- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 19 June 2014 14:43
- Hits: 2717
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
SET ยังผันผวนได้ ดังนั้นรอซื้อช่วงอ่อน..แต่ซื้อแล้วเน้นถือรอเป้า 1500
กลยุทธ์ : SET กลับมาปรับตัวลงแรงอีกครั้ง ทำให้ยังมีโอกาสแกว่งผันผวนและปรับตัวลงต่อได้ จึงยังสามารถรอซื้อสะสมในช่วงตลาดอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม FSS คาดว่า SET ปรับพักฐานช่วงนี้ เพื่อรอรอบวิ่งขึ้นหาเป้าหมายทางเทคนิคแถว 1500 จุดหรือใกล้เคียงได้ในรอบถัดไป ดังนั้นส่วนที่ซื้อแล้วจึงแนะนำให้เน้นเป็นถือต่อเนื่องไว้ก่อน
หุ้นเด่นทางเทคนิค : IRCP, MONO, ASP(buy back)
แนวโน้ม : SET ปรับตัวลงรุนแรงในภาคบ่ายวานนี้ คาดว่ามาจากกระแสข่าวที่ว่าอาจมีการพิจารณาเก็บภาษี Capital gain สร้างความวิตกต่อนักลงทุนทำให้มีแรงขายออกมากดดันตลาด ประกอบกับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศวานนี้ก็ไม่ได้ดีมากนักด้วย อย่างไรก็ตามหลังจากตลาดปิดทำการ ปลัดคลังได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวแล้ว ทำให้เช้านี้ SET มีโอกาสที่จะรีบาวด์กลับขึ้นได้ หลังนักลงทุนน่าจะคลายความกังวลลงได้บ้าง ขณะที่เช้านี้ยังมีแรงหนุนจากการบวกขึ้นแรงพอควรของตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากคำแถลงของเฟดยังระบุว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไป อย่างไรก็ตามเฟดยังปรับลดขนาด QE ต่อเนื่องอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงอีก ประกอบกับนักลงทุนต่างประเทศยังคงมียอดขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ทำให้กรอบการดีดกลับของ SET เช้านี้ยังมีสิทธิอยู่ในกรอบจำกัด และมีโอกาสแกว่งผันผวนได้อีก ดังนั้นส่วนถือลงทุนยังถือต่อได้ แต่ถ้าจะซื้อเพิ่มอีกก็ยังน่ารอช่วงตลาดอ่อนตัวอยู่เช่นเดิม
แนวรับ 1447-1445 , 1442-1438 จุด แนวต้าน 1454-1457 , 1460-1463 จุด
Fund Flow วานนี้ไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ด้วยปริมาณที่หนาแน่นขึ้น นักลงทุนต่างชาติซื้อในตลาดหุ้นไต้หวัน US$572.7 ล้าน อินโดนีเซีย US$194.2 ล้าน เกาหลีใต้ US$128.4 ล้าน และเวียดนาม US$4.5 ล้าน แต่ขายตลาดหุ้นไทย US$84.1 ล้าน และฟิลิปปินส์ US$12.2 ล้าน ค่าเงินภูมิภาคเช้านี้ค่อนข้างนิ่ง Flow น่าจะยังไหลเข้าแต่เบาบาง
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(0) Fed ลด QE อีก US$1 หมื่นล้าน/เดือน ตามตลาดคาด และจะเดินหน้าลด QE ให้จบในปีนี้ และมีแนวโน้มว่าจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในระยะอันใกล้นี้
(+) บอร์ด BOI ประชุมวันแรกอนุมัติ 18 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุนรวมกว่า 1.2 แสนล้านบาทมีทั้งในธุรกิจอาหาร กระเบื้องเซรามิค และยานยนต์ เป็นนิมิตหมายที่ดีต่อบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย เม็ดเงินลงทุนของโครงการที่ได้รับส่งเสริมจะช่วยให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมสนับสนุนและการจ้างงานใหม่อีกหลายแสนตำแหน่ง
(0) ยอดผลิตรถยนต์เดือนพ.ค.ยังซบเซา อยู่ที่ 148,201 คัน ลดลง 36% Y-Y แต่เพิ่ม 17% M-M ส่วนยอดขายในประเทศยังทรุดหนัก สวนทางกับยอดส่งออกที่ดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ยอดผลิตรถเดือน พ.ค. จะค่อนข้างต่ำ แต่เราเชื่อว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในเดือน เม.ย. และจะฟื้นตัวใน 2H14 อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นกลุ่มยานยนต์ปรับขึ้นสะท้อนการฟื้นตัวของกลุ่มยานยนต์ในอนาคตค่อนข้างมากแล้ว ขณะที่กำไร 2Q14 ยังลดลงทั้ง Q-Q และ Y-Y จึงน่าจะรอซื้อเมื่ออ่อนตัว Top pick คือ TKT (เป้าหมาย 3 บาท) ส่วนหุ้นตัวอื่นในกลุ่มที่ให้เรทติ้งเป็นซื้อได้แก่ AH (เป้าหมาย 18 บาท) SAT (เป้าหมาย 20 บาท) และ STANLY (เป้าหมาย 240 บาท)
(+) ผู้ผลิตเสาเข็มตอก ได้รับประโยชน์จากโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ ซึ่งจะมีการใช้เสาเข็มตอกเป็นจำนวนมากคิดเป็นประมาณ 5-10% ของมูลค่าโครงการ จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเสาเข็มตอกไม่ว่าจะเป็น DCON, SCP, CCP, GEN สำหรับ DCON มีความได้เปรียบทั้งเป็นผู้ผลิตเสาเข็มตอกรายใหญ่ มีโรงงานทุกภาคของประเทศ สามารถผลิตได้หลายขนาดตามที่ลูกค้าต้องการ มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง
(+) แนวโน้มกลุ่มที่อยู่อาศัยหลังรัฐประหาร เราคงน้ำหนัก Neutral แม้ยอด Presales 5M14 จะลดลง 41% Y-Y แต่เชื่อว่าการขายโครงการต่างๆจะดีขึ้นใน 2H14 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานเดิมของเราที่คาดว่าการเมืองจะจบในครึ่งปีแรก และจะยิ่งฟื้นชัดเจนปีหน้า โดยจะเห็นการฟื้นตัวในบ้านแนวราบก่อน เรายังคงคาดกำไรปกติทั้งกลุ่มปีนี้โต 5% Y-Y และจะโตในอัตราเร่งเป็น 11% Y-Y ในปี 2015 Top pick ได้แก่ SPALI (เป้าหมาย 24.50 บาท), QH (เป้าหมาย 4.30 บาท) และ LH (เป้าหมาย 11 บาท)
(+) AIE ราคาหุ้นใน 1 เดือนที่ผ่านมาปรับขึ้น 10% แต่ laggard กว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานทดแทนที่ปรับขึ้นถึง 22% ขณะเดียวกัน PE ปัจจุบันที่ 11.2 เท่ายังต่ำว่า PE เฉลี่ยของหุ้นในกลุ่มพลังงานทดแทนที่ 30 เท่า และต่ำกว่าราคา IPO ที่ 4.75 บาท จึงเป็นโอกาสในการซื้อ โดยเรายังคงคาดกำไรสุทธิในปีนี้โตสูงถึง 128% Y-Y จากความต้องการใช้ B100 ที่เพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยจ่ายลดลงและอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น อัตราการเติบโตของกำไรดังกล่าวแม้จะน้อยกว่ากลุ่มที่โต 188% Y-Y แต่เราก็ประเมินมูลค่าด้วย PE เพียง 14 เท่า ทำให้ได้ราคาเป้าหมาย 5.80 บาท ซึ่งมี upside กว่า 30%
(+) TMB สินเชื่อเดือน พ.ค. เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น +1.72% M-M ทำให้งวด 5M14 สินเชื่อเติบโต 2.95% YTD เรายังคงคาดกำไรสุทธิปีนี้โต 17% Y-Y โดดเด่นกว่ากลุ่มที่เติบโตเพียง 2% Y-Y ยังคงแนะนำซื้อ และคงเป้าหมาย 2.60 บาท โดย TMB และ KTB จะได้ประโยชน์จากจากการลงทุนและการเบิกจ่ายภาครัฐในระยะถัดไป
ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนที่ผ่านมาขยับตัวขึ้นได้เป็นวันที่ 4 ติดต่อกันอีก 98.13 จุด โดยนักลงทุนตอบรับในเชิงบวกหลัง FED กล่าวว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับใกล้ศูนย์อยู่แม้จะสิ้นสุดโครงการซื้อพันธบัตร
ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดในกรอบแคบๆโดยตลาดปิดทำการก่อนที่จะทราบผลการประชุมของ FED
ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดเช้านี้ปรับตัวในแดนบวกได้ตามตลาดหุ้นสหรัฐหลังนักลงทุนตอบรับในเชิงบวกภายหลังทราบผลการประชุม FED โดยจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไป
ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย คาดวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.50 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ค. ขยับลง 0.39 ดอลลาร์/บาร์เรล มาปิดที่ 105.97 ดอลลาร์/บาร์เรล หลัง EIA รายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบออกมาลดลงน้อยกว่าที่คาดไว้ รวมถึงการที่ FED ปรับลดประมาณการ GDP สหรัฐลง
ราคาทองคำในตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. ขยับขึ้น 0.70 ดอลลาร์/ออนซ์ มาปิดที่ 1,272.70 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนหลัง FED ปรับลดคาดการณ์ GDP ลง แต่อย่างไรก็ตามการปรับลดขนาด QE ลงยังเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ
Contact person : Somchai Anektaweepon Research Dept. Tel: 02-646-9967, 02-646-9852