- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 02 June 2015 16:46
- Hits: 1071
บล.เคเคเทรด : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
คาด SET แกว่งตัวออกข้างรอ
SET View
แนวโน้ม SET ยังคงขาดปัจจัยบวกใหม่ที่ชัดเจน คาดวันนี้ SET แกว่งตัวออกข้างในกรอบ 1485-1505 จุด
การปรับพอร์ตของ MSCI เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีผลต่อหุ้นไทยในรายตัว กล่าวคือหุ้นเข้า MSCI 14 บริษัท ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2% (เทียบกับ SET ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 0.16%) โดยหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากสุดคือ BEAUTY +5.45%, หุ้นที่ปรับตัวลดลงมีเพียงแค่ IMPACT -0.93%, และมีหุ้นแค่ 2 ตัวที่ราคาปิดเท่ากับวันก่อนหน้า ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออก (JMART และ TPIPL) ปรับตัวลดลงทั้งคู่ ราว 1.5-1.6% ดังนั้น วันนี้ อาจเห็นแรงขายทำกำไร กดดันให้หุ้นที่เพิ่งเข้า MSCI ปรับตัวลดลงมา หลังเสร็จสิ้นกระบวนการปรับพอร์ตแล้ว
GDP 1Q58 ของสหรัฐฯ (ประกาศรอบสอง) หดตัว 0.7% เทียบกับรอบแรกที่ขยายตัว 0.2% ดีกว่าที่ตลาดคาด (-0.9%) และประมาณการของ Bank of America Merrill Lynch (-1.2%) องค์ประกอบสำคัญที่มีความต่างจากรอบแรก คือ การบริโภคภาคเอกชน เติบโต 1.8% ลดลงจากประมาณการรอบแรกที่โต 1.9%, การส่งออก หดตัว 7.6% (เทียบกับ -7.2% ในรอบแรก), รายจ่ายภาครัฐ เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% (เทียบกับ +0.3% ในรอบแรก), นำเข้า เพิ่มขึ้น 5.6% (เทียบกับ +1.8% ในรอบแรก) ทั้งนี้ GDP ที่อ่อนแอ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ, ส่งออกที่แย่ลงเพราะดอลล่าร์แข็งค่า และการประท้วงของคนงานที่ท่าเรือชายฝั่งตะวันตก สำหรับการรายงาน GDP 1Q58 รอบสาม (รอบสุดท้าย) จะมีขึ้นในวันที่ 24 มิ.ย.
กลยุทธ์การลงทุน : รอซื้อบริเวณแนวรับ SET ที่ 1485 จุด หรือเก็งกำไรหุ้นที่มีโมเมนตัมเชิงบวกแข็งกว่าตลาด
Top Daily Pick : CK (มูลค่าเหมาะสม 31.20 บาท) เป็น Top pick กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และได้รับกระแสเชิงบวกจากความคืบหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ/ SVI (มูลค่าเหมาะสม 5.70 บาท) ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่า ล่าสุด แตะระดับ 33.70 บาท/เหรียญฯ
Technical Pick : BTS VGI STPI TSE PLANB (โปรดอ่านบทวิเคราะห์ Technical เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน)
Theme Plays : เก็งกำไรหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างบนกระแสข่าวความคืบหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบราง (CK, SEAFCO)/ หุ้นได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (SVI, SAPPE)
Strategy Talk
การประชุม OPEC สัปดาห์นี้ สร้างความผันผวนแก่ราคาน้ำมัน
การประชุม OPEC วันศุกร์ที่ 5 มิ.ย.นี้ ตลาดคาดการณ์ว่า OPEC จะคงกำลังการผลิตเหนือระดับ 30 ล้านบาร์เรลต่อวันเช่นเดิม เพราะแนวโน้มราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในเดือน ม.ค.58 กว่า 40% และอุปทานจากฝั่งสหรัฐฯมีโอกาสลดลงในอนาคต สะท้อนจากจำนวนแท่นขุดเจาะให้สหรัฐฯ รวบรวมโดย Baker Hughes ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากจุดสูงสุด 1,595 แท่นเมื่อ 24 ต.ค.57 เหลือ 646 แท่นในสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากราคาน้ำมันตกต่ำลงมาก ทำให้แท่นขุดเจาะบางแห่งที่มีต้นทุนสูง เริ่มไม่คุ้มทุน
เราเชื่อว่า ราคาน้ำมันดิบโลกจะมีความผันผวนค่อนข้างมากในสัปดาห์นี้ ตามกระแสข่าวทั้งบวกและลบที่ออกมา ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้นพลังงาน, ปิโตรเคมีและขนส่งในตลาดหุ้นไทย ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน คาดว่า ราคาน้ำมันจะเริ่มมีเสถียรภาพหลังผ่านพ้นการประชุม อย่างไรก็ดี เนื่องจากการประชุมครั้งนี้ ตลาดตั้งความหวังค่อนข้างน้อย ดังนั้น หาก OPEC สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการลดกำลังการผลิต น่าจะเป็นผลบวกต่อราคาน้ำมันดิบโลกอย่างมาก เพราะปัจจุบัน อุปทานน้ำมันโลก สูงกว่าอุปสงค์ (Oversupply) อยู่ราว 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
วานนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ราว 0.17% และ 0.48% ตามลำดับ
หุ้นมีประเด็น
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่นถึง 2.37% มากสุดเมื่อเทียบกับ sector อื่นใน SET เรามองว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคาดหวังต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ที่มีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ กล่าวคือ รัฐบาลไทยและญี่ปุ่น ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOC) ในการพัฒนาระบบรางของไทยอย่างเป็นทางการ โครงการหลักที่เกี่ยวข้อง คือ 1) รถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เริ่มสำรวจเส้นทาง 28 ก.ค. เริ่มก่อสร้างกลางปี 59 2) รถไฟเส้นทางกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง และกรุงเทพฯ-สระแก้ว (ยังไม่ได้ระบุระยะเวลาก่อสร้าง)
อีกประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจ คือ ความคืบหน้าของรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยในวันที่ 10 มิ.ย.นี้ จะมีการประชุมเพื่อสรุปแบบ รถไฟฟ้าสายสีส้ม ตลิ่งชัน-มีนบุรี ว่าจะมีการเปลี่ยนแนวเส้นทางหรือไม่
ผู้ประกอบการรายใหญ่ มีโอกาสได้รับประโยชน์มากกว่าในช่วงแรกของวัฏจักรการลงทุนภาครัฐ เพราะมีความพร้อมและความชำนาญ มากกว่ารายเล็ก สำหรับหุ้น Top pick ของเรา คือ CK (ซื้อ, มูลค่าเหมาะสม 31.20 บาท) มีศักยภาพในการรับงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ, ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกทำให้ผลประกอบการของ CK มีความผันผวนน้อยกว่าผู้ประกอบการรายอื่น, คาดผลประกอบการ 2Q58 เติบโตโดดเด่น หนุนด้วยกำไรจากการขายหุ้น 30% ที่ถือในโครงการไซยะบุรีให้กับ CKP คาด CK บันทึกกำไรราว 1.3 พันล้านบาท
Smart Port Note
Beta ของพอร์ตลงทุนแสดงถึงความเสี่ยงของหุ้นในพอร์ตเทียบกับ ตลาด SET หากค่า Beta สูงกว่าหนึ่งเท่า แสดงถึงความเสี่ยงของ พอร์ตลงทุนที่สูงกว่า SET
Growth Port มีค่า Beta เท่ากับ 1.07
Trading Port มีค่า Beta เท่ากับ 1.02
Dividend Port มีค่า Beta เท่ากับ 0.84
Quant Port มีค่า Beta เท่ากับ 0.75