- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 19 June 2015 18:11
- Hits: 2148
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“เลือกซื้อ/ถือเหนือ 1500”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้อ่อนตัวจากแรงขายทำกำไรหลังจบการประชุมเฟด และกระแสคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเปลี่ยนแปลงไม่มาก โดยจะยังเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ เพียงแต่ความเร็วและความแรงน้อยกว่าประมาณการเดิม ซึ่งเป็นไปตามที่ Retail Research เราประเมินไว้ ปิดตลาดดัชนีลดลง 6.75 จุด มาที่ 1508.04 นักลงทุนสถาบันในประเทศนำขายสุทธิ1.9 พันกว่าล้านบาท แต่ต่างชาติและรายย่อยซื้อสุทธิ
ผลประชุมรมว.คลังยูโรโซนกี่ยวกับประเด็นหนี้กรีซเมื่อวานนี้ยังไม่มีความคืบหน้า โดยจะมีการประชุมสภายุโรปในวันจันทร์ที่ 22 มิ.ย.อีกรอบอย่างไรก็ตาม นักลงทุนประเมินว่ากลุ่มเจ้าหนี้และกรีซน่าจะประนีประนอมกันได้ในที่สุด ส่วนในประเทศ ประเด็นเด่นคือปมปัญหา ICAO ที่ยังคงอยู่และการพบผู้ติดเชื้อเมอร์สรายแรกในไทยกดดันหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (สายการบิน โรงแรม สนามบิน ฯลฯ) ในระยะสั้น รวมถึงอาจมีผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ด้วยถ้ามีการแพร่ระบาดรุนแรง โดยภาคท่องเที่ยวทำรายได้คิดเป็น 10% ของ GDP ไทยและเป็น Key Growth ของเศรษฐกิจในปีนี้ด้วย ส่วนหุ้นหลักที่มีข่าวเด่น คือ BBL (มีกำไรจากการขายหุ้น IRPC) และ EGCO (มีกำไรจากการขายเอ็กคอมธารา) – ดูรายละเอียดเพิ่มเติมหน้า 2 สำหรับภาพใหญ่ของตลาด เรายังคงประเมิน SET Index ไว้ในกรอบบน 1520-1530 และกรอบล่าง 1480-1470 จุด หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น KBANK
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญาณทางเทคนิคพลิกเป็นลบ และค่าลบของตลาดจะทำให้โอกาสที่จะหลุด 1500 ลงมาบริเวณ Low เดิมที่1480-1470 มีมากขึ้น เราได้แนะนำให้ขายถ้า SET ไม่ผ่าน 1520 ไปเมื่อวานนี้ จากนี้ถ้าหลุด 1500 ก็รอซื้ออ่อนตัวที่บริเวณ Low เดิมที่กล่าวไป สำหรับการ SCAN หาหุ้นที่มีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SENA, SCN, DELTA, BJCHI, S ส่วนหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น SCP, SEAFCO, JMART, VIBHA และหุ้นที่ราคาปรับขึ้นตามคำแนะนำแล้ว & อยู่ในพื้นที่ Take Profit เป็น KIAT, ROBINS
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรอบสัปดาห์สิ้นสุด 13 มิ.ย. ลดลง 12,000 ราย สู่ระดับ 267,000 ราย โดยตัวเลขต่ำกว่า 300,000 รายเป็นสัปดาห์ที่ 15 ติดต่อกันแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง
+ สหรัฐ : ดัชนีราคาผู้บริโภคพ.ค.เพิ่มน้อยกว่าคาด ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐ +0.4%MoM ในเดือนพ.ค. น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ +0.5%MoM ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงาน +0.1% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.57
•/- กรีซ : ยังไม่มีข้อตกลงในการประชุมเมื่อวานนี้ รอดูผลประชุมจันทร์ 22 มิ.ย.กันต่อไป ที่ประชุมรมว.คลังของ EuroGroup เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.) ยังไม่มีการทำข้อตกลงใดๆเกี่ยวกับแผนปฎิรูปของกรีซเพื่อนำไปสู่การช่วยเหลือรอบใหม่ ประธานสภายุโรปกล่าวว่าจะมีการประชุมฉุกเฉินเกี่ยวกับประเด็นหนี้กรีซกันรอบใหม่ในวันจันทร์ที่ 22 มิ.ย.58
• ญี่ปุ่น : จับตาการประชุมธนาคารกลาง (BOJ) วันสุดท้ายในวันนี้ (19 มิ.ย.) เกี่ยวกับนโยบายการเงิน ซึ่งคาดว่าจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป
• จีน : จะจัดพิธีลงนามในมาตราความร่วมมือของธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) ในวันที่ 29มิ.ย. โดย AIIB มีวัตถุประสงค์เพื่อเติมเต็มช่องว่างในการลงทุนในเอเชีย ปัจจุบันมีสมาชิกจำนวน 67 ประเทศ มีเงินทุน 1.531 แสนล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 31 ธ.ค.57 และ AIIB มีกำหนดการจะเริ่มเปิดดำเนินการในปลายปี 58 ด้วยทุนเบื้องต้น 1.00 แสนล้านดอลลาร์
+ ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นแรง ดัชนีดาวโจนส์ปิด +180.10 จุดขณะที่ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ก็ปรับขึ้นแรงเช่นกัน ปัจจัยกระตุ้น คือ สัญญาณเฟดที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่เร็วและแรงมากนัก รวมถึงตัวเลขภาคแรงงานออกมาดี และอัตราเงินเฟ้อไม่เป็นแรงกดดัน
+ สัญญาน้ำมันดิบขยับขึ้น โดยสัญญา WTI ส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 53 เซนต์ ปิดที่ 60.45 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT เพิ่มขึ้น39 เซนต์ ปิดที่ 64.26 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยกระตุ้น คือ สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 7 ล่าสุดลดลงอีก 2.7ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ก่อนมาเป็น 467.9 ล้านบาร์เรล
+ สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบส.ค.พุ่งขึ้น 25.2ดอลลาร์ หรือ +2.14% ปิดที่ 1,202.00 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก หลังจากมีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วและลดความแรงในการปรับขึ้นลง
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
+ BBL ขายหุ้น IRPC ที่ถืออยู่ที่ 484 ล้านหุ้น @ 4.06 บาทคาดบันทึกกำไรกว่า 1 พันล้านบาทใน 2Q58 (ข่าวหุ้น) ราคาซื้อขายที่ต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 5% ทำให้มีแรงขายหุ้น IRPCออกมา โดยการซื้อขายผ่านบล.บัวหลวงและบล.เครดิตสวิส สำหรับวัตถุประสงค์ในการขายเป็นไปตามเกณฑ์ของธปท.ที่ต้องขายหุ้นที่ไม่ใช่ Non-core ออกไป ไม่เกี่ยวกับประเด็นออกหนังสือค้ำประกันให้ไทยทีวี ตลาดประเมินว่า BBL จะบันทึกกำไรจากการขายหุ้น IRPCรอบนี้ใน 2Q58 ประมาณ 1 พันล้านบาท
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : นับเป็นบวกกับ BBL โดยกำไรที่ BBL จะได้รับเข้ามา 1 พันล้านบาทนั้นคิดเป็น 2.7% ของคาดการณ์กำไรสุทธิ BBL ปีนี้ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท ยังคงแนะนำซื้อ BBL ราคาพื้นฐาน 220 บาท โดยราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/BV 1 เท่า และให้Dividend Yield ปี 58-59 ปีละ 4% สำหรับ IRPC นักวิเคราะห์เราให้ราคาพื้นฐานของหุ้นไว้ที่ 4.0 บาทซึ่งราคาซื้อขายของดีลก็ใกล้เคียงกัน สำหรับหุ้นโรงกลั่น เราขอบBCP ซึ่งคาดว่ากำไรจะพลิกฟื้นก้าวกระโดดในปี 58 (+564%) และเติบโต 15% ในปี 59 ขณะที่ Valuation จูงใจ โดยมี P/E ปีนี้ 9.6 เท่าและให้ Dividend Yield ปีนี้ 4%
+ EGCO จะขายหุ้นบริษัทย่อยเอ็กคอมธารา 74.19% มูลค่า1.6 พันล้านบาท ให้กับ EASTW คาดว่าดีลจะแล้วเสร็จใน 3Q58ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : นับเป็นข่าวดีที่บริษัทจะบันทึกกำไรในการขายเอ็กคอมธาราหลังภาษีเข้ามาราว 938 ล้านบาทใน 3Q58 ซึ่งคิดเป็น 11.7% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 58 ของเราที่ 8 พันล้านบาท นับว่ามีนัยสำคัญในทางบวก อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าบริษัทอาจจะไม่นำมาจ่ายปันผลเพิ่มเพราะต้องการนำเงินไปลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังพัฒนาและอยู่ระหว่างก่อสร้าง นักวิเคราะห์ DBSVให้มุมมองการลงทุนใน EGCO เป็น Neutral โดยประเมินกำไรสุทธิปกติ (Core Profit) ของบริษัทว่าจะขยายตัวไม่มาก (3-4% ต่อปีในช่วงปี 58-59) แต่ธุรกิจที่มั่นคงและจ่ายปันผลระดับดีอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ Dividend Yield ปี 58-59 ปีละ 4%
- ปม ICAO และเชื้อเมอร์สกดดันหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ล่าสุดก็เป็นที่ชัดเจนว่าทาง ICAO ยังขึ้นธงแดงกับบพ.ของไทย เนื่องจากยังแก้ปัญหาข้อบกพร่องสำคัญไม่แล้วเสร็จภายใน 90 วัน ซึ่งผิดกับข้อมูล 12 ข้อที่ออกมาในช่วงต้นสัปดาห์ที่ว่า ICAO พอใจกับการแก้ปัญหาของไทย จับตาต่อว่าผลการเข้าพบประธาน FAA ของสหรัฐในวันที่ 13-19 มิ.ย. และการมาเยี่ยมการทำงานไทยของ EASAยุโรปในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ผลจะออกมาเป็นอย่างไร นอกจากนั้นการพบผู้ป่วยติดเชื้อเมอร์สรายแรกในไทยเมื่อวานนี้ก็สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมกับกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรมของไทย ซึ่งทำรายได้คิดเป็น10% ของ GDP และเป็น Key Growth ของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ด้วยสำหรับหุ้นใน DBSV Coverage ที่จะถูกกระทบทางลบในระยะสั้นเป็น AOT, BA, CENTEL, MINT
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]