็ดเงินโฆษณาปีนี้เติบโต 3-4% โดยสื่อทีวีจะเป็นกลุ่มที่เติบโตโดดเด่นสุดในช่องที่มีเรตติ้งสูงคือ BEC WORK และ RS ส่วนแนวโน้มงวด 2H58 ผลประกอบการน่าจะดีกว่า 1H58 แต่ปัจจัยเสี่ยงคือปัญหาการเมือง โดยหากมีความรุนแรงหรือการประท้วง สื่อทีวีมักจะถูกรัฐบาลขอความร่วมมือในการออกอากาศสื่อสารกับประชาชนบ่อยครั้ง ทำให้รายได้จากค่าโฆษณาหายไปในช่วงเวลาดังกล่าว ฝ่ายวิจัยเลือก WORK (FV@B45) เป็น Top Pick เนื่องจากมีเรตติ้งที่สูงขึ้นโดดเด่นสุด จึงเชื่อว่าจะสามารถปรับเพิ่มอัตราค่าโฆษณาในระดับสูงต่อเนื่อง หนุนกำไรมีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีนี้
ปิโตรเคมีและโรงกลั่น คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานปกติกลุ่มฯงวด 2Q58 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวด 1Q58 โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจปิโตรเคมีเป็นหลัก ทั้งโอเลฟินส์ อะโรเมติกส์ และ PET โดยเฉพาะกลุ่มโอเลฟินส์ ที่ Spread ผลิตภัณฑ์กลับมายืนในระดับ 800 เหรียญฯต่อตันอีกครั้ง ขณะที่ Spread กลุ่มอะโรเมติกส์ คาดจะดีในช่วงสั้นในงวด 2Q58 เพราะ Supply ในภูมิภาคมีแนวโน้มจะลดลงเพียงชั่วคราว ในส่วนของธุรกิจโรงกลั่นต้องคาดหวังกำไรที่เติบโตจากการบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมันของธุรกิจโรงกลั่น เพราะหากพิจารณาในส่วนของค่าการกลั่นนั้น พบว่าผ่านจุดพีคของปีตามช่วงฤดูกาลไปแล้วในงวด 1Q58 จากนี้ไปในช่วงที่เหลือของปีจะทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยเลือก IRPC([email protected]) เป็น Top pick เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์(สัดส่วนกำลังการผลิต 35%)
ปิโตรเลียมและถ่านหิน คาดแนวโน้มกำไรกลุ่มฯงวด 2Q58 น่าจะเห็นการปรับตัวสูงขึ้นจากงวด 1Q58 ตามภาพรวมราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งสถานการณ์ Oversupply เริ่มทยอยปรับตัวลดลง และคาดจะเห็นแนวโน้มราคาที่ทยอยฟื้นตัวได้ในช่วง 2H58 เมื่อเทียบกับในช่วง 1H58 นำโดย PTT ที่ธุรกิจปิโตรเคมี และธุรกิจโรงแยกก๊าซฯจะกลับมาช่วยประคองกำไรให้ทรงตัวในระดับสูงใกล้เคียงกับงวดที่ผ่านมา ตรงข้ามกับ PTTEP ที่คาดกำไรงวด 2Q58 จะปรับตัวลดลงจากงวด 1Q58 ตามราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลงราว 10%qoq ขณะที่แนวโน้มกำไรกลุ่มในช่วง 2H58 จะยังคงเห็นการเติบโตต่อเนื่องจากงวด 1H58 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่คาดจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อราคาขายน้ำมันดิบของ PTTEP อีกทั้งในส่วนของ PTT คาดจะได้รับอานิสงค์จากกลุ่มโรงกลั่นที่จะกลับมาบันทึกเป็นกำไรจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยเลือก PTT (FV@B394) เป็น Top Pick ของกลุ่มฯ จากการฟื้นตัวของกำไรปี 2558 อย่างมีนัยฯหลังจากปรับโครงสร้างราคาพลังงาน
พัฒนาที่อยู่อาศัย คาดแนวโน้มกำไรงวด 2Q58 จะเติบโตขึ้นจากงวด 1Q58 ที่ฐานกำไรเป็นจุดต่ำสุดของปี จากยอด Backlog ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคอนโดฯ ที่คาดว่าจะสร้างเสร็จพร้อมโอนได้มากสุดใน 2Q58 และ 4Q58 มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท/ไตรมาส บวกกับการบันทึกรายได้จากโครงการแนวราบอีกราว 6 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ฐานกำไร 2Q58 ฟื้นตัวขึ้นจาก 1Q58 อย่างมีนัยสำคัญส่วนแนวโน้มผลประกอบการ 2H58 คาดจะสูงเป็นปกติในงวด 4Q58 เนื่องจากเป็นช่วงที่มีโครงการคอนโดฯ ใหม่ที่ก่อสร้างและพร้อมโอนฯ เข้ามาจำนวนมาก ประกอบกับทิศทางดอกเบี้ยขาลง ทำให้ Backlog มีคุณภาพขึ้น ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มฯปี 2558 เติบโตประมาณ 5.4% yoy เลือก SPALI ([email protected]), PS ([email protected]) และ QH ([email protected]) เป็น Top Pick
วัสดุก่อสร้าง แนวโน้มธุรกิจวัสดุก่อสร้างมีการเติบโตที่ดีขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆฟื้นตัว และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณจากภาครัฐ เช่นเดียวกับการลงทุนจากภาคเอกชนที่เริ่มเห็นเม็ดเงินลงทุนมากขึ้นตามการอนุมัติหลายโครงการ ขณะที่ต้นทุนพลังงานและต้นทุนขนส่งที่ลดลงส่งผลดีต่อผู้ประกอบการโดยเฉพธุรกิจปูนซีเมนต์และกระเบื้อง เช่นเดียวกับสินค้าไม้บอร์ด และยางมะตอย ยังมีอนาคตที่สดใสจาก Demand ที่เพิ่มขึ้นในช่วง High Season เลือก TASCO ([email protected]) เป็น Top Pick
กลุ่มที่แนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 2Q58 ทรงตัว
ค้าปลีก-ค้าส่ง คาดยอดขายงวด 2Q58 ทั้งยอดขายสาขาเดิม และสาขาใหม่ ยังทรงตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวล่าช้า ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์บริหารและจัดการต้นทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรชดเชยยอดขายที่ชะลอตัว คาดว่า อัตราการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ และหนุนให้แนวโน้มกำไรทั้งปียังเติบโตสูงขึ้นราว 23% ฝ่ายวิจัยเลือก CPALL (FV@B53) และ ROBINS (FV@64) เป็น Top Picks
ประกันภัย แนวโน้มธุรกิจหลักในงวด 2Q58 คาดว่ายังเป็นไปในทิศทางที่ใกล้เคียงกับงวด 1Q58 ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวล่าช้า อีกทั้งยังไม่เข้าสู่ช่วงฤดูกาล ทำให้เบี้ยประกันภัยรับรวมยังเติบโตแผ่วตัวในกลุ่มประกันวินาศภัย ขณะที่กลุ่มประกันสุขภาพและประกันชีวิตยังเติบโตได้ แต่คาดว่าการเติบโตจะเติบโตขึ้นในช่วง 2H58 เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูกาลของอุตสาหกรรม ฝ่ายวิจัยเลือก BKI (FV@B459) และ BLA ([email protected]) เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มฯ จากพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมที่จะกลับมาเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น หากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวเป็นปกติ และยังมีupside ที่ดีให้เข้าลงทุน
ต่างชาติกลับซื้อสุทธิในภูมิภาค แต่เป็นวันที่ 2 ของเดือนนี้
วานนี้นักลงทุนต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นภูมิภาคอีกครั้งราว 132 ล้านเหรียญ ซึ่งถือเป็นการซื้อสุทธิวันที่ 2 นับตั้งแต่ต้นเดือนมิ.ย. โดยวานนี้พบว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2 ประเทศ คือ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิราว 1 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องวันที่ 3) และตลาดหุ้นอินโดนีเซียถูกขายสุทธิราว 6 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องวันที่ 3) ส่วนที่เหลืออีก 3 ประเทศนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิคือ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิราว 84 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 6 วัน) และตลาดหุ้นไต้หวันถูกซื้อสุทธิราว 24 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิได้เพียงวันเดียว) ส่วนตลาดหุ้นไทยนักลงทุนต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ 30 ล้านเหรียญ หรือ 1,027 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิได้เพียงวันเดียว) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 1,077 ล้านบาท
ทางด้านตราสารหนี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1,604 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ 1,086 ล้านบาท ล่าสุดค่าเงินบาทอยู่ที่ 33.79 บาท/ดอลลาร์
นักวิเคราะห์ : ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647