- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 20 June 2014 15:53
- Hits: 3124
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ซื้อ/ถือค่าบวก...อ่อนตัวมีแนวรับ 1440-1430”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : LH (จากถือเป็นซื้อ)
• ภาพตลาดวันก่อน : SET Index เมื่อวานนี้มีรีบาวด์ 10.55 จุดมาปิดที่ 1461.91 มูลค่าซื้อขาย 4 หมื่นกว่าล้านบาท ปัจจัยหนุน คือ Sentiment ของหุ้นต่างประเทศที่ดีขึ้นหลังเฟดส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นประวัติการณ์ต่อ และปรับลด QE3 อีก 1 หมื่นล้านUS$ ตามคาด ส่วนในประเทศมีปัจจัยกระตุ้นจากบอร์ด BOI อนุมัติโครงการฯมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาทในการประชุมนัดแรก 18 มิ.ย.57 โดย 75% ของเงินลงทุนหรือราว 9.4 หมื่นล้านบาทอยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยายนต์ & ชิ้นส่วน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3.8 พันล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 3.5 พันล้านบาท
• ปัจจัยและกลยุทธ์ : สถานการณ์ในอิรักที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนในที่สุดสหรัฐต้องประกาศส่งเจ้าหน้าที่ทหารไปประจำการในอิรัก ขณะที่บริษัทน้ำมันอพยพพนักงานและคนงานออกจากพื้นที่หลังกลุ่มกบฎหัวรุนแรงโจมตีโรงกลั่นขนาดใหญ่และกำลังขยายพื้นที่ยึดครองในแบกแดด นักลงทุนเริ่มชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แล้วเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ & เก็งกำไรสัญญาน้ำมันดิบมากขึ้น (สัญญาทองคำ COMEX พุ่งขึ้นถึง3.25% เมื่อคืนนี้) หลักทรัพย์ที่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นในช่วงนี้และแนะนำซื้อเก็งกำไร คือ PTTEP ส่วนในประเทศ ยังเป็นการติดตามความคืบหน้าของแผนกระตุ้นและปฏิรูปประเทศของคสช.ต่อ ซึ่งคาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น และวานนี้บอร์ด BOI คาดว่าจะพิจารณาโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุนที่คงค้างอีกราว 6 แสนล้านบาทภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นบวกกับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนต่อ (ดูรายละเอียดของกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นแนะนำได้ในข่าวเช้าของวันที่ 19 มิ.ย.57) ส่วนวันนี้เราได้สรุปผลกระทบและคำแนะนำหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการปฎิรูปรัฐวิสาหกิจ โดย
#แนะนำให้ Switch จาก PTT, PTTGC, TOP, IRPC, BCP ซึ่งมีความเสี่ยงว่าจะได้รับผลกระทบจากการปฏิรูปโครงสร้างพลังงานไปลงทุนใน SCC ก่อน
#แนะนำถือ/ซื้อเก็งกำไร PTTEP #แนะนำถือรับปันผล RATCH, EGCO, MCOT #แนะนำขาย THAI #แนะนำซื้อลงทุน AOT, KTB (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ข้างใน Report วันนี้) กลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก (ค่าลบควรหยุดรอหรือขายโดยเฉพาะพอร์ตที่มีเงินสดเหลืออยู่น้อย)การอ่อนตัวต่อมีแนวเด้ง 1440, 1430 จุด ส่วนการรีบาวด์มีแนวต้านระยะสั้น 1460, 1470 จุด หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อลงทุนระยะยาววันนี้เป็น KTB
Fundamental Pick
KTB แนะนำซื้อปิด 20.90 บาท ราคาพื้นฐาน 30 บาท
• ฝ่ายวิจัยฯ ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 58 ของ KTB ขึ้น 3% ทำให้การเติบโตของกำไรเป็น 14% จากเดิม 11% โดยคาดการณ์ว่าสินเชื่อปีหน้าจะขยายตัวได้ 12% ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนที่ดีขึ้นของ Corporate และ SME รวมถึงโครงการภาครัฐด้วย (ธนาคารมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อภาครัฐ 8% ของสินเชื่อทั้งหมดใน 1Q57 ซึ่งลดลงจากช่วงก่อนที่ 15% และมีโอกาสที่สัดส่วนจะทยอยเพิ่มขึ้นเมื่อโครงการภาครัฐเดินหน้าได้ หลังจากสะดุดไปในช่วง 5-6เดือนก่อน) คาดรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตแข็งแกร่ง ทั้งนี้ธนาคารมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยให้เป็น 20% จาก 16% ซึ่งเราคาดว่ามีความเป็นไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเศรษฐกิจเติบโตดีขึ้น ผนวกกับโครงการ KTB Transformation program ที่กระตุ้นให้มีธุรกิจCross-selling ในกลุ่มลูกค้า SME มากขึ้น เข้ามาช่วยหนุนรายได้ค่าธรรมเนียมนปี 58 ด้วย
• แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายเป็น 30 บาท เทียบเท่ากับ P/BV ปี 58 ที่ 1.7 เท่า ปัจจัยที่เป็นCatalyst คือ การฟื้นตัวของการลงทุนภาครัฐ และการเติบโตที่สูงของรายได้ค่าธรรมเนียม
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนพ.ค.-มิ.ย.ออกมาดีขึ้น บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้จากไตรมาส 1/57 ที่ถูกกระทบจากสภาพอากาศหนาวรุนแรง
+ คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนพ.ค.ของสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.5%ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเวลา 4 เดือน และเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจขยายตัวเร็วขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า หลังจากสภาพอากาศหนาวรุนแรงได้ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวในไตรมาสแรกของปีนี้
+ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 มิ.ย. ลดลง 6,000ราย สู่ระดับ 312,000 ราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวปรับตัวลงสู่ระดับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 313,000 ราย สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานสหรัฐปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
+ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยว่า ดัชนีแนวโน้มธุรกิจในภาคการผลิตของเขตมิด-แอตแลนติก ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 17.8 ในเดือนมิ.ย. จากระดับของเดือนพ.ค.ที่15.4
- อิรัก : สถานการณ์รุนแรงขึ้น สหรัฐประกาศว่าจะส่งเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปประจำการในอิรักแล้ว
- ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประกาศว่าจะส่งที่เจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาทางทหาร 300 คนเข้าไปในอิรัก หลังจากกลุ่มหัวรุนแรงนิกายสุหนี่ได้โจมตีโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไบจิ จังหวัดซาลาฮูดินของอิรัก ส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง
- บริษัทเอ็กซอน โมบิล และบีพี ได้เริ่มย้ายพนักงานออกจากอิรัก เมื่อกลุ่มกบฏหัวรุนแรงจากกลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรักและเลแวนท์ (ISIL) ได้ยึดอำนาจเมืองทางตอนเหนือของกรุงแบกแดกของอิรัก และปัจจุบันความขัดแย้งได้ขยายไปยังตอนใต้ของประเทศแล้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ EIAประเมินว่าเป็นฐานการผลิตน้ำมัน 3 ใน 4 ของอิรัก
• ตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ในกรอบแคบ
• ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,921.46 จุด เพิ่มขึ้น 14.84 จุด หรือ +0.09% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,359.33 จุด ลดลง 3.51 จุด หรือ -0.08% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,959.48 จุดเพิ่มขึ้น 2.50 จุด หรือ +0.13% ปัจจัยหนุน คือ การคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปของคณะกรรมการFOMC ในการประชุมเมื่อ 17-18 มิ.ย.ที่ผ่านมา และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในเดือนพ.ค.-มิ.ย.57ออกมาดีขึ้น แต่นักลงทุนวิตกกังวลกับสถานการณ์ในอิรักที่ทวีความรุนแรง ทำให้บางกลุ่มโยกย้ายเงินเข้าไปลงทุนในทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงกว่า
+ สัญญาน้ำมันดิบปรับขึ้น ตอบรับข่าวการโจมตีโรงกลั่นในอิรัก
+ สถานการณ์ในอิรักทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งหนุนราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น โดยสัญญาน้ำมันดิบWTI ส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 46 เซนต์ ปิดที่ 106.43 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 80 เซนต์ ปิดที่ 115.06 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยเป็นผลจากสถานการณ์ในอิรักที่รุนแรงขึ้น ทั้งนี้อิรักเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ2 ในกลุ่มโอเปค รองจากซาอุดิอาระเบีย โดยสำนักงานสารนิเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ(EIA) ระบุว่า อิรักสามารถผลิตน้ำมันได้สูงถึง 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นประมาณ 3% ของปริมาณการบริโภคน้ำมันดิบของโลก
+ ราคาทองคำ COMEX พุ่งขึ้นแรงมาก 3.25% เพราะมีข่าวว่าสหรัฐจะส่งทหารเข้าไปประจำการในอิรัก
+ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 41.4ดอลลาร์ หรือ 3.25% ปิดที่ 1,314.1 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยหนุนหลัก คือ สถานการณ์ในอิรักโดย CNN รายงานว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐวางแผนที่จะส่งกองกำลังชุดพิเศษเข้าไปประจำการในอิรัก หลังกลุ่มหัวรุนแรงนิกายสุหนี่ได้โจมตีโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไบจิจังหวัดซาลาฮูดินของอิรัก ส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง
ปัจจัยในประเทศและหลักทรัพย์
• ประธานบอร์ดรัฐวิสาหกิจทยอยลาออก
...คสช.เดินหน้าปฏิรูปองค์กร หุ้นที่เกี่ยวข้องมีคำแนะนำการลงทุน ดังนี้
แนะนำให้ Switch จาก PTT, PTTGC, TOP,IRPC, BCP ไป SCC ก่อน
แนะนำถือ/ซื้อเก็งกำไร PTTEP
แนะนำถือรับปันผล RATCH, EGCO, MCOT
แนะนำขาย THAI
แนะนำซื้อลงทุน AOT, KTB
• ประธานบอร์ดรัฐวิสาหกิจทยอยลาออก หลังคสช.เดินหน้าแผนปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งบริษัทในตลาดฯที่เกี่ยวข้องจะเป็น PTT, PTTGC, IRPC, BCP, EGCO, RATCH, THAI, KTB, MCOT,AOT เป็นดังนี้
บริษัทจดทะเบียนที่ถือหุ้นโดยหน่วยงานรัฐ
บริษัท สัดส่วนถือหุ้นจากหน่วยงานรัฐ
PTT กระทรวงการคลังถือโดยตรง 51.11%
PTTGC กระทรวงการคลังถือโดยอ้อม 24.98% (ผ่านที่ PTT ถือ 48.89%)
PTTEP กระทรวงการคลังถือโดยอ้อม 33.37% (ผ่านที่ PTT ถือ 65.29%), สำนักงานประกันสังคมถือ 0.8%
TOP กระทรวงการคลังถือโดยอ้อม 25.09% (ผ่านที่ PTT ถือ 49.10%), สำนักงานประกันสังคมถือ 0.55%
IRPC กระทรวงการคลังถือโดยอ้อม 19.68% (ผ่านที่ PTT ถือ 38.51%), ธนาคารออม สินถือ 9.54%, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการถือ 5.79%
BCP กระทรวงการคลังถือโดยตรง 9.98%, กระทรวงการคลังถือโดยอ้อม 13.91%(ผ่านที่ PTT ถือ 27.22%)
EGCO การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) ถือ 25.41%
RATCH การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) ถือ 45.00%, สำนักงานประกันสังคมถือ 4.02%
THAI กระทรวงการคลังถือโดยตรง 51.03%, ธนาคารออมสินถือ 2.13%
KTB กองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) ถือ 55.07%, ธนาคารออมสินถือ 0.79%
MCOT กระทรวงการคลังถือโดยตรง 65.80%, ธนาคารออมสินถือ 11.48%, สำนักงานประกันสังคมถือ 0.7%
AOT กระทรวงการคลังถือโดยตรง 70.00%, สำนักงานประกันสังคมถือ 1.18%,กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการถือ 0.68%
ที่มา : SET, DBS Vickers
ประเมินผลกระทบจากการปฏิรูปต่อบริษัทจดทะเบียนที่หน่วยงานรัฐถือหุ้น
# PTT : อาจถูกให้ปรับลดค่าการตลาดของน้ำมันค้าปลีกลง ซึ่งส่วนนี้อาจทำให้ EBITDAลดลงไปประมาณ 4% ระยะสั้นแนะนำให้ Switch ไปยัง SCC ราคาพื้นฐาน 480 บาท
# PTTGC : ประเด็นหลักที่จะกระทบคือ การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG เนื่องจากบริษัทใช้ก๊าซ LPG เป็นวัตถุดิบในการผลิตประมาณ 20% ซึ่งหากปรับราคา LPG ที่บริษัทต้องซื้อเท่ากับราคาตลาด จะทำให้กำไรสุทธิ PTTGC ลดลง 14% แต่เชื่อว่าถ้ามีการปรับในส่วนนี้จริง จะเป็นการทยอยดำเนินงานในระยะ 3-5 ปี ระยะสั้นแนะนำให้ Switch ไปยัง SCC ราคาพื้นฐาน 480บาท
# BCP, IRPC, TOP : จะถูกกระทบถ้ามีการปรับในส่วน Import Parity Price (ส่วนประกอบหลักคือ อัตราค่าขนส่ง และค่าปรับคุณภาพน้ำมัน) ซึ่งปัจจุบันโรงกลั่นกำหนดราคาขายน้ำมันหน้าโรงกลั่นโดยบวก Import Parity เข้าไปด้วยเพื่อให้ราคาสอดคล้องกับในต่างประเทศ แต่ถ้าลดหรือตัดออกก็จะทำให้ราคาขายลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าการยกเลิก Import Parity Priceจะเกิดขึ้นยาก เพราะมีโรงกลั่นอีก 2 แห่งที่ไม่ได้เป็นของรัฐ คือ ESSO และ SPRC ซึ่งมีกำลังการผลิตประมาณ 20% ของกำลังการผลิตของโรงกลั่นในประเทศไทย ถ้ามีการยกเลิก ImportParity Price อาจทำให้ทั้งสองโรงกลั่นนี้ส่งน้ำมันออกไปขายต่างประเทศซึ่งได้ราคาดีกว่าแทนทำให้ไทยมีความเสี่ยงเรื่องน้ำมันตึงตัว แต่ก็ยังไม่แน่นอนว่าจะมีการลด Import Parity Priceลงในบางส่วนหรือไม่ ระยะสั้นแนะนำให้ Switch ไปยัง SCC ราคาพื้นฐาน 480 บาท
# PTTEP : คาดว่าจะไม่กระทบ เพราะการกำหนดราคาขายและต้นทุนเป็นไปตามราคาตลาดแนะนำถือ ให้ราคาพื้นฐาน 164 บาท แต่ในระยะสั้นซื้อเก็งกำไรได้ เพราะราคาน้ำมันดิบได้อานิสงค์ทางบวกจากสถานการณ์ในอิรัก ที่อาจทำให้ตลาดน้ำมันตึงตัว เนื่องจากอิรักเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของกลุ่มโอเปก รองจากซาอุดิอาระเบีย
# EGCO, RATCH : คาดว่าจะไม่กระทบ เพราะกำหนดราคาขายและต้นทุนเป็นไปตามราคาตลาด แนะนำถือลงทุนเพื่อรับปันผล
# THAI : อาจได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างภายในองค์กร ส่วนหนึ่งมาจากข้อเรียกร้องต่างๆ ของสหภาพแรงงานการบินไทย แนะนำขาย ราคาพื้นฐาน 9 บาท
# KTB : คาดว่าไม่ได้รับผลกระทบเพราะดำเนินธุรกิจแบบธนาคารพาณิชย์ภายใต้การกำกับดูแลของธปท.อยู่แล้ว โดยอาจต้องเข้าไปช่วยสนับสนุนโครงการลงทุนภาครัฐมากขึ้น แต่ก็จะเป็นการคิดราคาตามตลาด แนะนำซื้อลงทุน ราคาพื้นฐาน 30 บาท
# MCOT : อาจได้รับผลกระทบจากการปฏิรูปบ้าง แต่คาดว่าจะไม่มาก แนะนำ Fully Valuedราคาพื้นฐาน 26 บาท
# AOT : โครงการลงทุนอาจล่าช้าออกไป จากการที่คสช.ให้มีการพิจารณาทบทวนโครงการลงทุนขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 แต่เชื่อว่าในที่สุดก็ต้องมีการขยายเพราะจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นทุกปีทำให้สนามบินที่มีอยู่ไม่เพียงพอ แนะนำซื้อลงทุน ราคาพื้นฐาน 237 บาท
• กระทรวงการคลังมองว่าเศรษฐกิจไทยปี57 เติบโตได้กว่า 2% มากกว่าตัวเลขปรับใหม่ของธปท.ที่ 1.5%
• ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เห็นว่าตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจไทยปี57 ใหม่ของธปท.ที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 1.5% (จากเดิม 2.7%) นั้นต่ำเกินไป เนื่องจากทางกระทรวงการคลังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยใน 2H57 จะขยายตัวดีขึ้นหลังจากที่เร่งกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน ซึ่งขณะนี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและผู้ประกอบการก็เริ่มกลับคืนมา และดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสมากกว่า 2%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]